Darkest Hour - สิ่งที่เราไม่ควรละทิ้งในทุกวินาที ก็คือการเป็นตัวเอง (Spoil)

เราชอบหนังที่พูดถึงเรื่องช่วงเวลาในสงครามโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยไม่ลังเลใจที่จะเข้าไปดูหนังเรื่อง Darkest Hour และก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด แม้หนังจะไม่ได้โฟกัสไปที่สงครามโลกเป็นประเด็นหลักก็ตาม

แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะยังไม่ได้ทำออกมาสมบูรณ์แบบขนาดนั้น แต่เราก็ยังชอบหนังเรื่องนี้ เรารู้สึกมากกับแมสเซจที่หนังสื่อสาร มันอิมแพคกับความรู้สึกเรามาก

ผลงานการกำกับของ Jo Wright ผู้กำกับชาวอังกฤษ เราเคยชมผลงานของเค้ามาก่อนแค่เรื่องเดียว คือ Atonement เอาจริงๆคือจำเรื่องราวไม่ค่อยได้เท่าไหร่แล้ว แต่จำความรู้สึกได้ว่าชอบ Atonement หนังของผู้กำกับชาวอังกฤษ จะไม่เล่าฉากหลังเป็นเรื่องราวในอังกฤษได้อย่างไร มาถึง Darkest Hour ก็ยังพูดถึงประเทศอังกฤษอยู่ แม้ว่าจะดูแล้วจะเป็นหนังชาตินิยมจ๋าอยู่เหมือนกัน แต่เรากลับมองข้ามจุดนี้ได้ เพราะอย่างที่บอกไปว่า เราว่าแมสเซจมันอิมแพคมากๆ เรารู้สึกว่า Jo ก็ต้องการเล่าบางอย่าง ที่ไม่ใช่เรื่องชาตินิยมเป็นหลักแน่ๆ

องค์ประกอบโดนรวมของหนัง เราว่าทำได้ดีมาก ทั้งองค์ประกอบศิลป์ เราว่าหนังของ Jo ใส่ใจรายละเอียดตรงนี้มากๆ การแต่งกายของตัวละครก็ทำได้ดีมาก การถ่ายภาพและดนตรีประกอบ ก็เป็นสิ่งที่เราชอบของหนังเรื่องนี้ เรารู้สึกว่า องค์ประกอบเหล่านี้เป็นตัวส่งเสริมที่ดีในการหนุนในหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์และน่าสนใจ

เราจะติดขัดนิดหน่อยตรงการเล่าเรื่อง เรายังรู้สึกว่าขาดๆเกินๆไปอยู่บ้างในระหว่างทางของเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น

ด้านการแสดง คงต้องพูดถึงเจ้าของรางวัล Best Actor เกือบทุกสถาบันในปีนี้ Gary Oldman ในบทบาทของ Winston Churchill นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ผู้นำประเทศผ่านพ้นวิกฤตช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนว่าการแสดงของ Gary ยอดเยี่ยมมากๆ เราไม่ได้มองว่า การแสดงของ Gary เหมือน Winston ไหม เพราะเราไม่ค่อยมีข้อมูลตรงส่วนนี้ แต่เราชอบตรงที่เค้าทำให้ Winston มีคาเรคเตอร์ที่เราเชื่อได้ว่าเขามีตัวตนจริงๆ

การรับบท Winston Churchill ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเพราะ Winston เป็นตัวละครที่มีตัวตนเฉพาะตัวสูงมาก เรารู้สึกว่า Gary ต้องทุ่มสุดตัวในการเข้าถึงบทบาทนี้ การเข้าถึงอารมณ์ในแบบสุดโต่ง การต้องแสดงออกมาแบบเต็มสุด ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องรู้สึกจากข้างในจริงๆ เพื่อส่งมาออกมาแบบเต็มกำลังแบบนี้ แต่ก็มีซีนซอฟท์ๆที่ทำได้ดี อยู่พอสมควร ทั้งซีนที่คุยกับเลขาในตอนท้าย ซีนโทรหาประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt และซีนที่คุยกับประชาชนในรถไฟฟ้าใต้ดินท้ายเรื่อง

ในความเห็นส่วนตัว ถ้าเทียบกับการแสดงของ Timothée Chalamet จาก Call Me by Your Name เรากลับชอบการแสดงของ Timothée มากกว่านิดหน่อย เรารู้สึกว่าอารมณ์ที่ Timothée ต้องสื่อสาร มันลึกกว่าและมันซับซ้อนกว่า

แต่ปีนี้ รางวัล Best Actor สำหรับเรา ขอมอบให้ Daniel Day-Lewis การแสดงอารมณ์ที่สุดซับซ้อน ลึกมากๆ เล่นกับความรู้สึกที่หลากหลาย ส่วนตัวเราคิดว่าการแสดงทุกซีนของ Daniel มันสื่ออารมณ์ทุกซีน ขนาดซีนที่คิดว่าเรียบง่ายที่สุด เรายังคิดว่ามันยังยากมากและซับซ้อนมากๆ

ซีนที่เราชอบในหนังเรื่องนี้มีอยู่ 2-3 ซีน คือ ซีนที่ Winston จะออกไปทำงานตอนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
เค้าคุยกับภรรยาได้น่ารักมากๆ

Clementine บอก Winton ว่า “ออกไปให้พวกเขาเห็นแสดงศักยภาพที่แท้จริงของคุณ ความไม่ทะนงตัวของคุณ”
“และการตัดสินใจที่ย่ำแย่และความตั้งใจที่หลอกลวงของผม” Winston เสริม
“และอารมณ์ขันของคุณด้วย” Clementine เสริมต่อ
Winston หัวเราะตอบ

ซีน Winston ที่คุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ก็ทำได้ดีมาก ในช่วงนั้น Winston เริ่มท้อและต้องการความช่วยเหลือจากอเมริกา สีหน้าแววตา น้ำเสียงดูเปลี่ยนไปจากเดิม ลดความแข็งกร้าวลง แต่สิ่งที่ได้รับการตอบกลับจากประธานาธิบดี Franklin ก็ทำให้เค้ากลับมาเกรี้ยวกราดอีกครั้ง ซึ่งเราชอบซีนนี้ที่มีหลากหลายอารมณ์และชอบการแสดงของ Gary ในการเปลี่ยนอารมณ์ในซีนนี้

และซีนที่ชอบอีกซีนที่จะขาดไม่ได้ ก็คือซีนจบ พูดสั้นๆเลยคือ เราชอบพลังของซีนนี้ Gary ส่งมันออกมาได้ถึงคนดูจริงๆ แม้จะเป็นประโยคที่เราเคยอ่านเคยฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม แต่ซีนนี้มันทำให้สุนทรพจน์นี้ อิมแพคที่สุดตั้งแต่เรารู้จักมา

Darkest Hour เล่าเรื่องของ Winston Churchill ในช่วงเวลาที่ต้องขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ขณะที่ประเทศกำลังเจอวิกฤติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังไม่ได้เน้นเรื่องราวในประเด็นสงครามมากนัก แต่เน้นเล่าไปที่เรื่องราวของ Winston Churchill เรื่องเบื้องหลังการเข้ามารับตำแหน่ง เล่าถึงสถานการณ์ที่เค้าต้องเผชิญ พูดถึงความลำบากในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆและพูดถึงตัวตนและพลังของ Winston

ช่วงเวลาที่ Wiston เข้ามาตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงเวลาวิกฤตของยุโรป นาซีเยอรมันกำลังขยายอำนาจแทบจะทั่วทั้งยุโรปแล้ว เหลืออำนาจใหญ่อย่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่กำลังถูกคลืบคลานเข้ามายึดครอง ช่วงเวลาในเรื่อง คือตอนที่ฝรั่งเศสเริ่มถูกตี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์สำคัญที่ดันเคิร์ก

ใครจะไปคิดว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญของ Winston ในเหตุการณ์ที่ดันเคิร์กตอนนั้น จะกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้อังกฤษและอาจจะหมายรวมไปถึงทั้งโลกนี้ รอดพ้นจากเงื้อมมือของฮิตเลอร์ไปได้ ฟังดูอาจจะมุทะลุมากๆในการส่งเรือพาณิชย์กว่า 800 ลำ เพื่อไปรับทหารอังกฤษกว่า 300,000 นาย จากดันเคิร์กที่กำลังถูกนาซีต้อน แทบจะไม่มีใครสนับสนุนการตัดสินใจที่บ้าบิ่นของ Winston เลย หากวันนั้นไม่มีความบ้าบิ่นของ Winston ทุกวันนี้เราคนไทยอาจถูกเรียกว่าคนญี่ปุ่นแล้วก็เป็นได้

การทำงานภายใต้ทีมงานที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนับสนุนเรา เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย มันมีทางเลือกหลายทางเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง เราเลือกได้ว่าจะเลือกตามเสียงส่วนใหญ่ เลือกตามเสียงส่วนน้อย เลือกตามคนที่มีอิทธิพล หรือสุดท้ายเราอาจเลือกตามตัวเราเอง คงไม่มีคำตอบชัดเจนหรอกว่า เราควรเลือกตัดสินใจแบบไหน สิ่งสำคัญคือตัวตนของเรา ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม อย่าทิ้งตัวตนของเราเป็นอันขาด

การจะต้องรับภาระอันสำคัญและยิ่งใหญ่เช่นนี้ นอกจากตัวเราเองแล้ว ครอบครัวก็คือส่วนสำคัญที่จะคอยสนับสนุนให้เราผ่านช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้ เราชอบอารมณ์การพูดคุยกันของ Clementine และ Winston แม้จะดูเหมือนว่า ไม่ได้พูดให้กำลังใจกันโต้งๆ แต่ก็รู้สึกได้ว่า Clementine คอยสนับสนุน Winston อยู่ข้างหลังอย่างมั่นคงมากๆ ถ้าจะถามว่าพลังเหลือล้นของ Winston ที่เราเห็นนั้น มาจากไหน เราเชื่อว่า Clementine ต้องเป็นหนี่งในคำตอบนั้น

การเป็นผู้นำที่ดี อาจจะมีตำราเขียนไว้มากมายหลายเล่ม แต่เราเชื่อว่าการเป็นผู้นำที่ดีนั้นมันไม่สามารถบอกได้ว่าเราควรต้องทำตัวอย่างไร ตำราก็แค่แนะนำเรา สถานการณ์ในชีวิตจริงไม่ได้ถูกเขียนไว้ครบถ้วนเหมือนในตำรา แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่เราจะละทิ้งไม่ได้เลยเมื่อเราต้องขึ้นมาเป็นผู้นำ นั่นก็คือตัวตนของเรา “Be Yourself”

เราเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเจอปัญหาหนักๆในชีวิตที่คิดว่าจะไม่สามารถผ่านมันไปได้...เราก็เคยเช่นกัน แต่วันนี้ที่เรามาเขียนเรื่องนี้อยู่ตรงนี้ แสดงว่าเราได้ผ่านสิ่งนั้นมาหมดแล้ว สิ่งสำคัญที่ Winston หรืออาจจะรวมถึงคนอังกฤษส่วนใหญ่แสดงออกให้เราเห็นคือสิ่งนี้ “ไม่ยอมจำนน” จะด้วยทัศนคติหรือความรักศักดิ์ศรีของชนชาติอังกฤษของตัวเองก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่แสดงออกมา มันทำให้เรารู้สึกว่า พวกเค้าไม่เคยถอดใจ พวกเค้าพร้อมสู้จนวินาทีสุดท้าย ผลลัพธ์สุดท้ายคือพวกเค้าไม่แพ้สงครามครั้งนี้ เราไม่รู้ว่า “การไม่ยอมจำนน” กับ “ชัยชนะ” เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันหรือไม่ แต่เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราไม่ยอมจำนนต่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ เราจะได้ผลลัพทธ์ที่เราพอใจกับมัน แม้มันจะออกมาดีหรือแย่แค่ไหนก็ตาม

“พวกเราออกมาสู้ในทุ่งหญ้าและบนท้องถนนกันเถอะ”

แม้เรื่องราวใน Darkest Hour จะพูดเรื่องใหญ่ระดับโลกแค่ไหนก็ตาม แต่เรากลับชอบแมจเซจเล็กๆในหนังเรื่องนี้

เราชอบประโยคที่ Clementine บอก Winston และเป็นประโยคที่เราชอบมาก ๆ “Be yourself” เรารู้สึกว่าเป็นประโยคที่ Clementine ไม่ได้สื่อสารถึงแค่ Winston เค้าสื่อสารถึงเราทุกคน ต่อให้หน้าที่ความรับผิดชอบของเราจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เราไม่ควรละทิ้งในทุกวินาที ก็คือ “การเป็นตัวเอง” เพราะสุดท้าย สิ่งที่อาจจะทำให้เราเสียใจที่สุดในชีวิต อาจจะเป็นการที่เราไม่ได้เป็นตัวเอง ก็เป็นไป

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่