คาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ โดยมีโอกาสที่ดัชนีฯ จะปรับขึ้นไปแตะระดับ 2,000 จุด หลังได้รับปัจจัยหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่เชื่อว่าในปีหน้าการลงทุนจากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าปีนี้ โดยเฉพาะการเริ่มลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะเป็นโครงการที่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไทยและต่างชาติได้อย่างดี
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในพื้นที่ EEC ถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อภาพรวมของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่และยกระดับประเทศไทยให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามา ช่วยเสริมศักยภาพของการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้ก้าวหน้าขึ้น
อีกทั้งประเมินถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางการเติบโตขึ้นจากปีนี้จากการส่งออกที่ดีขึ้นตามทิศทางของการค้าและเศรษฐกิจโลกที่จะเห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลัก เช่น สหรัฐอเมิรกา ยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น ขณะที่การบริโภคในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
" ปัจจัยที่ผลักดันดัชนี SET ให้เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นความมั่นใจในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนใน EEC การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ แต่ระหว่างทางอาจจะเกิดความตะกุกตะกักเกิดขึ้น เพราะมีบางปัจจัยที่กดดัน เช่น การบริโภคในประเทศที่ยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างเต็มที่ แต่เป็นลักษณะของการค่อย ๆ ดีขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นต้น"นายปริญญ์ กล่าว
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนแนะนำนักลงทุนลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบได้ต่อเนื่อง อาทิ หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมียังมีความน่าสนใจลงทุน เพราะราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่ดี และส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (สเปรด) มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม มีแนวโน้มที่ดีจากผลการดำเนินงานที่จะเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนใน EEC ที่จะเห็นการซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้หุ้นกลุ่มค้าปลีกเองก็ยัง เป็นหุ้นที่น่าสนใจจากการเติบโตดีตามภาคบริโภคที่ขยายตัว
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า คาดตลาดหุ้นไทยในปี61 จะเคลื่อนไหวแตะ 2,000 จุดได้ เนื่องจากมีนโยบายการลงทุนของภาครัฐบาลทีจะเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชน อาทิ โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC),โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟรางคู่ สนามบินอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)และโครงการอินฟราซัคเจอร์เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการเซ็นสัญญารับงานในปีหน้ามีจำนวนที่สูงสุดนับตั้งแต่อดีต
อย่างไรก็ตามหากดัชนีฯ เคลื่อนไหวไปถึง 2,100-2,200 จุด ก็อาจช่วงที่ร้อนแรงได้และคาดว่าจะมีโอกาสทำให้ดัชนีเกิดการพักฐานได้ ซึ่งอาจจะทำให้ดัชนีปรับลดลงราว20 % โดยนักลงทุนต้องเตรียมรับความเสี่ยงในจุดนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจจะมีผลกดดันดัชนีฯ คือการทดลองยิงขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ที่ยังความเสี่ยงและกดดันต่อตลาดหุ้นในทุกประเทศ แม้ว่าจะโอกาสค่อนน้อยที่จะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะต้องรุนแรงอย่างแน่นอน โดยอยากให้นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนโดยดูหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
2 เทพหุ้น ทำนายเห็น SET ทะยานแตะ 2,000 จุด เชื่อโครงการ EEC เรียกความเชื่อมั่น นลท.ใน-นอก
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในพื้นที่ EEC ถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อภาพรวมของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่และยกระดับประเทศไทยให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามา ช่วยเสริมศักยภาพของการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้ก้าวหน้าขึ้น
อีกทั้งประเมินถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางการเติบโตขึ้นจากปีนี้จากการส่งออกที่ดีขึ้นตามทิศทางของการค้าและเศรษฐกิจโลกที่จะเห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลัก เช่น สหรัฐอเมิรกา ยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น ขณะที่การบริโภคในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
" ปัจจัยที่ผลักดันดัชนี SET ให้เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นความมั่นใจในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนใน EEC การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ แต่ระหว่างทางอาจจะเกิดความตะกุกตะกักเกิดขึ้น เพราะมีบางปัจจัยที่กดดัน เช่น การบริโภคในประเทศที่ยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างเต็มที่ แต่เป็นลักษณะของการค่อย ๆ ดีขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นต้น"นายปริญญ์ กล่าว
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนแนะนำนักลงทุนลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบได้ต่อเนื่อง อาทิ หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมียังมีความน่าสนใจลงทุน เพราะราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่ดี และส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (สเปรด) มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม มีแนวโน้มที่ดีจากผลการดำเนินงานที่จะเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนใน EEC ที่จะเห็นการซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้หุ้นกลุ่มค้าปลีกเองก็ยัง เป็นหุ้นที่น่าสนใจจากการเติบโตดีตามภาคบริโภคที่ขยายตัว
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า คาดตลาดหุ้นไทยในปี61 จะเคลื่อนไหวแตะ 2,000 จุดได้ เนื่องจากมีนโยบายการลงทุนของภาครัฐบาลทีจะเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชน อาทิ โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC),โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟรางคู่ สนามบินอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)และโครงการอินฟราซัคเจอร์เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการเซ็นสัญญารับงานในปีหน้ามีจำนวนที่สูงสุดนับตั้งแต่อดีต
อย่างไรก็ตามหากดัชนีฯ เคลื่อนไหวไปถึง 2,100-2,200 จุด ก็อาจช่วงที่ร้อนแรงได้และคาดว่าจะมีโอกาสทำให้ดัชนีเกิดการพักฐานได้ ซึ่งอาจจะทำให้ดัชนีปรับลดลงราว20 % โดยนักลงทุนต้องเตรียมรับความเสี่ยงในจุดนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจจะมีผลกดดันดัชนีฯ คือการทดลองยิงขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ที่ยังความเสี่ยงและกดดันต่อตลาดหุ้นในทุกประเทศ แม้ว่าจะโอกาสค่อนน้อยที่จะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะต้องรุนแรงอย่างแน่นอน โดยอยากให้นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนโดยดูหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน