ถอดรหัสรวยปีจอ


ปี 2560 ที่เพิ่งผ่านไปคงเป็นปีที่ทำให้นักลงทุนหลายๆ คนดีใจไม่ใช่น้อย เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้นไทยหรือหุ้นต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้มากกว่า 10% ยิ่งคนที่ซื้อกองทุน LTF นอกจากจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีกันแล้ว หากปี 2561 ครบกำหนดเงื่อนไขและตลาดยังไปได้สวยแบบนี้ เท่ากับว่าได้กำไรเพิ่มอีกต่างหาก

แล้วปี 2561 นี้ การลงทุนจะยังคงสดใสต่อเนื่องได้หรือไม่ วันนี้ K-Expert จะมาวิเคราะห์ให้ได้รู้กันว่า ปีจอที่กำลังจะมาถึงนี้จะเป็นสุนัขดุหรือเชื่องกันแน่

ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2561 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากปีที่ผ่านมาโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจโลกในปี 61จะขยายตัวที่ 3.8% เพิ่มขึ้นจากปี 60 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.7% โดยเฉพาะพี่บิ๊กอย่างสหรัฐฯ ที่ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงมาที่ 21% จากเดิม 35% ซึ่งจะช่วยให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่วนประเทศขนาดใหญ่อื่นๆ อย่าง ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เศรษฐกิจก็ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2561
ในส่วนของประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวได้ 4.0% เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.9% ปัจจัยหนุนคือ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนในประเทศ ที่เพิ่มสูงขึ้น

หุ้นไทย จากความร้อนแรงในปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยสามารถปรับตัวสูงขึ้นจนทำ New High ในรอบ 24 ปีได้ คงทำให้มีหลายคนทั้งกังวลและก็ลุ้นว่ามันจะสามารถดันขึ้นจนไปถึงจุดเดิมที่ 1,789 จุด ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2537 ได้ไหมหรือจะทิ้งเหล่าผู้ลงทุนไว้กลางทางกลับลงมา โดยในปีจอนี้ บล.กสิกรไทย มองเป้าหมายหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,800 จุด โดยได้ปัจจัยที่ช่วยหนุนไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ดี การเมืองที่ชัดเจนขึ้นจากการจัดการเลือกตั้งช่วงปลายปี และราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นของประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
ในส่วนของช่วงต้นปี 61 น่าจะพอได้เห็นหุ้นไทยขึ้นไปแตะบริเวณ 1,788 จุดจากการประกาศงบของบริษัทต่างๆ ประจำงวดไตรมาส 4 ที่คาดว่าจะออกมาดี เป็นจังหวะให้ขายทำกำไรออกมาก่อนได้ และในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเกินจุดสูงสุดเดิมได้

หุ้นยุโรป ยังเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศ โดยเศรษฐกิจยุโรปในปี 2561 มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี จนทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) สามารถปรับลดการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ได้ โดยในส่วนของราคาหุ้นยุโรปปัจจุบันอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15 เท่าซึ่งเมื่อไปเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยกันอย่าง สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่า แต่ยังต้องติดตามข่าวสารการเลือกตั้งในประเทศอิตาลีที่จะมีขึ้นช่วง พ.ค. 2561 ว่าพรรค Five Star Movement ที่มีนโยบายอยากให้อิตาลีแยกตัวออกจากยูโรโซน จะได้รับคะแนนเสียงจนเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

หุ้นสหรัฐฯ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน ในปี 2560 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาแรงแซงทุกโค้ง ดัชนีทำ New High อย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายๆ คนอยากที่จะเข้าลงทุนบ้าง ประมาณว่าแม้ไม่ได้นั่งบนรถแต่ขอโหนไปด้วยก็ยังดี โดยการปรับขึ้นครั้งนี้คาดว่ามาจากการประกาศใช้นโยบายปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนโยบายนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2561 เป็นต้นไป และในส่วนของตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

แม้ว่าหุ้นสหรัฐฯ มีทิศทางที่ดี แต่เมื่อมาดูราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่า ราคาหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างแพงจนอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) สูงกว่า 18 เท่า ซึ่งถ้านำไปเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศใหญ่ๆ อย่างยุโรป ญี่ปุ่น หรือจีน แล้ว จะเห็นว่า หุ้นสหรัฐฯ มีราคาที่แพงกว่า จึงมีโอกาสที่จะพบกับแรงขายทำกำไรได้ง่ายในปี 2561 อีกทั้งราคาดังกล่าวอาจจะปรับตัวขึ้นมาตอบรับประเด็นการลดภาษีดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นขาขึ้น โดยอาจจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.75% ในปี 2561 ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ จึงไม่แนะนำให้เข้าลงทุนหุ้นสหรัฐฯ สำหรับผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว สามารถขายทำกำไรบางส่วน เพื่อลงทุนหุ้นไทยหรือหุ้นยุโรปแทนได้

ทองคำ ยังคงลงทุนได้เพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะนอกจากจะใส่เพื่อแสดงฐานะ หรือบางคนก็ชอบที่ความสวยงามแล้ว ทองคำยังถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) มาจากการที่เมื่อเกิดเหตุการณ์สงคราม หรือเศรษฐกิจตกต่ำ ความต้องการลงทุนทองคำมักเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การลงทุนทองคำจึงเป็นรูปแบบการลงทุนที่ช่วยให้เราสามารถกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้ แม้แนวโน้มราคาทองคำในปีจอดูแล้วไม่ค่อยสดใส เพราะทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่อาจหันไปให้ความต้องการกับการถือครองตราสารหนี้และเงินดอลลาร์สหรัฐมากกว่าการลงทุนในทองคำ จึงแนะนำให้ลงทุนทองคำประมาณ 5-10% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพราะหากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหรือสงครามขึ้นมา ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นมาได้

ฟังมาแบบนี้เชื่อว่าคงมีหลายคนคันไม้คันมืออยากที่จะลงทุนกันเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะในปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนได้ดี แต่สิ่งที่ต้องจำให้แม่นคือ การลงทุนมีความเสี่ยงยิ่งการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง หากเราเลือกนำเงินทั้งหมดนำไปลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่เป็นตามที่คาดไว้ก็อาจจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ K-Expert จึงอยากแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์แบบจัดพอร์ตการลงทุน ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ สำหรับเพื่อนๆที่มีการลงทุนในรูปแบบอื่นๆก็ช่วยกันแชร์แนวทางปี 2561 กันได้เลยนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่