สวัสดีเพื่อนชาวพันทิปและห้องบลูแพลนเน็ตทุกคนค่า กลับมาโผล่ในห้องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว กระทู้นี้สุจะมาเล่าเรื่องราวการเดินป่าขึ้นเขาครั้งแรก แถมเป็นระยะทางไกล ที่ไม่ใช่เดินทางไกลแบบลูกเสื้อเนตรนารี (ย้อนวัยไปอี๊กกกก) เรื่องราวจะเป็นอย่างไรตามไปชมกันเลยค่า
ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตใจ ท้าทายสมรรถภาพร่างกายตัวเองด้วยการเดินป่าฝ่าเนินเขาที่สูงชันด้วยระยะทาง 9 กิโล ที่แห่งนั้นคือ “เขาสันหนอกวัว” เขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในแลนมาร์คของนักเดินป่าเดินเขา ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น หรอ? เปล่าจ้า! แม้เราจะไม่ใช่นักเดินป่า แต่เราก็ชอบธรรมชาติ ชอบไปสัมผัส ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ทริปเดินป่าครั้งนี้จึงบังเกิดขึ้น…ระยะทางเท่านี้ ความสูงขนาดนี้ ร่างแหลกไม่แหลกมาดูกัน!
ชมคลิปเรียกน้ำย่อยกันหน่อยค่า
– – – – – – – – – – –
เริ่มต้นทริปด้วยการเดินทางออกจากกรุงเทพ ตี 5 ถึงจุดนัดหมาย “ป้อมปี่” ประมาณ 10 โมงนิดๆ ก็ลงทะเบียน แล้วไปสั่งข้าวไว้เป็นเสบียงสำหรับมื้อกลางวัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะมาทำการชั่งน้ำหนักสัมภาระที่ต้องการให้ลูกหาบแบก กรุ๊ปเราจัดเต็มลิมิต 30 กก. จ้า
พร้อมแล้วก็ออกเดินทาง โดยการนั่งรถกระบะของเจ้าหน้าที่จากป้อมปี่ไปที่จุดเริ่มต้นเดิน และวินาทีต่อจากนี้…เอาจริงแล้วสินะ!!!
พี่ที่ใส่เสื้อลายทหารคือพี่เจ้าหน้าที่นำทางของกรุ๊ปเรา ชื่อ พี่ทวี
เส้นทาง 9 กิโล ถ้าเป็นการเดินช็อปปิ้งหรือตามหาของกินนังนี่ตอบเลยว่า ชิล ๆ แต่นี่มันไม่ใช่เว้ยแก…มันทรหดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่รู้สรรหาคำไหนมาบรรยาย เราไม่รู้ว่าเดินขึ้นลงเขากันกี่ลูก รู้แค่ว่าทำไมเนินชันมันเยอะจังว้า แต่ก็ยังดีที่อากาศไม่ร้อน แดดส่องแต่ร่มรื่น มีลมพัดให้สดชื่นเป็นระยะๆ ผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ป่าไผ่ ทุ่งหญ้า
ตอนแรกเงยไปเห็น ตกใจเลย…มันคือเถาวัลย์เด้อ
เราเดินกันเรื่อยๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ (พี่ทวี) เดินปิดท้าย แวะจุดพักที่ 1 2 3 4 จนมาถึงจุดพักที่ 5 ซึ่งเป็นจุดที่แวะกินข้าวมื้อกลางวันกัน พี่ทวีบอกว่า ต่อจากนี้ก็จะพบกับ “เนินหมาถอย” ถ้านี่เปรียบกับเมนูอาหารก็คงเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ใครๆ ต้องสั่ง เพราะมาที่นี่ยังไงก็ต้องเจอ!
เนินหมาถอยที่เราไม่ยอมถอย แต่พร้อมกลิ้งทิ้งตัวได้ทุกเมื่อถ้าปล่อยมือจากเชือก ฮ่าๆๆ ชันจริงไรจริง ถอนหายใจเฮื้อกใหญ่ไปหลายรอบ แต่ก็ผ่านมาได้เน้อ
ปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมนำไปก่อน นังนี่ขอทำใจแป๊บ 555
สุชาดามาแล้ว มาพร้อมไม้เท้าคู่ใจ หาได้ตามข้างทาง 555
พี่ทวี เดินแบบชิลไปมั้ยค้าาาา ไม่เกรงใจไม้เท้าหนูเลย...หลุดจากเนินหมาถอย เดินต่ออีกประมาณ 2-3 กิโลก็ถึงจุดการเต๊นท์แล้ว ฮูเล่
ก่อนถึงด้านบน พี่เจ้าหน้าที่อีกกรุ๊ปชวนพวกเราไปชมวิวอีกจุดหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่าสวยนะ ไปมั้ย ไปเหอะ ไม่ไกลหรอก…แหมๆ ถ้าพูดขนาดนี้ นังนี่ไม่ไปก็ไม่ได้แล้วมะ! ตามไปค่ะ
เหยยยย มันดีจริงไรจริง พี่เขาไม่หลอกเราจ้า ฮ่าๆ มุมนี้จะมองเห็นเขาเรดาร์ค่อนข้างชัด และด้านหลังนั้นก็เป็นเขื่อนวชิราลงกรณ์ เสียดายที่มีเมฆก้อนใหญ่บัง ไม่อย่างนั้นแสงจากพระอาทิตย์คงกระทบลงน้ำเป็นภาพที่สวยงามอย่างแน่นอน
พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า นี่เป็นรอยเท้ากระทิง บริเวณนี้จะมีกระทิงมานอนบ่อยๆ
กรุ๊ปของสุใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ ออกจากจุดเริ่มต้นเกือบๆ เที่ยง ถึงข้างบนก็ประมาณ 4 โมง (ถือว่าเป็นเวลาที่ดีใช่มะ) บนนี้ลมแรงและหนาวใช้ได้ แต่เนื่องจากพระอาทิตย์ยังคงแสดงอิทธิฤทธิ์ จึงทำให้ได้รับไออุ่นอยู่นิดๆ
ลูกหาบเรายังขึ้นมาไม่ถึง พี่ทวีจึงจัดการมองหาและจองทำเลกางเต๊นท์ไว้ให้ก่อน ระหว่างรอก็ขึ้นไปชมวิวด้านบนซะเลย…หากจะขึ้นไปจุดชมวิวต้องเดินขึ้นเขาผ่านเนินชันอีกเล็กน้อย แต่เดินไม่ไกล จุดนี้บอกเลยว่าหวิวๆ เสียวขาวูบวาบ ขาแอบสั่นโดยไม่รู้ตัว ฮ่าๆ
I’m here สันหนอกวัวแม่(เล็ก) จุดที่มีป้ายผู้พิชิตนั่นเอง ถ้าใครต้องการพิชิตความสูงที่ 1,767 ต้องเดินต่อไปที่สันหนอกวัวพ่อ(ใหญ่) ซึ่งก็ไม่ไกลมาก แต่ก็ชันเอาเรื่องอยู่ ฮ่าๆ ใจอยากจะไปต่อแต่ขาบอกพอเถอะ ช่วยเก็บแรงไว้เดินกลับพรุ่งนี้ด้วยเน้อ
ตรงมุมขวาล่าง ที่มีสีสัน สีขาวๆ คือบริเวณกางเต๊นท์...ใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศเพียงไม่นาน พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำ กำลังจะลาลับจากฟ้า
สุไม่ได้อยู่จนพระอาทิตย์ตกหรอก เพราะกลัวว่ามืดแล้วจะเดินลงลำบาก (ไม่มีใครเอาไฟฉายมาเลยจ้า) อีกอย่างคือเริ่มหิวแล้วด้วย จึงรีบลงไปดูว่าลูกหาบมาถึงหรือยัง
เย้! ลูกหาบมาถึงแล้ว กำลังเตรียมกางเต๊นท์อยู่พอดี พี่ทวีและเพื่อนอีกคนที่ลงมาก่อนก็ร่วมด้วยช่วยกัน ส่วนฉันนั้นก็ช่วยให้กำลังใจ หยิบจับอะไรที่พอจะช่วยได้ (หลังจากทริปนี้จะไปฝึกกางเต๊นท์ละ ฮ่าๆ)
เต๊นท์เป็นรูปเป็นร่างแข็งแรงทนทาน ลมพัดก็ไม่สะทกสะท้าน พวกเราก็ล้มตัวนอนกันได้เล้ยยยย เดี๋ยว!!! กินข้าวเย็นก่อนมั้ย?
ก่อนทำอาหาร พี่ทวีเดินมาถามว่า “มีแก๊สมาหรือเปล่าครับ” นี่รีบหันไปตอบ “ไม่มีค่า” ทันทีที่พี่แกได้ยินก็คงพอจะรู้ละว่าควรจะช่วยเหลือนังพวกนี้ได้อย่างไร…ก็ต้องก่อไฟน่ะสิจ๊ะ ลูกหาบทำหน้าที่ไปเก็บไม้แห้งหรือฟืนมาก่อกองไฟ พี่ทวีก็มาถามไถ่อีกว่ามีหม้อต้มน้ำมากันมั้ย นี่ก็รีบตอบไปเลยว่า “ไม่มีค่า” พร้อมยิ้มแห้งๆ (คือเตรียมมาแค่อาหาร ฮ่าๆ) พี่ทวีจึงให้พวกเรายืมหม้อสนามไว้ใช้ต้มน้ำสำหรับปรุงอาหาร แถมยังต้มและรอจนน้ำเดือดแถมกรอกน้ำใส่ถ้วยให้พวกเราอีก (ขอบคุณมากๆ ค่า)
มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารสุดเบสิค แต่เติมเต็มชีวิตดีมาก “มาม่าคัพรสหมูสับ” มาพร้อมกับปิ้งย่างไส้กรอก บาโลน่า เบคอนแพ็ค ซึ่งในส่วนของการปิ้งย่างนั้น พวกเราลงมือทำกันเองโดยมีพี่ทวียืนดูอยู่ไม่ห่าง ช่วงเวลานี้มันค่อนข้างทุลักทุเลมาก ไหม้บ้าง หล่นบ้าง แต่อร่อยนะเห้ย
ลูกหาบของกรุ๊ปเราเอง
เบคอนสักชิ้นมั้ยคะ
กินอิ่ม ก็มานั่งผิงไฟให้ร่างกายอบอุ่น
นั่งไปนั่งมา ลมแรงพัดเปลวไฟมาใกล้ตัว ก็เริ่มร้อนจนต้องหนีละ 555
กว่าจะทำ กว่าจะกินเสร็จ เวลาก็ปาไป 2 ทุ่มซะแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นไปจนถึงขั้นหนาว มุดเข้าเต๊นท์เซฟพลังงานความอุ่นในร่างกายดีกว่า เพราะเดี๋ยว 3 ทุ่มเราจะออกมาดูดาว อันที่จริงตอนนี้ก็มีดาวให้เห็นแล้วแหละ เยอะมากด้วย แต่ติดตรงที่บรรยากาศรอบๆ ยังมีแสงสว่างจากเต๊นท์และกองไฟจากกรุ๊ปอื่นอยู่ จึงรอให้ดึกอีกนิดแล้วค่อยออกมาเก็บภาพดาวกัน ระหว่างนี้ก็ของีบสักหน่อย
นาฬิกาปลุกดังที่เวลา 3 ทุ่มเป๊ะ โอ้โหยยยย หนาวววว ขนาดอยู่ในเต๊นท์ยังรับรู้ได้ถึงความหนาวนี้ ลมแรงมาก คาดว่าอุณหภูมิ 10 กว่าแหงๆ จะเปิดแอพ weather ดูก็ไม่มีสัญญาณอี๊ก…เอาเป็นว่าใส่เสื้อคลุมเติมพร็อพให้พร้อมเป็นดีที่สุด
ก้าวขาออกจากเต๊นท์เท้ายังไม่ทันจะเหยียบพื้น อยากก้าวถอยกลับทันที ลมพัดตึ้ง ตึ้ง ตึ้งๆๆๆๆๆ (เพลงมา!) หนาวมากถึงมากที่สุด ปกติเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไป หน้าชา มือชา จะหยิบกล้องยังลำบาก กล้องนี่เย็นยะเยือกถึงจุดเยือกแข็งไปแล้วมั้ง แต่พอเงยหน้ามองฟ้าเท่านั้นแหละ หนาวแค่ไหนก็สู้โว้ย!
นี่เองเหรอที่เขาเรียกว่าทะเลดาว ดาวเต็มท้องฟ้า โผล่มาทักทายส่องแสงระยิบระยับราวกับคืนนี้มีปาร์ตี้กัน สวยงามจริงจัง ไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย แม้จะถ่ายรูปมาแต่ก็สวยไม่เท่าเห็นด้วยตาเปล่า
นี่ก็คือผลงานภาพถ่ายท้องฟ้าและดวงดาวในค่ำคืนวันเสาร์สุดหรรษาของฉัน เคยแต่นั่งดูภาพถ่ายของคนอื่นเขา แล้วก็เอาแต่บ่นว่าเมื่อไรเราจะได้เห็นแบบนี้บ้างนะ วันนี้มีภาพถ่ายดาวเป็นของตัวเองแล้วนะเหวย ปริ่มมาก (น้ำตาคลอเบ้า)
หลังจากที่ยืนสั่นหงึกๆ กดชัตเตอร์มาได้ 2-3 รูป เราทุกคนก็พยักหน้าเป็นอันรู้กันว่าเข้าเต๊นท์เถอะ หนาวไม่ไหวแล้วจ้า แต่ก็คุยทิ้งท้ายกันไว้ว่าเดี๋ยวเช้ามืดตื่นมาถ่ายรูปดาวอีกสักรอบ
[CR] วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า...เรื่องเล่าเดินป่าขึ้นเขาครั้งแรกที่ “เขาสันหนอกวัว” กาญจนบุรี
ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตใจ ท้าทายสมรรถภาพร่างกายตัวเองด้วยการเดินป่าฝ่าเนินเขาที่สูงชันด้วยระยะทาง 9 กิโล ที่แห่งนั้นคือ “เขาสันหนอกวัว” เขาที่สูงที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในแลนมาร์คของนักเดินป่าเดินเขา ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น หรอ? เปล่าจ้า! แม้เราจะไม่ใช่นักเดินป่า แต่เราก็ชอบธรรมชาติ ชอบไปสัมผัส ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ทริปเดินป่าครั้งนี้จึงบังเกิดขึ้น…ระยะทางเท่านี้ ความสูงขนาดนี้ ร่างแหลกไม่แหลกมาดูกัน!
เริ่มต้นทริปด้วยการเดินทางออกจากกรุงเทพ ตี 5 ถึงจุดนัดหมาย “ป้อมปี่” ประมาณ 10 โมงนิดๆ ก็ลงทะเบียน แล้วไปสั่งข้าวไว้เป็นเสบียงสำหรับมื้อกลางวัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะมาทำการชั่งน้ำหนักสัมภาระที่ต้องการให้ลูกหาบแบก กรุ๊ปเราจัดเต็มลิมิต 30 กก. จ้า
พร้อมแล้วก็ออกเดินทาง โดยการนั่งรถกระบะของเจ้าหน้าที่จากป้อมปี่ไปที่จุดเริ่มต้นเดิน และวินาทีต่อจากนี้…เอาจริงแล้วสินะ!!!
เส้นทาง 9 กิโล ถ้าเป็นการเดินช็อปปิ้งหรือตามหาของกินนังนี่ตอบเลยว่า ชิล ๆ แต่นี่มันไม่ใช่เว้ยแก…มันทรหดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่รู้สรรหาคำไหนมาบรรยาย เราไม่รู้ว่าเดินขึ้นลงเขากันกี่ลูก รู้แค่ว่าทำไมเนินชันมันเยอะจังว้า แต่ก็ยังดีที่อากาศไม่ร้อน แดดส่องแต่ร่มรื่น มีลมพัดให้สดชื่นเป็นระยะๆ ผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ป่าไผ่ ทุ่งหญ้า
เราเดินกันเรื่อยๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ (พี่ทวี) เดินปิดท้าย แวะจุดพักที่ 1 2 3 4 จนมาถึงจุดพักที่ 5 ซึ่งเป็นจุดที่แวะกินข้าวมื้อกลางวันกัน พี่ทวีบอกว่า ต่อจากนี้ก็จะพบกับ “เนินหมาถอย” ถ้านี่เปรียบกับเมนูอาหารก็คงเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ใครๆ ต้องสั่ง เพราะมาที่นี่ยังไงก็ต้องเจอ!
เนินหมาถอยที่เราไม่ยอมถอย แต่พร้อมกลิ้งทิ้งตัวได้ทุกเมื่อถ้าปล่อยมือจากเชือก ฮ่าๆๆ ชันจริงไรจริง ถอนหายใจเฮื้อกใหญ่ไปหลายรอบ แต่ก็ผ่านมาได้เน้อ
พี่ทวี เดินแบบชิลไปมั้ยค้าาาา ไม่เกรงใจไม้เท้าหนูเลย...หลุดจากเนินหมาถอย เดินต่ออีกประมาณ 2-3 กิโลก็ถึงจุดการเต๊นท์แล้ว ฮูเล่
ก่อนถึงด้านบน พี่เจ้าหน้าที่อีกกรุ๊ปชวนพวกเราไปชมวิวอีกจุดหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่าสวยนะ ไปมั้ย ไปเหอะ ไม่ไกลหรอก…แหมๆ ถ้าพูดขนาดนี้ นังนี่ไม่ไปก็ไม่ได้แล้วมะ! ตามไปค่ะ
เหยยยย มันดีจริงไรจริง พี่เขาไม่หลอกเราจ้า ฮ่าๆ มุมนี้จะมองเห็นเขาเรดาร์ค่อนข้างชัด และด้านหลังนั้นก็เป็นเขื่อนวชิราลงกรณ์ เสียดายที่มีเมฆก้อนใหญ่บัง ไม่อย่างนั้นแสงจากพระอาทิตย์คงกระทบลงน้ำเป็นภาพที่สวยงามอย่างแน่นอน
กรุ๊ปของสุใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ ออกจากจุดเริ่มต้นเกือบๆ เที่ยง ถึงข้างบนก็ประมาณ 4 โมง (ถือว่าเป็นเวลาที่ดีใช่มะ) บนนี้ลมแรงและหนาวใช้ได้ แต่เนื่องจากพระอาทิตย์ยังคงแสดงอิทธิฤทธิ์ จึงทำให้ได้รับไออุ่นอยู่นิดๆ
ลูกหาบเรายังขึ้นมาไม่ถึง พี่ทวีจึงจัดการมองหาและจองทำเลกางเต๊นท์ไว้ให้ก่อน ระหว่างรอก็ขึ้นไปชมวิวด้านบนซะเลย…หากจะขึ้นไปจุดชมวิวต้องเดินขึ้นเขาผ่านเนินชันอีกเล็กน้อย แต่เดินไม่ไกล จุดนี้บอกเลยว่าหวิวๆ เสียวขาวูบวาบ ขาแอบสั่นโดยไม่รู้ตัว ฮ่าๆ
I’m here สันหนอกวัวแม่(เล็ก) จุดที่มีป้ายผู้พิชิตนั่นเอง ถ้าใครต้องการพิชิตความสูงที่ 1,767 ต้องเดินต่อไปที่สันหนอกวัวพ่อ(ใหญ่) ซึ่งก็ไม่ไกลมาก แต่ก็ชันเอาเรื่องอยู่ ฮ่าๆ ใจอยากจะไปต่อแต่ขาบอกพอเถอะ ช่วยเก็บแรงไว้เดินกลับพรุ่งนี้ด้วยเน้อ
ตรงมุมขวาล่าง ที่มีสีสัน สีขาวๆ คือบริเวณกางเต๊นท์...ใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศเพียงไม่นาน พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำ กำลังจะลาลับจากฟ้า
สุไม่ได้อยู่จนพระอาทิตย์ตกหรอก เพราะกลัวว่ามืดแล้วจะเดินลงลำบาก (ไม่มีใครเอาไฟฉายมาเลยจ้า) อีกอย่างคือเริ่มหิวแล้วด้วย จึงรีบลงไปดูว่าลูกหาบมาถึงหรือยัง
เย้! ลูกหาบมาถึงแล้ว กำลังเตรียมกางเต๊นท์อยู่พอดี พี่ทวีและเพื่อนอีกคนที่ลงมาก่อนก็ร่วมด้วยช่วยกัน ส่วนฉันนั้นก็ช่วยให้กำลังใจ หยิบจับอะไรที่พอจะช่วยได้ (หลังจากทริปนี้จะไปฝึกกางเต๊นท์ละ ฮ่าๆ)
เต๊นท์เป็นรูปเป็นร่างแข็งแรงทนทาน ลมพัดก็ไม่สะทกสะท้าน พวกเราก็ล้มตัวนอนกันได้เล้ยยยย เดี๋ยว!!! กินข้าวเย็นก่อนมั้ย?
ก่อนทำอาหาร พี่ทวีเดินมาถามว่า “มีแก๊สมาหรือเปล่าครับ” นี่รีบหันไปตอบ “ไม่มีค่า” ทันทีที่พี่แกได้ยินก็คงพอจะรู้ละว่าควรจะช่วยเหลือนังพวกนี้ได้อย่างไร…ก็ต้องก่อไฟน่ะสิจ๊ะ ลูกหาบทำหน้าที่ไปเก็บไม้แห้งหรือฟืนมาก่อกองไฟ พี่ทวีก็มาถามไถ่อีกว่ามีหม้อต้มน้ำมากันมั้ย นี่ก็รีบตอบไปเลยว่า “ไม่มีค่า” พร้อมยิ้มแห้งๆ (คือเตรียมมาแค่อาหาร ฮ่าๆ) พี่ทวีจึงให้พวกเรายืมหม้อสนามไว้ใช้ต้มน้ำสำหรับปรุงอาหาร แถมยังต้มและรอจนน้ำเดือดแถมกรอกน้ำใส่ถ้วยให้พวกเราอีก (ขอบคุณมากๆ ค่า)
มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารสุดเบสิค แต่เติมเต็มชีวิตดีมาก “มาม่าคัพรสหมูสับ” มาพร้อมกับปิ้งย่างไส้กรอก บาโลน่า เบคอนแพ็ค ซึ่งในส่วนของการปิ้งย่างนั้น พวกเราลงมือทำกันเองโดยมีพี่ทวียืนดูอยู่ไม่ห่าง ช่วงเวลานี้มันค่อนข้างทุลักทุเลมาก ไหม้บ้าง หล่นบ้าง แต่อร่อยนะเห้ย
กว่าจะทำ กว่าจะกินเสร็จ เวลาก็ปาไป 2 ทุ่มซะแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นไปจนถึงขั้นหนาว มุดเข้าเต๊นท์เซฟพลังงานความอุ่นในร่างกายดีกว่า เพราะเดี๋ยว 3 ทุ่มเราจะออกมาดูดาว อันที่จริงตอนนี้ก็มีดาวให้เห็นแล้วแหละ เยอะมากด้วย แต่ติดตรงที่บรรยากาศรอบๆ ยังมีแสงสว่างจากเต๊นท์และกองไฟจากกรุ๊ปอื่นอยู่ จึงรอให้ดึกอีกนิดแล้วค่อยออกมาเก็บภาพดาวกัน ระหว่างนี้ก็ของีบสักหน่อย
นาฬิกาปลุกดังที่เวลา 3 ทุ่มเป๊ะ โอ้โหยยยย หนาวววว ขนาดอยู่ในเต๊นท์ยังรับรู้ได้ถึงความหนาวนี้ ลมแรงมาก คาดว่าอุณหภูมิ 10 กว่าแหงๆ จะเปิดแอพ weather ดูก็ไม่มีสัญญาณอี๊ก…เอาเป็นว่าใส่เสื้อคลุมเติมพร็อพให้พร้อมเป็นดีที่สุด
ก้าวขาออกจากเต๊นท์เท้ายังไม่ทันจะเหยียบพื้น อยากก้าวถอยกลับทันที ลมพัดตึ้ง ตึ้ง ตึ้งๆๆๆๆๆ (เพลงมา!) หนาวมากถึงมากที่สุด ปกติเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไป หน้าชา มือชา จะหยิบกล้องยังลำบาก กล้องนี่เย็นยะเยือกถึงจุดเยือกแข็งไปแล้วมั้ง แต่พอเงยหน้ามองฟ้าเท่านั้นแหละ หนาวแค่ไหนก็สู้โว้ย!
นี่เองเหรอที่เขาเรียกว่าทะเลดาว ดาวเต็มท้องฟ้า โผล่มาทักทายส่องแสงระยิบระยับราวกับคืนนี้มีปาร์ตี้กัน สวยงามจริงจัง ไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย แม้จะถ่ายรูปมาแต่ก็สวยไม่เท่าเห็นด้วยตาเปล่า
นี่ก็คือผลงานภาพถ่ายท้องฟ้าและดวงดาวในค่ำคืนวันเสาร์สุดหรรษาของฉัน เคยแต่นั่งดูภาพถ่ายของคนอื่นเขา แล้วก็เอาแต่บ่นว่าเมื่อไรเราจะได้เห็นแบบนี้บ้างนะ วันนี้มีภาพถ่ายดาวเป็นของตัวเองแล้วนะเหวย ปริ่มมาก (น้ำตาคลอเบ้า)
หลังจากที่ยืนสั่นหงึกๆ กดชัตเตอร์มาได้ 2-3 รูป เราทุกคนก็พยักหน้าเป็นอันรู้กันว่าเข้าเต๊นท์เถอะ หนาวไม่ไหวแล้วจ้า แต่ก็คุยทิ้งท้ายกันไว้ว่าเดี๋ยวเช้ามืดตื่นมาถ่ายรูปดาวอีกสักรอบ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น