กระทู้เก่า
Oscarwatch2018#1 / The Shape of Water / หรือนี้จะเป็นหนังแฟนตาซีที่คว้าออสการ์หนังยอดเยี่ยมในรอบหลายปี
-
https://ppantip.com/topic/36683803
Oscarwatch2018#2 / Call Me By Your Name / หรือนี้จะเป็นหนังเกย์ที่คว้าออสการ์หนังยอดเยี่ยมอีกครา, พาคนไทยเข้าชิงออสการ์ -
https://ppantip.com/topic/36697752
Darkest Hour : Joe Wright
BIOGRAPHY / DRAMA / HISTORY
US DATE: 22 November 2017
Distributed by Focus Features
CAST: Gary Oldman, Ben Mendelsohn, Kristin Scott Thomas, Lily James, Stephen Dillane, Ronald Pickup
Darkest Hour เล่าเรื่องสุดยอดนายกรัฐมนตรีของอังกฤษอย่าง Winston Churchill ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งต่อกองทัพนาซีของ Adolf Hitler ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง
สาขาที่น่าสนใจว่าจะลุ้นเข้าชิงออสการ์
# คือลำดับที่คาดการณ์ที่ผมจัดไว้ในแต่ละสาขา ลำดับอาจจะเปลี่ยนแปลตามช่วงเวลา
Best Picture #8
หนังย้อนยุคจากเกาะอังกฤษจากผู้กำกับหนังย้อนยุคอย่าง Joe Wright ซึ่งหนังแนวนี้ในช่วงหลังนี้ ทั้ง The Theory of Everything (2014), The Imitation Game (2014)และ Philomena (2013) เป็นต้น ทำให้หนังมีลุ้นเข้าชิงออสการ์ค่อนข้างสูง แต่ที่น่าเป็นห่วง คงเป็นฝีมือการกำกับของ Joe Wright ที่ช่วงหลังๆออกมาไม่ค่อยดี ผลงานล่าสุดคือ Pan (2015)สุดแป้ก แต่เจ้าตัวเคยพา Atonement (2007) เข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมพ่วงด้วยการเข้าชิงอีก 6 สาขา ซึ่งคว้ารางวัลดนตรียอดเยี่ยมไป แต่ในปีนั้นหนังคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก BAFTA และ Golden Globe สาขาดราม่า เหนือคู่แข่งสุดหินในปีนั้นอย่าง No Country for Old Men (2007) และ There Will Be Blood (2007) หนังได้ผู้จัดจำหน่ายเป็น Focus Features ที่เคยพาหนังของ Joe Wright อย่าง Atonement (2007) เข้าชิงออสการ์มาแล้ว รวมถึงPride & Prejudice (2005)และ Anna Karenina (2012) อีกอย่างหนึ่ง นอกจากปีนี้จะมี Dunkirk (2017) ที่เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากมุมมองจากชาวอังกฤษ เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เป็นคนละเหตุการณ์
Best Director #9 - Joe Wright
ด้วยความที่ช่วงหลังๆ ที่ฝีมือลุ่มดอนๆ แต่เนื่องจากเจองานที่ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ กลับมาครั้งนี้มากับแนวที่ถนัด (จะขาดก็แค่ Keira Knightley ที่มาที่ไรหนังของJoe ออกมาดีตลอด 555) และแม้หนังอาจจะเข้าชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยม แต่เจ้าตัวอาจจะพลาดไม่ได้ชิงออสการ์สาขาผู้กำกับเหมือนตอน Atonement (2007) เพราะด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดในปีนี้
Best (Original) (Adapted) Screenplay #8 #6 - Anthony McCarten
Anthony McCarten มือเขียนบทชาวนิวซีแลนด์ ผู้เคยเขียนบทหนังเข้าชิงออสการ์ กับบทดัดแปลงยอดเยี่ยมใน The Theory of Everything (2014)
ที่หนังไม่ได้เป็นตัวเต็งหลัก เพราะออสการ์มักจะชอบบทที่มีความสดใหม่ในการเข้าชิงในสาขาบทดั้งเดิม แต่ถ้าบทหนังดีจริง โอกาสเข้าชิงก็ค่อนข้างสูง หนังดัดแปลงจากหนังสือนิยายที่ยังไม่จัดจำหน่าย โดยนิยายจะจำหน่ายช่วงใกล้ๆกับช่วงที่หนังฉาย
Best Actor #1 - Gary Oldman
พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ด้วยการแต่งหน้า, พลังแห่งการรับบทชีวตประวัติ, พลังแห่งการแสดงเบอร์ใหญ่, และพลังแห่งoverdue จะส่ง Gary Oldman คว้าออสการ์นำชายปีนี้ได้หรือไหม เจ้าตัวเคยเข้าชิงออสการ์นำชาย 1 ครั้งจาก Tinker Tailor Soldier Spy (2011) คู่แข่งคนสำคัญคือเต็ง 2 ที่ลุ้นไม่แพ้กันว่าจะคว้าออสการ์ตัวที่ 4 เท่ากับตำนาน Katharine Hepburnได้หรือไม่ อย่าง Daniel Day-Lewis จาก Phantom Thread ที่พอพลังแห่งการ retire มาด้วย ใครจะคว้าออสการ์ไปครองงง (ที่น่าสนใจในช่วงนี้ เหมือนคาเรกเตอร์ของ Winston Churchill จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมี ซีรีส์เรื่อง The Crown ที่John Lithgow รับบทนี้เช่นกัน และได้เข้าชิง Emmyไปแล้ว ซึ่งเป็นเต็งหนึ่งด้วยเช่นกัน)
Best Supporting Actor #7 - Ben Mendelsohn
Ben Mendelsohn เป็นดารามากความสามารถอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเข้าชิงออสการ์ ปีที่แล้วพึ่งจะคว้า Emmy ไปจากซีรีส์ Bloodline ปีนี้มากับบทบาทเดียวกันกับที่เคยพา Colin Firth คว้าออสการ์สาขานำชายไป นั้นก็คือ King George VI ไม่รุ้เหมือนกันว่าลุง Ben จะควบคุมบทนี้ได้ดีพอที่จะเข้าชิงออสการ์ได้หรือเปล่า เพราะในปีนี้สาขาสมทบชายมีดารามากฝีมือหลายคนที่ไม่เคยเข้าชิงออสการ์เช่นกันมากันหลายคน
Best Supporting Actor #8 - Kristin Scott Thomas
Kristin Scott Thomas ห่างหายไปจากการเข้าชิงออสการ์ไป 21 ปี จากการเข้าชิงครั้งแรกในสาขานำหญิง The English Patient (1996) (แต่เธอเข้าชิง BAFTA ค่อนข้างบ่อยเพราะความเป็นbritish) กลับมาครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อาจจะพาเธอเข้าชิงออสการ์อีกครั้ง ในบทภรรยาของWinston Churchill
Best Cinematography #4 - Bruno Delbonnel
ตอนแรกแอบคิดว่าหนังดราม่าเรื่องนี้ คงจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่ในงานด้านภาพ แต่จากตัวอย่างแล้ว Bruno Delbonnel แสดงถึงความโดดเด่นของด้านงานภาพในงานดราม่าย้อนยุคช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ออกมาค่อนข้างดี สมชือกับการเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 4 ครั้งกับงานกำกับภาพของหนังอย่าง Amélie (2001), A Very Long Engagement (2004), Harry Potter and the Half-Blood Prince (2009) และ Inside Llewyn Davis (2013)
Best Film Editing #8 - Valerio Bonelli
Valerio Bonelli มือตัดต่อจากอิตาลี เคยตัดต่อหนังอังกฤษอย่าง Philomena (2013) และ Florence Foster Jenkins (2016) เช่นเคยสาขานี้บอกค่อยข้างอย่าง ต้องรอหนังออกฉายซึ่งส่วนใหญ่จะแปรผันตรงกับสาขาหลักอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
Best Original Score #top5 - Dario Marianelli
Dario Marianelli ขาประจำของ Joe Wright เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งทั้งหมดใน 3 ครั้ง ล้วนแต่เป็นของJoe ซึ่งคือการคว้ารางวัลกลับบ้านจากหนัง Atonement (2007) และเข้าชิงจาก Pride & Prejudice (2005) และ Anna Karenina (2012) (ซึ่งทุกเรื่องมีแม่สาวKeira Knightleyแสดงนำอีกเช่นเคย) แล้วงานสกอร์ของเรื่องนี้อาจะส่งเจ้าตัวเข้าชิงอีกครั้ง เพราะหนังมีฉากที่ให้โอกาสสกอร์ได้โดดเด่น อย่างเช่นหนังอาจจะมีฉากสงคราม เป็นต้น
Best Production Design #2 - Sarah Greenwood, Katie Spencer
สองคนนี้เคยร่วมงานกันหลายครั้ง แถมเคยพากันเข้าชิงออสการ์ถึง 4 ครั้งคือ Pride & Prejudice (2005), Atonement (2007), Sherlock Holmes (2009) และ Anna Karenina (2012) ซึ่ง 3 ใน 4 ก็เป็นของ Joe Wright การกลับมาครั้งนี้กับงานที่ถนัดในงานย้อนยุคสไตล์อังกฤษ อาจพาทั้ง 2 คนคว้าออสการ์กลับบ้านสักที
Best Costume Design #3 - Jacqueline Durran
Jacqueline Durran ที่ปีนี้อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าชิงออสการ์ 2 ตัว เพราะเจ้าตัวก็มีอีกผลงานที่โดดเด่นก็คือ Beauty and the Beast (2017) และนอกจากนี้เจ้าตัวอาจจะเข้าชิง 3 ผลงานเพราะยังมีงานคอสตูมที่น่าสนใจในหนังเกี่ยวกับไบเบิลอย่าง Mary Magdalene (2017) ที่มี Rooney Mara แสดงนำ ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยเข้าชิง 4 ครั้ง คือ Pride & Prejudice (2005), Atonement (2007), Anna Karenina (2012)และ Mr. Turner (2014) ซึ่งคว้าไปได้กับผลงาน Anna Karenina (2012) ถึงแม้เจ้าตัวอาจะไม่ได้เข้าชิง 2 ผลงานขึ้นไป แต่เจ้าตัวน่าจะเข้าชิงอย่างแน่นอน 1 รางวัลจากผลงานใดผลงานหนึ่งแน่นอน
Best Makeup and Hairstyling #1
การเปลี่ยนหน้านักแสดงให้เป็นบุคคลในการประวัติศาสตร์ หลายครั้งๆ มักจะเข้าชิงออสการ์ อย่างเช่น ปี 2011 การแปลงโฉม Meryl Streepให้เป็น Margaret Thatcher ใน The Iron Lady (2011) และ การแปลงโฉม Glenn Close ให้เป็น Albert Nobbs ใน Albert Nobbs (2011) ซึ่งเรื่องแรกคว้ารางวัลไป เป็นต้น และโดยการเปลี่ยนหน้าลุง Gary Oldman เป็น Winston Churchillได้อย่างมหัศจรรย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้หนังเรื่องนี้คือเต็งหนึ่งสาขานี้
Oscarwatch2018#3 / Darkest Hour / เต็งหนึ่งออสการ์นำชายปีนี้ตอนนี้สำหรับ Gary Oldman
Oscarwatch2018#1 / The Shape of Water / หรือนี้จะเป็นหนังแฟนตาซีที่คว้าออสการ์หนังยอดเยี่ยมในรอบหลายปี
- https://ppantip.com/topic/36683803
Oscarwatch2018#2 / Call Me By Your Name / หรือนี้จะเป็นหนังเกย์ที่คว้าออสการ์หนังยอดเยี่ยมอีกครา, พาคนไทยเข้าชิงออสการ์ - https://ppantip.com/topic/36697752
Darkest Hour : Joe Wright
BIOGRAPHY / DRAMA / HISTORY
US DATE: 22 November 2017
Distributed by Focus Features
CAST: Gary Oldman, Ben Mendelsohn, Kristin Scott Thomas, Lily James, Stephen Dillane, Ronald Pickup
Darkest Hour เล่าเรื่องสุดยอดนายกรัฐมนตรีของอังกฤษอย่าง Winston Churchill ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งต่อกองทัพนาซีของ Adolf Hitler ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง
สาขาที่น่าสนใจว่าจะลุ้นเข้าชิงออสการ์
# คือลำดับที่คาดการณ์ที่ผมจัดไว้ในแต่ละสาขา ลำดับอาจจะเปลี่ยนแปลตามช่วงเวลา
Best Picture #8
หนังย้อนยุคจากเกาะอังกฤษจากผู้กำกับหนังย้อนยุคอย่าง Joe Wright ซึ่งหนังแนวนี้ในช่วงหลังนี้ ทั้ง The Theory of Everything (2014), The Imitation Game (2014)และ Philomena (2013) เป็นต้น ทำให้หนังมีลุ้นเข้าชิงออสการ์ค่อนข้างสูง แต่ที่น่าเป็นห่วง คงเป็นฝีมือการกำกับของ Joe Wright ที่ช่วงหลังๆออกมาไม่ค่อยดี ผลงานล่าสุดคือ Pan (2015)สุดแป้ก แต่เจ้าตัวเคยพา Atonement (2007) เข้าชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมพ่วงด้วยการเข้าชิงอีก 6 สาขา ซึ่งคว้ารางวัลดนตรียอดเยี่ยมไป แต่ในปีนั้นหนังคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก BAFTA และ Golden Globe สาขาดราม่า เหนือคู่แข่งสุดหินในปีนั้นอย่าง No Country for Old Men (2007) และ There Will Be Blood (2007) หนังได้ผู้จัดจำหน่ายเป็น Focus Features ที่เคยพาหนังของ Joe Wright อย่าง Atonement (2007) เข้าชิงออสการ์มาแล้ว รวมถึงPride & Prejudice (2005)และ Anna Karenina (2012) อีกอย่างหนึ่ง นอกจากปีนี้จะมี Dunkirk (2017) ที่เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากมุมมองจากชาวอังกฤษ เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เป็นคนละเหตุการณ์
Best Director #9 - Joe Wright
ด้วยความที่ช่วงหลังๆ ที่ฝีมือลุ่มดอนๆ แต่เนื่องจากเจองานที่ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ กลับมาครั้งนี้มากับแนวที่ถนัด (จะขาดก็แค่ Keira Knightley ที่มาที่ไรหนังของJoe ออกมาดีตลอด 555) และแม้หนังอาจจะเข้าชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยม แต่เจ้าตัวอาจจะพลาดไม่ได้ชิงออสการ์สาขาผู้กำกับเหมือนตอน Atonement (2007) เพราะด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดในปีนี้
Best
(Original)(Adapted) Screenplay#8#6 - Anthony McCartenAnthony McCarten มือเขียนบทชาวนิวซีแลนด์ ผู้เคยเขียนบทหนังเข้าชิงออสการ์ กับบทดัดแปลงยอดเยี่ยมใน The Theory of Everything (2014)
ที่หนังไม่ได้เป็นตัวเต็งหลัก เพราะออสการ์มักจะชอบบทที่มีความสดใหม่ในการเข้าชิงในสาขาบทดั้งเดิม แต่ถ้าบทหนังดีจริง โอกาสเข้าชิงก็ค่อนข้างสูงหนังดัดแปลงจากหนังสือนิยายที่ยังไม่จัดจำหน่าย โดยนิยายจะจำหน่ายช่วงใกล้ๆกับช่วงที่หนังฉายBest Actor #1 - Gary Oldman
พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ด้วยการแต่งหน้า, พลังแห่งการรับบทชีวตประวัติ, พลังแห่งการแสดงเบอร์ใหญ่, และพลังแห่งoverdue จะส่ง Gary Oldman คว้าออสการ์นำชายปีนี้ได้หรือไหม เจ้าตัวเคยเข้าชิงออสการ์นำชาย 1 ครั้งจาก Tinker Tailor Soldier Spy (2011) คู่แข่งคนสำคัญคือเต็ง 2 ที่ลุ้นไม่แพ้กันว่าจะคว้าออสการ์ตัวที่ 4 เท่ากับตำนาน Katharine Hepburnได้หรือไม่ อย่าง Daniel Day-Lewis จาก Phantom Thread ที่พอพลังแห่งการ retire มาด้วย ใครจะคว้าออสการ์ไปครองงง (ที่น่าสนใจในช่วงนี้ เหมือนคาเรกเตอร์ของ Winston Churchill จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมี ซีรีส์เรื่อง The Crown ที่John Lithgow รับบทนี้เช่นกัน และได้เข้าชิง Emmyไปแล้ว ซึ่งเป็นเต็งหนึ่งด้วยเช่นกัน)
Best Supporting Actor #7 - Ben Mendelsohn
Ben Mendelsohn เป็นดารามากความสามารถอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเข้าชิงออสการ์ ปีที่แล้วพึ่งจะคว้า Emmy ไปจากซีรีส์ Bloodline ปีนี้มากับบทบาทเดียวกันกับที่เคยพา Colin Firth คว้าออสการ์สาขานำชายไป นั้นก็คือ King George VI ไม่รุ้เหมือนกันว่าลุง Ben จะควบคุมบทนี้ได้ดีพอที่จะเข้าชิงออสการ์ได้หรือเปล่า เพราะในปีนี้สาขาสมทบชายมีดารามากฝีมือหลายคนที่ไม่เคยเข้าชิงออสการ์เช่นกันมากันหลายคน
Best Supporting Actor #8 - Kristin Scott Thomas
Kristin Scott Thomas ห่างหายไปจากการเข้าชิงออสการ์ไป 21 ปี จากการเข้าชิงครั้งแรกในสาขานำหญิง The English Patient (1996) (แต่เธอเข้าชิง BAFTA ค่อนข้างบ่อยเพราะความเป็นbritish) กลับมาครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อาจจะพาเธอเข้าชิงออสการ์อีกครั้ง ในบทภรรยาของWinston Churchill
Best Cinematography #4 - Bruno Delbonnel
ตอนแรกแอบคิดว่าหนังดราม่าเรื่องนี้ คงจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่ในงานด้านภาพ แต่จากตัวอย่างแล้ว Bruno Delbonnel แสดงถึงความโดดเด่นของด้านงานภาพในงานดราม่าย้อนยุคช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ออกมาค่อนข้างดี สมชือกับการเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 4 ครั้งกับงานกำกับภาพของหนังอย่าง Amélie (2001), A Very Long Engagement (2004), Harry Potter and the Half-Blood Prince (2009) และ Inside Llewyn Davis (2013)
Best Film Editing #8 - Valerio Bonelli
Valerio Bonelli มือตัดต่อจากอิตาลี เคยตัดต่อหนังอังกฤษอย่าง Philomena (2013) และ Florence Foster Jenkins (2016) เช่นเคยสาขานี้บอกค่อยข้างอย่าง ต้องรอหนังออกฉายซึ่งส่วนใหญ่จะแปรผันตรงกับสาขาหลักอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
Best Original Score #top5 - Dario Marianelli
Dario Marianelli ขาประจำของ Joe Wright เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งทั้งหมดใน 3 ครั้ง ล้วนแต่เป็นของJoe ซึ่งคือการคว้ารางวัลกลับบ้านจากหนัง Atonement (2007) และเข้าชิงจาก Pride & Prejudice (2005) และ Anna Karenina (2012) (ซึ่งทุกเรื่องมีแม่สาวKeira Knightleyแสดงนำอีกเช่นเคย) แล้วงานสกอร์ของเรื่องนี้อาจะส่งเจ้าตัวเข้าชิงอีกครั้ง เพราะหนังมีฉากที่ให้โอกาสสกอร์ได้โดดเด่น อย่างเช่นหนังอาจจะมีฉากสงคราม เป็นต้น
Best Production Design #2 - Sarah Greenwood, Katie Spencer
สองคนนี้เคยร่วมงานกันหลายครั้ง แถมเคยพากันเข้าชิงออสการ์ถึง 4 ครั้งคือ Pride & Prejudice (2005), Atonement (2007), Sherlock Holmes (2009) และ Anna Karenina (2012) ซึ่ง 3 ใน 4 ก็เป็นของ Joe Wright การกลับมาครั้งนี้กับงานที่ถนัดในงานย้อนยุคสไตล์อังกฤษ อาจพาทั้ง 2 คนคว้าออสการ์กลับบ้านสักที
Best Costume Design #3 - Jacqueline Durran
Jacqueline Durran ที่ปีนี้อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าชิงออสการ์ 2 ตัว เพราะเจ้าตัวก็มีอีกผลงานที่โดดเด่นก็คือ Beauty and the Beast (2017) และนอกจากนี้เจ้าตัวอาจจะเข้าชิง 3 ผลงานเพราะยังมีงานคอสตูมที่น่าสนใจในหนังเกี่ยวกับไบเบิลอย่าง Mary Magdalene (2017) ที่มี Rooney Mara แสดงนำ ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยเข้าชิง 4 ครั้ง คือ Pride & Prejudice (2005), Atonement (2007), Anna Karenina (2012)และ Mr. Turner (2014) ซึ่งคว้าไปได้กับผลงาน Anna Karenina (2012) ถึงแม้เจ้าตัวอาจะไม่ได้เข้าชิง 2 ผลงานขึ้นไป แต่เจ้าตัวน่าจะเข้าชิงอย่างแน่นอน 1 รางวัลจากผลงานใดผลงานหนึ่งแน่นอน
Best Makeup and Hairstyling #1
การเปลี่ยนหน้านักแสดงให้เป็นบุคคลในการประวัติศาสตร์ หลายครั้งๆ มักจะเข้าชิงออสการ์ อย่างเช่น ปี 2011 การแปลงโฉม Meryl Streepให้เป็น Margaret Thatcher ใน The Iron Lady (2011) และ การแปลงโฉม Glenn Close ให้เป็น Albert Nobbs ใน Albert Nobbs (2011) ซึ่งเรื่องแรกคว้ารางวัลไป เป็นต้น และโดยการเปลี่ยนหน้าลุง Gary Oldman เป็น Winston Churchillได้อย่างมหัศจรรย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้หนังเรื่องนี้คือเต็งหนึ่งสาขานี้