ปีใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ...

เริ่มจากวันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560

เช้าเราก็ไปทำงานปกติ ตอนเช้าก็บอกลาแม่คุยกับแม่เหมือนเดิมในทุกวันๆ ช่วงบ่าย 3 เราก็กำลังนั่งทำงานอย่างเพลินๆ โทรศัพท์ดัง อาเราโทรมา บอกว่าแม่อยู่โรงพยาบาล วูบไปไม่ได้สติ เราได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูก บอกไปว่า เดี๋ยวเราจะรีบไป พอเราตั้งสติได้ ก็รีบออกไปหาแม่ พอไปถึงเรารีบเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน เห็นแม่ในสภาพไม่รู้สึกตัว มีเครื่องช่วยหายใจ สายอะไรเต็มตัวแม่ไปหมด เราได้แต่คิดในใจว่าแม่ต้องปลอดภัยนะ แม่แค่หลับไป

พอเราตั้งสติได้ เราเดินออกมาหาพี่ถามว่าแม่เป็นอะไร พี่ชายบอกว่าแม่กินข้าวเสร็จ ก็เข้าไปอาบน้ำ พอออกมาแม่ก็มานั่งเก้าอี้ที่แม่ชอบนั่ง และซักพักแม่ก็บอกว่าแม่ปวดหัว และค่อยๆไหลลงไปกับเก้าอี้ พร้อมทั้งอาเจียนอาหารที่กินไปออกมาหมดเลย พอมาถึงโรงพยาบาลหมอได้ตรวจและแจ้งกับพี่ชายเราว่าแม่เส้นเลือดในสมองแตก และตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหล ยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ เราได้ยินแบบนั้น น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างดูเงียบไปหมด เรานั่งอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อรอส่งตัวแม่ไปรักษาอีกโรงพยาบาลนึงซึ่งบัตร 30 บาทแม่อยู่ที่นั่น แต่จนแล้วจนเล่าโรงพยาบาลนั้นก็ยังไม่ตอบกลับเนื่องจากห้องฉุกเฉินเตียงเต็ม จนเวลา 5 โมงเย็น พ่อกับอาเราก็มาถึง สีหน้าพ่อดูร้อนใจ รีบเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อไปหาแม่ พอพ่อเดินเข้าไปได้ซักพักก็เดินออกมา เรารับรู้ได้ว่าพ่อไม่โอเค พอพ่อนั่งซักพักไม่นาน พ่อก็บอกว่าพาพ่อกลับบ้านหน่อย อาก็พาพ่อกลับบ้าน

เรากับพี่ชายนั่งอยู่จนถึงประมาณ 1 ทุ่ม โรงพยาบาลก็ยังไม่ยอมรับเคสแม่เรา เรากับพี่ชายเลยตัดสินใจว่า จะส่งตัวแม่ไปที่โรงพยาบาลรามคำแหง เนื่องจากเรารู้สึกว่ามันนานไปแล้ว หลังจากนั้นเราก็เดินไปบอกที่หน้าเคาน์เตอร์ห้องฉุกเฉินว่า รบกวนประสานงานไปที่โรงพยาบาลรามเลยค่ะ เพราะจะส่งตัวแม่ไปที่นั่น หลังจากนั้นเราก็โทรหาอา บอกว่าแม่เป็นแบบนี้ๆนะ จะส่งตัวไป ให้โทรบอกหมอที่รักษาครอบครัวเราไว้ด้วย และด้วยความไวของการทำงานของโรงพยาบาลราม ที่นั่นตอบรับมาในทันที หลังจากนั้นพี่ชายเราก็เลยไปเคลียร์เรื่องรถที่จะไปส่งแม่ เราเป็นคนที่ได้นั่งรถ Ambulance ไปกับแม่

ระหว่างทางทุกอย่างมันดูบีบคั้นไปหมด เสียงหวอในรถ พี่คนขับรีบขับเพื่อที่จะไปส่งแม่เราให้เร็วที่สุด แต่ด้วยระยะทางค่อนข้างไกลและรถค่อนข้างติด พี่คนขับลงทางด่วนแถวพระราม 9 และขับต่อไปยังโรงพยาบาลราม ระหว่างทางเจอพี่คนขับมอเตอร์ไซค์ ช่วยนำทางให้ตลอดทาง จนถึงโรงพยาบาล ต้องขอบคุณพี่คนนั้นมากค่ะ ถ้าพี่ได้มาอ่านกระทู้นี้

พอถึงโรงพยาบาล อาเราไปรอแม่เราอยู่แล้วที่นั่น แม่เราถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน และหลังจากนั้นได้ส่งไปที่ห้องเอกซเรย์ และฉีดสีดูว่าเส้นเลือดแตกที่ตรงส่วนไหน พอทำขั้นตอนนี้เสร็จ พยาบาลได้เข็นแม่เราไปที่ห้องไอซียู หลังจากนั้นได้พบคุณหมอ นภสินธุ์ ผู้เชียวชาญทางด้านสมอง คุณหมอแจ้งว่า เคสนี้ค่อนข้างน่ากลัวนะครับ เนื่องจากเลือดยังออกอยู่เรื่อยๆ และตอนนี้จากผลเอกซเรย์คือเลือดได้กระจายไปทั่วสมองแล้ว ฉีดสีเข้าไปก็มองไม่เห็นว่าตรงไหนแตก เนื่องจากความดันในสมองมีสูงมาก เราที่ได้ยินจากปากคุณหมอแบบนั้น ได้แต่นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก คุณหมอก็ได้พูดเรื่องการรักษาในขั้นตอนต่อมา คือ การเดรนเลือดออกจากสมองแม่ และถ้าการรักษาในขั้นตอนนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แม่ตอบสนอง ถึงจะรักษาในขั้นตอนต่อมา ทางญาติเราก็ถามหมอว่า จะทำตอนไหนคะ หมอตอบกลับมาว่า เดี๋ยวทำเลยครับ

เราเดินออกมารอหน้าห้องผ่าตัด ด้วยหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เวลาผ่านไปไม่นาน คุณหมอเดินออกมาบอกว่าเรียบร้อยแล้วนะครับ คงต้องใช้เวลาซักพัก ต้องดูว่าเลือดสามารถออกมาได้เยอะมากน้อยแค่ไหน ส่วนวันนี้กลับบ้านไปพักกันก่อนก็ได้นะครับ เรา พี่ชายและญาติ นั่งรอจนแม่กลับเข้าไปที่ห้อง ไอซียู ก่อนกลับเราเดินเข้าไปหาแม่ ที่เราเห็นคือแม่โดนโกนผมออกเพื่อเจาะเข้าไปดูดเลือดออกมา เราอยู่กับแม่ซักพักเราก็กลับบ้าน พี่ชายเราโทรไปบอกอาที่อยู่กับพ่อว่า การรักษาเป็นไปทางไหน หมอบอกว่าอย่างไรบ้าง พี่ชายเราก็น้ำตาไหล ... และพูดว่า ไม่รู้จะบอกพ่อยังไง เรายิ่งจุกขึ้นไปอีก เราคุยกับพี่ชาย พี่ชายบอกว่าจะอยู่กับแม่ถึงพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยกลับ เราก็บอกงั้นเรากลับก่อน พอกลับถึงบ้านทุกอย่างดูเงียบไปหมด ด้วยความเหนื่อยเราก็หลับไป

เช้าวันที่ 20 ธันวาคม 2560
เราตื่นลงมาเจอพ่อ พ่อบอกว่า ... พ่อรอตั้งนาน ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบ้านเลย เราได้แต่บอกว่าก็รอดูอาการแม่ไง แล้วค่อยกลับ เช้าวันนั้นเราตัดสินใจโทรหาน้องชายและน้องสาวแม่ว่า แม่ไม่สบายหนักมาก ให้รีบขึ้นมานะคะ บ่ายวันนั้นน้องชายและน้องสาวแม่ก็มา เราไปโรงพยาบาลพร้อมพวกเค้า ระหว่างทางรถติดมาก พี่ชายเราไลน์มาถามว่า นัทอยู่ไหนแล้ว ? ความดันแม่ลดแล้วนะ เหลือ 50 ทุกอย่างมันดูเร็วไปหมด เราเลยบอกเรากำลังรีบไปนะ บอกแม่รอเราก่อน ซักพักอาเราไลน์มาบอกว่า นัทอยู่ไหนแล้วรีบมาหน่อย แม่สมองไม่ทำงานแล้ว ณ วินาทีนั้น เราอยากไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ก็เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ พอหลุดทางด่วนตรงอนุเสาวรีย์ชัยไปได้ รถค่อนข้างเคลื่อนตัวได้ดี ไม่นานเราก็ถึงโรงพยาบาล เรารีบเดินไปหาแม่ให้เร็วที่สุด

ระหว่างทางเจอคุณหมอที่รักษาเราประจำ และดูแลเคสแม่ คุณหมอบอกว่า ตอนนี้สมองแม่ไม่ทำงานแล้วนะ ก็ถือว่ายังเป็นโชคดีที่เค้าไม่รู้สึกตัว ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรอีกแล้ว ได้ยินแบบนั้นเรารีบเดินขึ้นไปหาแม่ ที่เราเห็นคือทุกคนยืนล้อมเตียงแม่ ตาทุกคนดูแดงไปหมด เหมือนผ่านการร้องไห้มาไม่ต่างจากเรา เราเดินเข้าไปจับมือแม่ วินาทีนั้นทุกอย่างที่เรากับแม่เคยมีด้วยกันมันวนมาซ้ำๆในหัว เราอยู่ได้ซักพัก เราก็เดินออกมาข้างนอก พ่อเราพูดกับอาว่า แม่ต้องสู้สิ แม่ต้องหาย แต่เราที่รู้ในใจอยู่แล้วคือ ทุกอย่างมันยากมาก ที่เราควรจะทำคืออยู่กับแม่ให้ได้มากและนานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ คืนนั้นเราอยู่กับแม่จนหมดเวลาเยี่ยม เราถึงกลับบ้าน

เช้าวันที่ 21 ธันวาคม 2560

เราตื่นแต่เช้าเพราะเราต้องรีบไปเจาะเลือดตรวจโรคประจำตัวของเรา เราไปโรงพยาบาลพร้อมน้องสาวและน้องชายแม่ ไปถึงเราเห็นว่าไม่มียาความดันและยากระตุ้นหัวใจอีกแล้ว เลยถามพยาบาลว่า อันนี้คือหมอถอดออกแล้วใช่ไหมคะ พยาบาลบอกว่าเดี๋ยวต้องคุยกับคุณหมอนะคะ เราก็บอกงั้นไม่เป็นไรค่ะ
เดี๋ยวเราลงไปหาหมอก่อนเดี๋ยวมา พอถึงเวลาเราก็ลงไปตรวจ เจอหมอ หมอก็ถามว่า เป็นยังไงบ้าง ? คงต้องใช้เวลาหน่อยนะ ให้พ่อเวลาหน่อย เค้าอยู่ด้วยกันมานาน แต่มันจะผ่านไปได้นะ เราเลยถามว่า หมอคะ มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ หมอบอกว่าโรคนี้ส่วนมากจะไม่เตือนล่วงหน้า คือรู้อีกทีก็เป็นเลย หรือถ้ามีสัญญาณเตือนคือจะปวดหัวมาก จนต้องมาโรงพยาบาล แต่เคสของแม่เรามันไม่ใช่แบบนั้น หมอก็อยากให้มีปาฏิหารย์นะ แต่มันยากเหมือนกัน และไม่อยากให้เราโทษตัวเองนะ เราได้ให้การรักษาแม่ดีที่สุดแล้ว ได้ยินแบบนั้นเราก็ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ

ออกมาเรารีบออกไปหาแม่ที่ห้อง ความดันแม่คงอยู่ประมาณ 60-50 ไม่เกินนี้ ทางพยาบาลบอกว่า ตอนนี้คุณหมอไม่ได้ให้ยาแล้วนะคะ ความดันของคนไข้จะค่อยลงเรื่อยๆ ทางญาติสะดวกเซ็นเอกสารเลยไหมคะ ว่าจะไม่ให้ยาเพิ่มและจะไม่ปั้มหัวใจ เราไม่กล้าที่จะเซ็นจริงๆค่ะ เรายอมรับ เราได้แต่บอกว่าเดี๋ยวเราให้พี่ชายมาเซ็นนะคะ หลังจากนั้นเราก็ห่วงที่ออฟฟิศ เลยรีบขับรถจากโรงพยาบาลกลับมาออฟฟิศ เพื่อมาเอาคอมกลับไปทำงานที่โรงพยาบาล เรานั่งทำงานไปซักพัก เราเดินเข้าไป ความดันแม่เริ่มตกลงไปเรื่อยๆ เราเห็นตัวเลขสุดท้ายคือ 18 และทุกอย่างก็เงียบไป ไม่อยากบอกเลยค่ะว่ารู้สึกยังไง เพราะเหมือนทุกอย่างมันหมดแล้วจริงๆ เราเดินออกไปเรียกพ่อ บอกว่าพ่อ แม่ไปแล้วนะ ... พ่อเราด้วยไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว รีบเดินกึ่งวิ่งมาหาแม่ จับมือแม่และพูดกับแม่ว่า ไม่เป็นไรนะ .. พ่อยังอยู่ดูแลลูก ไปนะ หลับให้สบาย เราได้ยินแบบนั้น เราหันหลังออกเลยค่ะ กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ พ่อเราร้องไห้หนักมาก จนความดันขึ้นถึง 181 จนคุณพยาบาลบอกว่าให้นอนพักก่อนนะ เดี๋ยวค่อยกลับบ้านนะคะ

เรา พี่ชายและอาได้ดำเนินการทุกอย่างให้แม่ เราเป็นคนเลือกหีบศพให้ เลือกดอกไม้หน้าศพให้แม่ให้ดีที่สุด ทำงานของแม่ให้ออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ส่งแม่ให้ถึงที่สุดท้าย จนเรากลับบ้าน เช้ามาเราก็เข้าไปออฟฟิศ มาเคลียร์งานบางส่วนที่เราพอจะทำได้ เพราะเราหยุดค่อนข้างนานมาก นายเรียกเราไปคุยและบอกเราว่าให้เราลาหยุดเถอะนะ ไม่ต้องมาทำงาน ไปอยู่กับที่บ้าน ทำงานแม่ให้ดีที่สุดนะ เราได้ยินแบบนี้เรายิ่งใจหาย

ช่วงเย็นวันที่ 22 มีรดน้ำศพแม่ เราพี่ชาย ใส่รองเท้า หวีผม เติมปาก ห่มผ้าให้แม่จนถึงสุดท้ายนำร่างแม่เข้าโลง ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจนถึงสุดท้ายที่วันเผา วันนี้คือวันที่ผ่านไปยากที่สุด เพราะจะเป็นวันที่เราเห็นแม่วันสุดท้าย แต่เราก็ผ่านไปได้ด้วยครอบครัว พี่ เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน

กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ค่อนข้างยากเลยทีเดียวค่ะ ภาพทุกอย่างยังวนซ้ำอยู่ในหัว
วันที่เรามีความสุข วันที่เราทุกข์ วันที่เราประสบความสำเร็จ ทุกๆวันเหล่านั้นมีแม่อยู่
แต่มาวันนี้เราไม่มีแล้ว แต่เราเชื่อว่าแม่ยังมองเราอยู่ และถ้าแม่มองอยู่เราว่าแม่คงยิ้มได้
เพราะแม่พูดเสมอว่า แม่ไม่มีอะไรให้ ไม่มีสมบัติอย่างคนอื่นเค้า มีแต่การศึกษา ก็แล้วแต่ว่านัทจะขวนขวายเก็บไปต่อยอดได้มากแค่ไหน
และที่เรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะแม่ มีงานที่ดี มีพี่ที่ดี มีเพื่อนที่ดี เพราะแม่ที่ทำให้นัทได้ดีขนาดนี้
แม่คงอยากให้นัทกลับมาเป็นคนเดิมให้เร็วที่สุด นัทยังมีพ่อ มีพี่ มีอา ที่ยังอยู่ด้วย แต่ไม่ง่ายนะแม่ ขอเวลาหน่อย
นัทเชื่อว่าแม่ยังอยู่ อยู่ในใจ อยู่ในทุกๆความทรงจำ อยู่ในทุกช่วงเวลาทั้งดีและไม่ดี
ขอบคุณแม่สำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้ พอไม่มีแม่แล้วรู้ซึ้งเลย ว่างานบ้านมันไม่ง่ายนะ !! 55


สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณโรงพยาบาลรามคำแหงที่ให้การรักษาแม่ดีที่สุดจนถึงวินาทีสุดท้าย
ขอบคุณคุณหมอนภสินธุ์ เถกิงเดช ขอบคุณพยาบาลประจำห้อง ICU
ขอบคุณทุกอย่างและทุกคนจริงๆค่ะ

ที่พูดมาทั้งหมดคืออยากให้ทุกคนได้รู้ว่า ทุกอย่างมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
เราไม่มีทางรู้เลยว่า วันไหนจะเกิดขึ้นกับเรา ทำทุกวันให้ดีที่สุด
ดูแลท่านให้ดีที่สุด ไม่อยากให้ทุกคนเสียดายเวลาและโอกาสที่จะทำ
อยากกอดท่านให้กอด อยากหอมท่านให้หอม เพราะวันที่พวกเราอยากทำสิ่งนั้นมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้


ด้วยรักและคิดถึง .... แม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่