คนขี้ลืม ๑๑ ม.ค.๖๑

กระทู้สนทนา
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

คนขี้ลืม

" เพทาย "

ฝนปรอยลงมาแต่เช้า ผมหยิบร่มสีดำคร่ำคร่ามาถือไว้แล้ว แต่ยังตกลงใจไม่ได้ว่าจะกางดีหรือไม่ แหงนมองดูท้องฟ้ามืดครึ้มชอุ่มฝนแต่เพิ่งลงเม็ดเพียงเบาบางเท่านั้น แทบจะไม่เปียก ฝนชนิดนี้ช่วยให้เป็นหวัดเป็นไข้ดีนัก ตัดสินใจกางดีกว่า มีร่มอยู่ในมือแล้วจะปล่อยให้หัวโดนฝนทำไม

ผมออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า ๆ ตามปกติ ผู้คนในซอยบ้านผมเดินกันขวักไขว่ ทั้งนักเรียนนักศึกษาหญิงชาย และข้าราชการทหารพลเรือน ที่มีสำนักงานอันใหญ่โตอยู่แถวนั้น ทุกคนก็อยากถึงที่ทำงานหรือขึ้นไปอยู่บนรถเมล์ ก่อนที่ฝนจะเปลี่ยนเป็นเม็ดใหญ่กว่านี้ ผมกางร่มเดินข้ามสะพานลอยไปยังป้ายรถเมล์ มองดูผู้คนจากที่สูงซึ่งแม้จะเร่งรีบ แต่ก็ไม่มีใครกางร่มเลยสักคนเดียว ชักจะอายสาว ๆ ที่แต่งตัวสวยงามเขายังไม่กลัวเปียกเลย แต่หรือจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เตรียมร่มมาด้วยก็ไม่รู้

พอดีรถประจำทางสายที่ผมจะโดยสารไปด้วย แล่นมาถึงใต้สะพานลอย ต้องรีบหุบร่มวิ่งลงตามขั้นบันได เกือบไม่ทันได้ขึ้น ความจริงคนขับก็มองกระจกหลังทางด้านซ้ายอยู่ เขาคงเห็นผมแล้ว แต่คิดว่าผมคงจะกระโดดเกาะได้ ที่แท้ผมเพิ่งเอามือข้างขวาจับราวบันไดรถ มือซ้ายหิ้วกระเป๋าเอกสารหนักอึ้ง พร้อมด้วยร่มซึ่งยังพับไม่ทันเรียบร้อยดี ต้องใช้แขนขวาเกร็งข้อดึงตัวขึ้นเหยียบบันได ตามจังหวะที่รถกระชากออกแขนแทบเคล็ด แบบนี้ถ้าไม่หลวมตัวไปเกาะเข้าแล้ว ไม่ขึ้นเด็ดขาด

รถคันนี้คนไม่ค่อยแน่นเท่าไร เพราะเพิ่งออกจากต้นทางที่สนามหลวง ผ่านถนนสามเสน มาถึงป้ายหน้าซอยบ้านผม มีคนนั่งเต็มเก้าอี้ และตอนที่ผมขึ้นก็มีคนยืนเพียงหลวม ๆ เท่านั้น แต่กระเป๋าก็ยังอุตส่าห์บอกให้เดินชิดใน มันเป็นประโยคซ้ำ ๆ ซาก ๆ คล้ายเขาอัดเทปไว้ในสมอง กระเป๋าหรือที่จริงควรจะเรียกว่ากระปี๋ตามเพศ รับสตางค์ค่าโดยสารจากผมและฉีกตั๋วให้แล้ว ก็เดินเขย่ากระบอกส่งเสียงแกร๊ก ๆ ไปยืนพิงอยู่แถวประตูหลังอย่างสบายอารมณ์

ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น ได้ยินเสียงกระทบหลังคารถเปาะแปะ แทรกอยู่ระหว่างเสียง กระหึ่มของเครื่องยนต์ มีคนวิ่งหนีฝนมาขึ้นรถเพิ่มอีกหลายคน แต่รถเคลื่อนที่ได้เพียงนิดเดียวก็มาหยุดรอไฟแดงอยู่ตรงหน้าสถานีตำรวจ เมื่อกี้ไม่น่ารีบร้อนเลย

รถโดยสารยังคงจอดสนิทอยู่กับที่เช่นนั้น เพราะบนถนนมีแต่รถมากมายหลายชนิด ที่จะเคลื่อนไปทางทิศไหนก็ไม่ได้เหมือนกัน รถที่มาจากสะพานข้ามแม่น้ำก็พากันเลี้ยวเข้ามาอัดแน่นอยู่ในถนน ที่มุ่งหน้าไปทางเทเวศร์ รถจากทิศทางอื่นก็เลยผ่านไฟแดงไปไม่ได้ ส่วนผมกำลังมุ่งหน้าจะไปทางเหนือก็ มีรถเมล์โดยสารจอดเรียงแถว ยาวสุดสายตาเหมือนขบวนรถไฟ

เมื่อรถจอดป้ายหน้า มีคนวิ่งพรูมาแย่งกันขึ้นรถเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้ทั้งกระเป๋าและคนขับช่วยกันตะโกนให้ผู้โดยสารเดินชิดในทั้งประตูหน้าและประตูหลัง เพื่อที่จะได้ไปอัดกันอยู่ตรงกลาง ผมขยับเขยิบเข้าไปใกล้คนขับเพื่อให้เลยประตูหน้า จะได้ไม่ต้องเลื่อนไปมา ทั้งร่มทั้งกระเป๋าเอกสารก็เกะกะ ติดคนโน้นขัดคนนี้อยู่เรื่อย จะอาศัยวางที่กระโปรงคลุมเครื่องยนต์ ก็มีแต่หีบห่อย่ามตะกร้าวางเต็มไปหมด ไม่มีที่ว่างเลย

เสียงนกหวีดของตำรวจจราจร เสียดแทรกเข้ามาอย่างถี่ยิบ เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นเขียว คล้าย ๆ จะเร่งให้รถที่จอดรีบ ๆ เคลื่อนออกไปเสียโดยเร็ว เพื่อที่คันอื่นจะได้ทะยอยเข้ามาจอดบ้าง จอดแล้วก็ให้รีบ ๆ ไปอีก ไม่รู้ว่าจะให้รีบไปถึงไหน ในเมื่อคันหน้าเพิ่งจะขยับ เสียงนกหวีดดังเสียดแก้วหูลงไปถึงกระเพาะอาหาร น่าสงสารตำรวจผู้มีหน้าที่จัดการจราจร ซึ่งต้องยืนตากฝนพรำ โบกมือจนแขนแทบจะหลุดอยู่แล้ว ยังต้องเสียแรงลมเป่านกหวีดอยู่ตลอดเวลาอีก ทั้ง ๆ ที่จมูกก็ถูกคลุมด้วยผ้าขาวบางเหมือนช่างตัดผม คงจะหายใจไม่ค่อยสะดวกเลย น่าเหนื่อยแทนจริง ๆ

ป้ายต่อ ๆ มา ก็มีแต่คนขึ้นมากกว่าคนลงทุกแห่ง รถจึงยิ่งแน่นขึ้นทุกที ขนาดที่ไม่ต้องกำหูกระเป๋าเอกสาร ก็ไม่ยอมหล่นลงถึงพื้น หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุด คงจะรำคาญความเกะเก้งก้างของผมเต็มที เลยขอเอากระเป๋าไปช่วยวางบนตัก ผมรีบยิ้มตอบขอบคุณทั้งด้วยวาจา ตลอดไปถึงหัวใจ เพราะเมื่อยแขนเต็มทนแล้ว คนมีน้ำใจนั้น หาไม่ค่อยได้ง่ายนักในปัจจุบันนี้ ส่วนมากจะมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง หรือก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมืออย่างใจจดใจจ่อ หรือหลับเอาศรีษะพิงเสาหน้าต่างรถเสีย จนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว

รถเลี้ยวขวาตรงสี่แยกถัดไป แล้วก็จอดป้ายหน้ากรมทหารสองป้าย ซึ่งแถวนี้ผู้โดยสารทั้งชายหญิงที่แต่งกายด้วยชุดสีกากีแกมเขียวลงกันมาก ทำให้คนที่ยืนบนรถพร่องลงไปไม่น้อย หญิงสาวคนที่ถือกระเป๋าให้ผมก็ลงป้ายนี้ด้วย ผมจึงรับกระเป๋าและร่มพร้อมกับขอบคุณอีกครั้ง แล้วเบี่ยงตัวหลบให้หญิงวัยกลางคนที่มีถุงพะรุงพะรัง ได้นั่งแทนที่ แต่เธอกลับยืนเฉย ผมพยักหน้าให้เห็นชัดเจนว่าผมสละสิทธิ์ให้เธอ คราวนี้เธอยิ้มกว้างบอกว่า ลุงนั่งเถอะ ผมชักฉุน เราอุตส่าห์หวังดีกันที่ไว้ให้แล้วจะนั่งลงไปเองได้อย่างไร

พอดีก็มีชายฉกรรจ์ในชุดผู้ใช้แรงงานถลาเข้ามานั่ง เรียบร้อยโรงเรียนราษฎร์ไปเป็นอันว่าอดกันทั้งสองฝ่าย

ขณะนั้นรถก็ใกล้จะถึงป้ายหน้าที่ทำงานของผม จึงรีบก้าวไปยืนรอใกล้บันไดเตรียมลง พอเอื้อมมือไปกดกริ่ง ก็มีคนอื่นที่ข้างประตูหลังกดซ้อนขึ้นมาอีก รถก็เลยไปจอดห่างป้าย ประมาณสองเสาไฟฟ้า นับว่าเคราะห์ดีมาก

ฝนยังคงตกปรอย ๆ อยู่อย่างเดิม ไม่มาก ไม่น้อย ผมกางร่มหิ้วกระเป๋าคู่ชีพ เดินผ่านยามประตูเข้าไป โดยไม่มีใครแสดงความเคารพ คงจะเป็นทหารใหม่ที่นึกว่าผมเป็นลูกจ้าง หรือพ่อค้าเข้ามาติดต่อราชการก็ได้

พอเดินผ่านที่ทำงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาก็ตะโกนทักเสียงดังลั่นว่า มาทำไมอีกล่ะ ผมยิ้มให้เขาพลางนึกในใจว่า เป็นคำทักทายที่เชยมาก ก็มาทำงานน่ะซีจะมีอะไร

พอดีเขาเดินเข้ามาใกล้บอกว่า เกษียณแล้วก็อยู่บ้านเลี้ยงหลานดีกว่า ถ่อสังขารมาทำไมอีก ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้เป็นวันจันทร์ที่สองตุลาคมแล้ว เมื่อวานบังเอิญเป็นวันอาทิตย์ วันนี้เลยยังตั้งสติไม่ทัน

มิน่าเล่า น้าคนนั้นแกถึงได้เรียกลุง เวรกรรมแท้ ๆ เทียวกูเอ๋ย ผมรำพึงในที่สุด.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่