คุณรู้เรื่องศาสนาพุทธดีเพียงใด

กระทู้สนทนา
ความไม่ตาย มนุษย์บางส่วนพยายามค้นหามาหลายพันปี ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ก็หาวิธีแก้ตาย โดยหวังว่าทำร่างกายให้มีชีวิตนิรันต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ธรรมชาติที่ปรุงตัวเป็นสัตว์ชีวิตคือ รูปกาย ความรู้สึก ความจำได้หมายรู้ ความระกอบสร้างขึ้นของปัจจัยทางธรรมชาติ และความรู้แจ้งในอารมณ์ นั้น ไม่มีใครจะมากำหนดหรือสั่งการมันได้ ไม่มีใครกำหนดให้มันเกิด กำหนดให้มันเป็นตามใจอยาก การกำหนดว่า ให้มันคงรูปเป็นตัวมนุษย์ตลอดไป หรือจะเป็นไปได้ ?????
แต่วันหนึง มีคนรู้ว่า ความตายจะดับไปได้เพราะอะไร  คือพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า ธรรมชาติที่เกิดปรากฎขึ้น ยังไงก็ต้องเสื่อมสลายไป ชีวิตเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่านานขนาดไหนก็ต้องตาย ท่านให้เราปล่อยวาง ธรรมชาติที่เกิดปรากฎทั้งหมด แม้แต่ สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน วิญญาณ >>>มโน คือภาวะที่กำลังน้อมไปสู่อารมณ์ความคิด วิญญาณ คือการรู้แจ้งในอารมณ์ อุปมาดั่งแสงที่วิ่งไปหาฉาก แสงที่กำลังพุ่งเรียกมโน แสงที่กระทบฉาก คือวิญญาณกิริยาที่รู้แจ้ง ส่วนรอยแสงที่ประทับบนฉากเรียก จิต หรืออาจเรียกรวมๆ ว่าใจ ธรรมชาติของนามธรรมนี้ มีการเกิดดับทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ต่อเนื่อง เหมือนการมองเห้นที่ต้องใช้แสง ของเรานั้น เมือนมันจะต่อเนื่อง แต่ความจริงไม่ ในช่วงแสงมีคลื่นแสงมาเป็นช่วงๆ แต่เร็วมากจนเรานึกว่ามันต่อเนื่อ แสงเก่าผ่านไป แสงใหม่ผ่านมา เป็นแบบนี้<<< ธรรมชาติเหล่านี้ทั้งหมด คือทุกข์ ทุกคือสิ่งใดก็ตามที่สามารถเสื่อมสลายลงไปได้ ไม่ใช่แค่อาการทรมานกายใจ เห็นได้ชัดว่า ***ความเชื่อเรื่องวิญญาณที่สังคมส่วนใหญ่เชื่อก็ไม่ตรง***
   ความตาย เป็นแค่อาการของการที่ธาตุขาดการควบคุมกันได้ ทำไห้ไม่สามารถมีกลไกต่อชีวิต เมื่อตายแล้วก็สลายไป แต่ถามว่า นามธรรมอย่าง จิต มโน หรือวิญญาณ หรือความยึดมั่นจะหยุดการทำงานไปด้วยมั้ย บางคนบอกดับไปด้วย ขาดสูญไม่มีอะไรเลย แต่ในกรณีของคนตายแล้วฟื้น ซึ่งแม้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่า ตายจริง เพราะร่างการหยุดทำงานในทุกประการแล้ว แต่เขากลับฟื้นขึ้นมา เพราะอะไร วิทยาศาสตร์อาจบอกว่า เป็นกลไกบางอย่างของร่างกายและสมอง แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้จริงๆ ยังกังขากันอยู่ นั่นเพราะวิทยาศาสตร์สนใจแต่กลไกทางกายภาพกับรูปธรรม ไม่นึกถึงว่า กลไกลทางร่างกาย หรือแม้กิริยาของมนุษย์และสัตว์ก็มาจากนามธรรมหรือใจ ที่แสดงออกทางกาย แม้บางที กายไม่รู้สึก แต่ใจรู้สึก แม้แต่ความฝันเราก็กำหนดมันไม่ได้
    เราก็นึกว่า ธรรมชาติที่ประกอบขึ้นเป็นเรา เป็นตัวตนจริง สัตว์ทั่วโลกธาตุเป็นแบบนั้น ถ้าเรากล่าวถึ่ง มนุษย์โลกอื่น เทวดา สัตว์นรก เปรต แน่นอน บางคนบอกไร้สาระ พิสูจน์ไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มีความพยายามอย่างมาก ที่จะค้นหาสิ่งมีชีวิตโลกอื่น ซึ่งอย่างที่กล่าวมา เทวดา สัตว์นรก เปรต หรือแม้แต่มนุษย์โลกอื่น พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่ามี มาสองพันกว่าปี อย่างคำว่า  สัตว์นรก เปรต เทวดา ก็เป็นศัพท์บัญญัติขึ้นมา เพื่อเรียกชีวิตโลกอื่น เช่นคำว่า ดาวโลก ภาษาไทยเรียก ดาวเคราะห์โลก เรียกต่างกันในหลายภาษา แต่คือดาวดวงเดียวกัน
    และศัพท์ของพระพุทธเจ้าเรียกดาวที่มีมนุษย์แบบนี้ว่า ชมพูทวีป และยังกล่าวว่า มีอีกสี่ทวีปคือ อุตตรกุรทวีป ปุพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป ซึ่งเป็นศัพท์บัญญัติของพระพุทธเจ้า ที่ใช้เรียกดวงดาวที่มีมนุษย์แต่ละแบบอาศัยอยู่ ส่วนทวีปที่ทุกวันนี้เข้าคือ แผ่นดินใหญ่ ******
>>>>>>>>>>และสุดท้ายนี้ เมื่อคนได้ยินคำว่าศาสนาพุทธ ในกรณีนี้กล่าวถึงศาสนาพุทธ หลายคนที่ยังไม่ได้ศึกษาถึงแก่น จะมองว่าเป็นพิธีกรรม ความเชื่อ ปรัชญา นิยายปาติหารย์หรืออะไรที่คล้ายกัน แต่มันไม่ใข่ นั่นคือความเชื่อที่คนอื่นยัดเข้าไป และคนก็สำผัสแค่นั้น ก็คิดว่าศาสนาพุทธคืออย่างนั้น
แต่พอพุดถึงวิทยาศาสตร์ ก็จะนึกภาพว่า คือศาสตร์ปห่งการพิสูจน์ การทดลอง มีหลักการ มีความรู้ สามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตหลายๆอย่าง หรือประมาณนั้น
       แต่แท้จริง ศาสนา แปลว่าคำสอน พุทธ แปลว่า ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว มันเป็นองค์ความรู้ที่มาจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พิธีกรรมความเชื่อที่สังคมพากันเชื่อผิดๆถูกๆอยู่ทุกวันนี้ แต่เราติดแค่บัญญัติศัพท์ ติดสัญลักษณ์ ไม่ได้คิดถึงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ ศาสนาพุทธ ก็แค่บัญญัติศัพท์ แต่คนมีปัญญาจะถามว่า แต่ละศาสตร์ สอนอะไร มีหลักการอย่างไร มีข้อปฏิบัติอย่างไร ผมเห็นทั้งคนรังเกียจวิทยาศาสตร์และศาสนา เห็นทั้งคนที่บอกว่า ศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์ไปด้วยกันไม่ได้ แต่ผมว่าที่แน่ๆ คนคนนั้น เขาไม่ได้มองในแง่องค์ความรู้ แต่เขากำลัง ยึดความเชื่อตนเอง
>>>>>>เชิญสนทนากันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่