นามรูป ความนัยที่อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน


นามรูปเป็นศัพท์ทางพุทธ หมายถึงนามธรรมและรูปธรรม ได้แก่ร่างกายและจิตใจบ้าง ได้แก่ขันธ์ทั้งห้าหมวดบ้าง  ในญาณ ๑๖ ความหมายที่แสดงออกมากินความหมายถึงร่างกายและจิตใจ ในปฏิจจสมุปบาทบอกเหตุของนามรูปมีอยู่ เพราะวิญญาณมี ทั้งสามนัยนั้นตรงกันคือได้แก่สิ่งที่เป็นวัตถุบ้าง สิ่งที่เป็นจิตใจหรือนามธรรมบ้าง

จะเห็นได้ว่าทางพุทธจะไม่เหมือนกับทางวิทยศาสตร์ทางกายภาพประการหนึ่งคือวิทยาศาสตร์จะเน้นแต่สิ่งที่เป็นเรื่องกายภาพ แต่พุทธศาสตร์เอาเรื่องทางจิตใจมาเชื่อมโยงกับเรื่องทางกายภาพไปด้วยเลย จึงยุบศัพท์หรือเชื่อมศัพท์ทั้งสองได้แก่นามและรูปเป็นคำว่านามรูป

วิธีคิดของวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวิธีมองโลกทางตะวันออกอย่างหนึ่งตรงนี้ อาทิเช่น
- การทำโรงฆ่าสัตว์ วิทยาศาสตร์จะเชื่อว่าเมื่อสัตว์ตายไปแล้วก็จบๆกันไป ดังนั้นจึงเปิดฟาร์มฆ่าสัตว์เลี้ยงชีพกัน ในขณะที่วิธีการมองทางพุทธจะให้ความสำคัญกับชีวิต เขาเชื่อว่าชีวิตซึ่งเป็นนาม มันต้องการมีชีวิตอยู่ เมื่อทำลายชีวิตเป็นจำนวนมาก เป็นระยะเวลายาวนาน สิ่งนั้นก็อาจจะย้อนกลับไปคืนสู่มนุษย์หรือผู้กระทำได้
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
- การตัดต้นไม้จำนวนมาก วันใดวันหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติก็อาจจะส่งผลคืนดังเช่นปัญหาทางสิ่งแวดล้อม โลกร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพได้หายไปจากโลก

- การใช้ยาปฏิชีวนะ พบว่าในธรรมชาติเชื้อโรคสามารถดื้อยาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆหลังจากการใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ จนทำให้มีโรคติดต่อใหม่ๆเกิดขึ้น (ความที่มันพัฒนาได้เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ เหมือนกับมีตัวตนอันหนึ่งที่ต้องการโจมตีกลับ)

เวลาอธิบายเรื่องต่างๆ วิทยาศาสตร์ก็มักจะใช้แต่สิ่งที่เป็นกายภาพมาอธิบาย เป็นต้นว่า
- เมื่อนั่งสมาธิแล้วมีความสุข นักวิทยาศาสตร์พบว่าเกิดขึ้นจากการหลั่งของสารเอนโดฟิน (ทำไมเฮียไม่อธิบายใช้คำว่า เพราะกำจัดนิวรณ์ได้ ซึ่งเป็นมุมมองเชิงนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม)
- ตัณหาเกิดจากฮอร์โมนเพศ (ทำไมไม่อธิบายว่าตัณหาเกิดขึ้นจากการไม่สำรวม เพราะความเพลิน เพราะความไม่รู้)

เพราะวิธีคิดของวิทยาศาสตร์ประการหนึ่งคือต้องการเข้าไปค้นหากลไกของสิ่งต่างๆเชิงกายภาพและในแบบระยะสั้น เพื่ออะไร? ก็เพื่อเข้าไป hack การทำงานของธรรมชาตินั้นเอง เข้าใจกระบวนการทางธรรมชาติแล้ว(วิทยาศาสตร์บริสุทธ์) แล้วก็ประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ตามความต้องการ ระเบิดนิวเคลียร์ก็เกิดขึ้นจากการเข้าไปแฮคการทำงานของอะตอมเป็นต้น เข้าใจโครงสร้างแล้วก็มุ่งไปสู่การสร้างระเบิด แนวคิดในการค้นคว้าหาทฤษฎีเพื่อหาอนุภาคพระเจ้าก็ล้วนแต่มองโลกในเชิงกายภาพ หรือรูปธรรมไปซะทั้งหมด เพราะแกเชื่อว่า รูปธรรมเท่านั้นที่เป็นต้นทางของนามธรรมทั้งหมด

ตัวอย่างอีกอันหนึ่งที่ชัดเจนสองแนวทางในการควบคุมการเต้นของหัวใจไม่ให้สูง แนวทางหนึ่งคือการให้ยา ซึ่งเป็นวิธีการทางกายภาพ อีกวิธีหนึ่งซึ่งก็ยอมรับจากหมอมาทีหลังคือการควบคุมการหายใจ (ซึ่งก็มาจากประสบการณ์ในการนั่งสมาธินั่นเองของหมอบางคน) เพียงแต่ว่ามันช้า

นี่คือการย้อนทวนเข้าไปถึงต้นทางแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่พวกเราเองก็รู้ การแก้ไขปัญหาของวิทยาศาสตร์จะทำได้เร็วกว่าแนวคิดเชิงตะวันออกซึ่งเป็นไปทางจิต เสมือนกับยาสมุนไพรกับยาฝรั่งอย่างไรอย่างนั้น  

สิ่งที่จะนำการมองแบบมิติใหม่ต่อธรรมชาติให้ชัดเจนให้มากยิ่งขึ้นคือการมองเชิงนามธรรมของสิ่งต่างๆทั้งปวง นามธรรมมันอาจจะทำงานช้ากว่า จนบางครั้งเราซึ่งตัวเล็กและมีอายุสั้นมองไม่เห็นกระบวนการทำงานของนามธรรมในธรรมชาติที่ดำเนินการไปจนคิดว่า"ไม่มี" มันจะไม่มีได้อย่างไรก็แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำก็มักจะอ้างสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าขึ้นมาเพื่อตอบคำถามที่ตอบไม่ได้ในเชิงกายภาพ

East Meets West ... แท้ที่จริงแล้วบรรจุอยู่ในแนวคิดของคำว่า "นามและรูป" มันเสมือนว่าในธรรมชาติไม่ใช่รูปที่ก่อให้เกิดนาม หรือว่านามบงการรูป แต่มันผสมผสานกัน ปรุงกันไป ไม่มีอะไรเป็นต้นทางของอะไร มันเหมือนๆกับแสงที่แท้จริงแล้วเป็นคลื่นของแม่เหล็กและไฟฟ้า สองสิ่งมันทำงานสลับไปสลับมาหาต้นทางไม่ได้


ไอ้ความที่เราจะหาต้นทางไม่ได้เป็นข้อสรุปที่มีผลกระทบอันใหญ่หลวงมาก เพราะมันเป็นการบอกว่า นามธรรมมีอยู่ได้โดยไม่ต้องมีรูปธรรมได้ ผลกระทบจากการสรุปดังกล่าวใหญ่หลวงหนักมากและเป็นไปในวงกว้างที่สุด

นักวิทยศาสตร์จะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าโลกเราจะมีอะไรที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้จากนามธรรมโดยไม่มี media หรือรูปธรรม  เพราะผีหรือวิญญาณแปลกๆจะโผล่ออกมาหลอกหลอนกันในทันที

นามและรูป ไม่มีในภาษาอังกฤษ มีแต่คำว่า body&mind หรืออาจจะต้องยืมศัพท์ทางคอมพิวเตอร์มาใช้ได้แก่ hard&software ซึ่งไม่เพราะ การอธิบายของวิทยาศาสตร์เชิงฟิสิกส์ก็ตามชีววิทยาก็ตามมันไปไกลจนสุดได้แค่วัตถุและเอื้อมไปไกลอย่างมากถึงควอนตัม ถ้าจะมีใครเปิดประตูทะลุไปข้างหลังประตูก็จะเจอแต่เรื่องทางจิต-วิญญาณ-นามธรรม-software-intangible elements

ประตูดังกล่าวเปิดได้ต้องเข้าใจถึงการผสมผสานของธรรมชาติในการรังสรรค์
1. นามกับรูป ทำงานปรุงแต่งกัน ไม่จำเป็นต้องมีใครเป็นต้นทางของใคร (ก็เพราะมีคนคิดว่ารูปต้องเป็นต้นทาง .. ถึงมีทฤษฎีกำเนิดชีวิตโลกว่ามาจากฟ้าผ่าในทะเลเมื่อ 2000 ล้านปีก่อนจนก่อให้เกิดสารโปรตีนบางอย่าง และทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นจากการสุ่ม ไม่ได้มีอะไรมารังสรรค์.. แต่หากมองในแง่หนึ่ง ตัณหาซึ่งเป็นนามธรรมนั่นแหละ ที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นเป็นตัวทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา)

2. วิธีคิดแบบนี้ต้นทางที่สุดของธรรมชาติก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "อวิชชา" ไปในบัดดล ไม่ใช่เป็นอนุภาคพระเจ้า หรือ theory of everything หรือ bigbang ... แล้วไม่ต้องไปคิดว่า อวิชชา ตั้งอยู่บนอะไร ... ให้เข้าใจว่าอวิชชาที่เป็นนามธรรมล้วนๆ

3. นามธรรม เป็นเสมือนสิ่งที่ทำให้รูปมันแกว่งไกว ทำให้รูปมันไหว เหมือนๆกับ code ที่ยังไม่ได้ execute เมื่อ execute ในระบบบ้าง ในกาลอวกาศบ้างจึงทำให้เห็นปรากฏการณ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  วิทยาศาสตร์ ศาสนา ศาสนาพุทธ ปรัชญา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่