เริ่มต้นผมมีอาชีพฟรีแลนซ์จนเก็บเงินได้ประมาณ 1 ล้านบาท ก็เลยเริ่มต้นคุยกับแฟนอยากให้อาชีพที่แน่นอนกว่าฟรีแลนซ์ เลยชวนกันทำโฮสเทล พอเริ่มหาข้อมูลในการทำโฮสเทลไปพร้อมๆกับหาทำเล ก็เจอตึกแถวให้เช่าพร้อมกับรู้ว่าเงินที่มี 1 ล้านคงไม่พอทำ ผมเลยขายคอนโดที่กรุงเทพได้เงินบวกลบมาประมาณ 800,000 บาท คราวนี้ๆคร่าวๆเลยกะว่าจะลงทุนซัก 2 ล้าน เลยเริ่มต้นอยากหาคนมาหุ้น ...
เริ่มต้นผมชวนเพื่อนสนิทคนนึง ซึ่งคนนี้ทำงานบริษัทท้อปของเมืองไทย เงินเดือนประมาณ 100,000 ++ ต่อเดือน เลยเริ่มต้นคุยกัน ทางเพื่อนผมเองก็สนใจธุรกิจนี้อยู่แล้ว (ให้ชื่อว่า K ครับ ) เลยตกลงกันที่ ผมลงทุน ล้านห้า เพือนผมลง ห้าแสน ( หุ้นก็จะเป็น 75 : 25 ) ตรงนี้ที่ตกลงกันคือ ผมจะดำเนินธุรกิจเอง พนักงานมีคนเดียวคือแฟนผมที่มีเงินเดือน ส่วนแม่บ้านกับซักผ้าจ้าง outsource คล้ายๆว่าเพื่อนผมแล้วแต่ว่าจะเข้ามาไหมหรือไม่มาก็ได้ ปันผลกันตามหุ้นรอบละ 6 เดือน (ตรงจุดนี้ ผมยังมีเงินเผื่อๆไว้เป็นสายป่านประมาณ 6 เดือนอยู่ ) ซึ่งเพื่อนก็ตกลง ส่วนเรื่องสัญญากับเรื่องหุ้นในบริษัท เพื่อนก็บอกว่าไม่รีบไม่เป็นไร (จุดนี้ล่ะถือว่าพลาดจริงๆ )
ในระหว่างที่ก่อสร้างไปครึ่งทาง ก็หลายๆคนที่ประสบคือพอทำแล้วการ over budget ก็เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆคิดไว้แล้ว แต่ไม่ได้คิดว่ามันเกืนมาเยอะ คือคล้ายน่าจะต้องเพิ่มอีก หนึ่งล้านบาท หรือรวมเป็นประมาณ สามล้าน ..... จุดนี้ผมเลยคุยกับเพื่อนว่าจะยังไงต่อ หนึ่งคือ ทั้งผมทั้งเพื่อนต้องหาเงินมาใส่เพิ่มตามหุ้นที่ลงคือเพิ่มทุน หรือ เพื่อนผมจะไม่ลงเพิ่มแต่หุ้นต้องลดลงแล้วตัวเพิ่ม ......... ตรงนี้เพื่อนบอกว่าทำเลย เพื่อนหามาเพิ่ม 300000 ผมหามาเพ่ิม 800000 บาท จากตรงนี้เลยทำโรงแรมต่อไม่มีปัญหาอะไร (ส่วนของผมบอกตรงคือไปขอยืมรุ่นพี่ที่สนิทกันแบบนอกระบบแล้วจ่ายดอกเบี้ยราคาถูกให้)
ช่วงในการหาของเข้าโรงแรม และคาเฟ่ต์ เค้าถือว่าค่อนข้างตามใจเพื่อนแม้บางอย่างเราไม่อยากให้ซื้อแพง แต่ก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันก็พยายามคุยให้มากที่สุด โดยผมได้เงินแปดแสนที่ตกลงกันมาแล้ว แต่เพื่อนขอเป็นหลัง 28 ธค. เพราะรอโบนัสบริษัทออกซึ่งผมก็ตกลง สุดท้ายโรงแรมก็เกือบเสร็จแล้ว แค่มีบางห้องทำไม่ทันสิ้นปี ช่างเลยขอทำหลังปีใหม่เพื่อให้เราขายไปก่อน เงินส่วนนี้เลยยังไม่ให้ช่างประมาณ 500000 คือตกลงกันว่าทำเสร็จหมดถีงจะได้รับ ซึ่งโรงแรมเปิดจริงคือ 30 ธค. จนถึงวันโรงแรมเปิด เพื่อนผมก็ยังไม่ได้เอาส่วนที่เหลือมาให้ ผมก็ยังไม่ถามจนวันที่ 31 ธค เพราะนัดกันมากินอะไรพร้อมเชิญแขกมางานเปิดโรงแรม
เช้าวันที่ 31 ธค เพื่อนผมขับรถมาหาที่โรงแรมแต่เช้า มาหน้าไม่ยิ้มแย้มเหมือนทุกที ผมคิดในใจก็คิดว่า เอาแล้ววกรู ....
สิ่งที่เพื่อนเอ้ยมาเริ่มต้นเลยว่า ขอถอนหุ้นทั้งหมด และจะขอเงินห้าแสนแรกคืน ผมก็บอกว่าใช่อยู่เราเลยตกลงกันว่าถอนหุ้นได้ถ้าไม่สบายใจแต่มันไม่ใช่สองวันหลังโรงแรมเปิดมั้ง .... ผมก็เลยถามเหตุผล เพื่อนก็พูดได้ไม่เคลีย บอกแค่ว่าไม่อยากทะเลาะกับเรา บอกว่าถ้าไม่มีให้ เพื่อนไปกู้เฮียที่รู้จักกันให้เราผ่อนดอก 5% (เราก็เฮ้ยย กรูไม่ได้ยืมเงิน
นะ คือหุ้นกันป่าว ทำไมกรูต้องไปจ่ายดอกด้วย ) สุดท้ายเราเลยขอว่าเพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน โดยให้เพื่อนไปขายหุ้นในส่วนของตัวเอง แล้วเราจะช่วยถามด้วยว่าใครที่อยากมาหุ้นแทน คือช่วยๆกัน (เพื่อนยังทิ้งท้ายว่าให้เวลาสี่เดือน ..เราก็ได้แค่ถอนหายใจบอกว่าไม่รับปากนะ )
ในช่วงระหว่างเดือนหลังโรงแรมเปิด นอกจากบริหารโรงแรมแล้ว ต้องพยายามหาคนมาซื้อหุ้นแทน โรงแรมเองก็ไม่สามารถสร้างรายได้แบบเต็มที่เพราะห้องไม่เต็ม ผู้รับเหมาก็ไม่ส่งช่างเข้ามาเพราะรู้ว่าเรามีปัญหาเรื่องเงินกับหุ้นส่วน (ตอนนี้เหมือนติดลบไปอีก -300000 ที่เพื่อนต้องเอาลงเพิ่มกับเงินต้น -500000 อีก ) จนสุดท้าย ได้รุ่นน้องที่มหาลัยคนนึง (น้องคนนี้เคยโทรมาถามผมตอนผมเริ่มทำโรงแรมใหม่ๆเพราะสนใจเหมือนกัน)
น้องคนนี้ตกลงที่จะบินมาดูและมาคุยก่อนตัดสินใจ น้องคนนี้ผมให้ชื่อว่า A น้องเอาพื่อนมาอีกสองคนคือ B และ C สามคนก็มาดูแล้วก็ชอบ ข้อเสนอของผมยังเหมือนที่ให้กับ K แต่ผมขอขายหุ้น 30 % ในราคา 1,000,000 บาท (สามคนเค้าจะไปตกลงกันเองว่าจะลงกันยังไงในสามสิบ% นี้) เดือนที่คุยกันคือเดือน กพ. ซึ่งข้อเสนอผมคือ เงินที่ได้ส่วนนึงคือคืนเพื่อน 500000 อีกส่วนเอาไปจ่ายผู้รับเหมาเพื่อทำโรงแรมให้สมบูรณ์ สามคนนี้ก็กลับไป โดยที่สัญญาผมจะร่างคร่าวๆให้สามคนไปอ่านแล้วแก้กลับมา จนกว่าจะได้จุดที่ตกลงร่วมกันก็เซ็นกลับมา (จริงๆที่เจอกันก็ตกลงกันจบแล้วแต่แค่ไม่มีรายลักษณ์อักษร)
จนปลาย มีค A B C ยังตกลงกันเองไม่ได้ ผมเลยบอกว่าเราต้องการรีบทำห้องที่เหลือเพื่อขายสงกรานต์ B กับ C โอนมาก่อนรวมกัน 700000 ส่วน A บอกขอหลังสงกรานต์ เราก็ต้องตกลงเพราะไม่มีทางเลือก ซึ่งจริงๆสิ่ง B กับ C ขอคือรายละเอียดรายจ่ายทั้งหมด เพราะเค้าไม่เชื่อเราว่าทำถึงสามล้าน เราก็บอกว่าให้อยู่แล้ว แต่ขอหลังจากเงินโอนมาครบแล้วมีการเซ็นสัญญาแล้ว ( K ยังไม่หายไปไหนะครับ ยังโทรมาทวงเราเหมือนเราไปยืมเงิน ซึ่งตรงนี้เราเจ็บมาก ที่เพื่อนสนิทมาทวงแบบนี้ )
จนแล้วจนรอด A ก็ไม่ได้โอนตามที่บอก จนร่วงมาถึงต้น พค เราเลยโทรไปถาม สุดท้าย A บอกว่าไม่ทำแล้ว ขอถอนหุ้นทั้งหมด (อ้าววว...) เราก็แบบงงว่า เออ เราได้เงินมาเราก็ทำตามคำสัญญา ผู้รับเหมากลับมาหลังจ่ายเงิน 500,000 บาท ห้องก็ทำจนครบเสร็จสิ้นเปิดได้เต็มรูปแบบ จริงๆเงินอีกสามแสนคือเราจะเอาไปรวมกับสองแสนที่เหลือมาคืน K จะได้จบไปคนนึง ก็เลยค้างคา พอ A ถอน .... B กับ C ก็โทรมาขอเงินคืนทั้งหมด ตรงจุดนี้ผมคิดว่ามันไม่แฟร์เพราะเราทำตามข้อตกลงทั้งหมดแล้ว B กับ C เราไม่โกรธเค้านะ เข้าใจว่า A คนชวนไปแล้วเค้าก็คงไม่อยากอยู่ แต่เราบอกว่าเราลงทุนไปแล้วถอนทันทีเราคงหาเงินคืนไม่ได้ ( จุดนี้ถึงไม่มีสัญญา แต่เรามี line ที่คุยกันในกรุ้ปทั้งหมด )
ถึงตรงนี้เราบอกตรงๆว่าถ้อมาก บอก A B C และรวมถึง K ว่าเราขอขายโรงแรมเลย แล้วเอาเงินคืนๆกันไป เราไม่อยากทำแล้ว ( เงินสองแสนที่เหลือมาเราเก็บหว้เป็นสายป่าน เพราะสายป่านเราเกือบหมดแล้ว คราวนี้ K โทรมาทวงบ่อยมากจนเราเอารถไปเข้าไฟแนนซ์เพื่อเอาเงินให้ K ไปก่อนสองแสน เราก็ต้องรับผิดชอบดอกตรงนี้แล้ว) A B C ตอนนี้น้ำเสียงเริ่มไม่เหมือนเดิม โทรมากดดันเราให้รับว่าเป็นเงินกู้ เราบอกว่าเราไม่ยอม มันเงินที่หุ้นกัน แต่มาบีบให้เรายืมคืออะไร ความผิดก็ไม่ใช่ของเรา สัญญาก็ไม่ยอมเซ็นกัน ... เราเลยขอซื้อเวลาว่าหกเดือนเราจะพยายามขายโรงแรมให้ได้ ถ้าไม่ได้ค่อยว่ากัน แต่เราขอ A B C และ K ว่าให้ช่วยเราขายด้วยไม่ใช่ลอยตัวกัน (คูณว่าสี่คนนี้ทำอะไรไหมในระหว่างนี้ไปเดากัน)
เราตั้งใจขายโรงแรมจริงๆ พร้อมกับทำโรงแรมอย่างเต็มที่ไปพร้อมๆกัน พอหลังเดือน 6 โรงแรมเริ่มกำไรมากขึ้นๆ แล้วไม่เคยขายทุนอีกเลย แต่เงินเราบอกทุกคนตรงๆว่ากำไรมันยังต้องใช้หมุนเวียนเราดึงออกให้ไม่ได้ เพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมามันจะลำบาก (มีหมุนเวียนประมาณ 150,000 บาท) ในระหว่างนี้เราไม่เคยรับเงินเดือน เงินที่ใช้ก็ยังเป็ยงานฟรีแลนซ์ที่รับมาใช้แค่นั้น บัญชีรายรับรายจ่าย เราทำแบบรายวันส่วนให้ทุกคนทางอีเมลทุกเดือน (แต่คิดว่าเค้าไม่สนใจจะเปิดดู) ....... บอกตรงๆว่าเราพยามยามทุกทางแบงค์เราก็ไปคุย เพราะเราไม่มีอสังหาริมทรัพท์ เราก็กู้ไม่ได้ พอโรงแรมเริ่มมีชื่อในชาร์ทหลายๆที่ อยู่ก็มีธนาคารขับรถมาคุยกับเราเองที่โรงแรม เค้าบอกว่าเห็นโรงแรมเราในเฟสบุ้คแล้วรีวิวดีมากๆ เลยถามว่าสนใจอยากกู้ไหม เราก็บอกปัญหาตรงๆว่าอะไรยังไง จุดนี้เราเลยพอเห็นทางสว่างๆ เลยขอ B และ C ว่ากู้ร่วมในนามบริษัท โดยที่เราเอาโรงแรมค้ำอีกที (ง่ายๆถ้ากรูไม่ใช้
ยึดโรงแรมไปเลย) แต่ B กับ C ไม่สนใจแล้วไล่เราไปให้ญาติพี่น้องเซ็นสิ (ตรงนี้เรามองว่าปัญหามันต้องรับผิดชอบร่วมกันสิ เราเองก็พยายามสุดๆแล้ว)
จนเข้าเดือน ธค ผมคิดว่าทุกคนคงเริ่มเห็นตัวเลขเชิงบวกของโรงแรม ทุกคนก็กระหน่ำจะเอาเงินคืนให้ได้ เริ่มจาก K (ตรงนี้แรกๆก็ด่ากันนิดหน่อย จนเราบอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะทำคนเดียวแต่แรก ไม่ได้อยากรับภาระคนเดียวแต่แรก K ก็เริ่มอ่อนลง ) ส่วน A B C ก็เช่นกัน บอกให้เราไปทำทุกวิถีทางหาเงินมาคืน ร่วมถึงบอกว่าเราสัญญาว่าหลังหกเดือนจะต้องเปลี่ยนเงินก่อนนี้เป็นเงินกู้ (เราแน่ใจว่าไม่เคยรับปากตรงจุดนนี้) .... สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งเราเองก็ยังยืนยันว่าให้ขายโรงแรมให้ได้ แต่ต้องช่วยกันไม่ใช่รอเราคนเดียว
ตรงนี้มีบางช่วง A B C เริ่มขู่จะฟ้องเราแล้ว เราก็งงว่า เราไม่ได้เป็นคนผิดสัญญา เราโดนด้วยหลอ และเราไม่ได้ดึงดันไม่ขายหรือไม่หาทางคืนเงิน อยากทราบว่าหลายๆคนคิดยังไงครับ
(เราไม่ได้ขอให้ครอบครัวช่วยเพราะเรามองว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่เรื่องที่เราผิดทำไมครอบครัวเราต้องมารับผิดชอบล่ะ คิดเห็นยังไงช่วยบอกด้วยครับ )
การทำธุรกิจแบบที่มีหุ้นส่วน ใครบ้างที่มีปัญหา ขอแชร์ประสบการณ์
เริ่มต้นผมชวนเพื่อนสนิทคนนึง ซึ่งคนนี้ทำงานบริษัทท้อปของเมืองไทย เงินเดือนประมาณ 100,000 ++ ต่อเดือน เลยเริ่มต้นคุยกัน ทางเพื่อนผมเองก็สนใจธุรกิจนี้อยู่แล้ว (ให้ชื่อว่า K ครับ ) เลยตกลงกันที่ ผมลงทุน ล้านห้า เพือนผมลง ห้าแสน ( หุ้นก็จะเป็น 75 : 25 ) ตรงนี้ที่ตกลงกันคือ ผมจะดำเนินธุรกิจเอง พนักงานมีคนเดียวคือแฟนผมที่มีเงินเดือน ส่วนแม่บ้านกับซักผ้าจ้าง outsource คล้ายๆว่าเพื่อนผมแล้วแต่ว่าจะเข้ามาไหมหรือไม่มาก็ได้ ปันผลกันตามหุ้นรอบละ 6 เดือน (ตรงจุดนี้ ผมยังมีเงินเผื่อๆไว้เป็นสายป่านประมาณ 6 เดือนอยู่ ) ซึ่งเพื่อนก็ตกลง ส่วนเรื่องสัญญากับเรื่องหุ้นในบริษัท เพื่อนก็บอกว่าไม่รีบไม่เป็นไร (จุดนี้ล่ะถือว่าพลาดจริงๆ )
ในระหว่างที่ก่อสร้างไปครึ่งทาง ก็หลายๆคนที่ประสบคือพอทำแล้วการ over budget ก็เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆคิดไว้แล้ว แต่ไม่ได้คิดว่ามันเกืนมาเยอะ คือคล้ายน่าจะต้องเพิ่มอีก หนึ่งล้านบาท หรือรวมเป็นประมาณ สามล้าน ..... จุดนี้ผมเลยคุยกับเพื่อนว่าจะยังไงต่อ หนึ่งคือ ทั้งผมทั้งเพื่อนต้องหาเงินมาใส่เพิ่มตามหุ้นที่ลงคือเพิ่มทุน หรือ เพื่อนผมจะไม่ลงเพิ่มแต่หุ้นต้องลดลงแล้วตัวเพิ่ม ......... ตรงนี้เพื่อนบอกว่าทำเลย เพื่อนหามาเพิ่ม 300000 ผมหามาเพ่ิม 800000 บาท จากตรงนี้เลยทำโรงแรมต่อไม่มีปัญหาอะไร (ส่วนของผมบอกตรงคือไปขอยืมรุ่นพี่ที่สนิทกันแบบนอกระบบแล้วจ่ายดอกเบี้ยราคาถูกให้)
ช่วงในการหาของเข้าโรงแรม และคาเฟ่ต์ เค้าถือว่าค่อนข้างตามใจเพื่อนแม้บางอย่างเราไม่อยากให้ซื้อแพง แต่ก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันก็พยายามคุยให้มากที่สุด โดยผมได้เงินแปดแสนที่ตกลงกันมาแล้ว แต่เพื่อนขอเป็นหลัง 28 ธค. เพราะรอโบนัสบริษัทออกซึ่งผมก็ตกลง สุดท้ายโรงแรมก็เกือบเสร็จแล้ว แค่มีบางห้องทำไม่ทันสิ้นปี ช่างเลยขอทำหลังปีใหม่เพื่อให้เราขายไปก่อน เงินส่วนนี้เลยยังไม่ให้ช่างประมาณ 500000 คือตกลงกันว่าทำเสร็จหมดถีงจะได้รับ ซึ่งโรงแรมเปิดจริงคือ 30 ธค. จนถึงวันโรงแรมเปิด เพื่อนผมก็ยังไม่ได้เอาส่วนที่เหลือมาให้ ผมก็ยังไม่ถามจนวันที่ 31 ธค เพราะนัดกันมากินอะไรพร้อมเชิญแขกมางานเปิดโรงแรม
เช้าวันที่ 31 ธค เพื่อนผมขับรถมาหาที่โรงแรมแต่เช้า มาหน้าไม่ยิ้มแย้มเหมือนทุกที ผมคิดในใจก็คิดว่า เอาแล้ววกรู ....
สิ่งที่เพื่อนเอ้ยมาเริ่มต้นเลยว่า ขอถอนหุ้นทั้งหมด และจะขอเงินห้าแสนแรกคืน ผมก็บอกว่าใช่อยู่เราเลยตกลงกันว่าถอนหุ้นได้ถ้าไม่สบายใจแต่มันไม่ใช่สองวันหลังโรงแรมเปิดมั้ง .... ผมก็เลยถามเหตุผล เพื่อนก็พูดได้ไม่เคลีย บอกแค่ว่าไม่อยากทะเลาะกับเรา บอกว่าถ้าไม่มีให้ เพื่อนไปกู้เฮียที่รู้จักกันให้เราผ่อนดอก 5% (เราก็เฮ้ยย กรูไม่ได้ยืมเงินนะ คือหุ้นกันป่าว ทำไมกรูต้องไปจ่ายดอกด้วย ) สุดท้ายเราเลยขอว่าเพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน โดยให้เพื่อนไปขายหุ้นในส่วนของตัวเอง แล้วเราจะช่วยถามด้วยว่าใครที่อยากมาหุ้นแทน คือช่วยๆกัน (เพื่อนยังทิ้งท้ายว่าให้เวลาสี่เดือน ..เราก็ได้แค่ถอนหายใจบอกว่าไม่รับปากนะ )
ในช่วงระหว่างเดือนหลังโรงแรมเปิด นอกจากบริหารโรงแรมแล้ว ต้องพยายามหาคนมาซื้อหุ้นแทน โรงแรมเองก็ไม่สามารถสร้างรายได้แบบเต็มที่เพราะห้องไม่เต็ม ผู้รับเหมาก็ไม่ส่งช่างเข้ามาเพราะรู้ว่าเรามีปัญหาเรื่องเงินกับหุ้นส่วน (ตอนนี้เหมือนติดลบไปอีก -300000 ที่เพื่อนต้องเอาลงเพิ่มกับเงินต้น -500000 อีก ) จนสุดท้าย ได้รุ่นน้องที่มหาลัยคนนึง (น้องคนนี้เคยโทรมาถามผมตอนผมเริ่มทำโรงแรมใหม่ๆเพราะสนใจเหมือนกัน)
น้องคนนี้ตกลงที่จะบินมาดูและมาคุยก่อนตัดสินใจ น้องคนนี้ผมให้ชื่อว่า A น้องเอาพื่อนมาอีกสองคนคือ B และ C สามคนก็มาดูแล้วก็ชอบ ข้อเสนอของผมยังเหมือนที่ให้กับ K แต่ผมขอขายหุ้น 30 % ในราคา 1,000,000 บาท (สามคนเค้าจะไปตกลงกันเองว่าจะลงกันยังไงในสามสิบ% นี้) เดือนที่คุยกันคือเดือน กพ. ซึ่งข้อเสนอผมคือ เงินที่ได้ส่วนนึงคือคืนเพื่อน 500000 อีกส่วนเอาไปจ่ายผู้รับเหมาเพื่อทำโรงแรมให้สมบูรณ์ สามคนนี้ก็กลับไป โดยที่สัญญาผมจะร่างคร่าวๆให้สามคนไปอ่านแล้วแก้กลับมา จนกว่าจะได้จุดที่ตกลงร่วมกันก็เซ็นกลับมา (จริงๆที่เจอกันก็ตกลงกันจบแล้วแต่แค่ไม่มีรายลักษณ์อักษร)
จนปลาย มีค A B C ยังตกลงกันเองไม่ได้ ผมเลยบอกว่าเราต้องการรีบทำห้องที่เหลือเพื่อขายสงกรานต์ B กับ C โอนมาก่อนรวมกัน 700000 ส่วน A บอกขอหลังสงกรานต์ เราก็ต้องตกลงเพราะไม่มีทางเลือก ซึ่งจริงๆสิ่ง B กับ C ขอคือรายละเอียดรายจ่ายทั้งหมด เพราะเค้าไม่เชื่อเราว่าทำถึงสามล้าน เราก็บอกว่าให้อยู่แล้ว แต่ขอหลังจากเงินโอนมาครบแล้วมีการเซ็นสัญญาแล้ว ( K ยังไม่หายไปไหนะครับ ยังโทรมาทวงเราเหมือนเราไปยืมเงิน ซึ่งตรงนี้เราเจ็บมาก ที่เพื่อนสนิทมาทวงแบบนี้ )
จนแล้วจนรอด A ก็ไม่ได้โอนตามที่บอก จนร่วงมาถึงต้น พค เราเลยโทรไปถาม สุดท้าย A บอกว่าไม่ทำแล้ว ขอถอนหุ้นทั้งหมด (อ้าววว...) เราก็แบบงงว่า เออ เราได้เงินมาเราก็ทำตามคำสัญญา ผู้รับเหมากลับมาหลังจ่ายเงิน 500,000 บาท ห้องก็ทำจนครบเสร็จสิ้นเปิดได้เต็มรูปแบบ จริงๆเงินอีกสามแสนคือเราจะเอาไปรวมกับสองแสนที่เหลือมาคืน K จะได้จบไปคนนึง ก็เลยค้างคา พอ A ถอน .... B กับ C ก็โทรมาขอเงินคืนทั้งหมด ตรงจุดนี้ผมคิดว่ามันไม่แฟร์เพราะเราทำตามข้อตกลงทั้งหมดแล้ว B กับ C เราไม่โกรธเค้านะ เข้าใจว่า A คนชวนไปแล้วเค้าก็คงไม่อยากอยู่ แต่เราบอกว่าเราลงทุนไปแล้วถอนทันทีเราคงหาเงินคืนไม่ได้ ( จุดนี้ถึงไม่มีสัญญา แต่เรามี line ที่คุยกันในกรุ้ปทั้งหมด )
ถึงตรงนี้เราบอกตรงๆว่าถ้อมาก บอก A B C และรวมถึง K ว่าเราขอขายโรงแรมเลย แล้วเอาเงินคืนๆกันไป เราไม่อยากทำแล้ว ( เงินสองแสนที่เหลือมาเราเก็บหว้เป็นสายป่าน เพราะสายป่านเราเกือบหมดแล้ว คราวนี้ K โทรมาทวงบ่อยมากจนเราเอารถไปเข้าไฟแนนซ์เพื่อเอาเงินให้ K ไปก่อนสองแสน เราก็ต้องรับผิดชอบดอกตรงนี้แล้ว) A B C ตอนนี้น้ำเสียงเริ่มไม่เหมือนเดิม โทรมากดดันเราให้รับว่าเป็นเงินกู้ เราบอกว่าเราไม่ยอม มันเงินที่หุ้นกัน แต่มาบีบให้เรายืมคืออะไร ความผิดก็ไม่ใช่ของเรา สัญญาก็ไม่ยอมเซ็นกัน ... เราเลยขอซื้อเวลาว่าหกเดือนเราจะพยายามขายโรงแรมให้ได้ ถ้าไม่ได้ค่อยว่ากัน แต่เราขอ A B C และ K ว่าให้ช่วยเราขายด้วยไม่ใช่ลอยตัวกัน (คูณว่าสี่คนนี้ทำอะไรไหมในระหว่างนี้ไปเดากัน)
เราตั้งใจขายโรงแรมจริงๆ พร้อมกับทำโรงแรมอย่างเต็มที่ไปพร้อมๆกัน พอหลังเดือน 6 โรงแรมเริ่มกำไรมากขึ้นๆ แล้วไม่เคยขายทุนอีกเลย แต่เงินเราบอกทุกคนตรงๆว่ากำไรมันยังต้องใช้หมุนเวียนเราดึงออกให้ไม่ได้ เพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมามันจะลำบาก (มีหมุนเวียนประมาณ 150,000 บาท) ในระหว่างนี้เราไม่เคยรับเงินเดือน เงินที่ใช้ก็ยังเป็ยงานฟรีแลนซ์ที่รับมาใช้แค่นั้น บัญชีรายรับรายจ่าย เราทำแบบรายวันส่วนให้ทุกคนทางอีเมลทุกเดือน (แต่คิดว่าเค้าไม่สนใจจะเปิดดู) ....... บอกตรงๆว่าเราพยามยามทุกทางแบงค์เราก็ไปคุย เพราะเราไม่มีอสังหาริมทรัพท์ เราก็กู้ไม่ได้ พอโรงแรมเริ่มมีชื่อในชาร์ทหลายๆที่ อยู่ก็มีธนาคารขับรถมาคุยกับเราเองที่โรงแรม เค้าบอกว่าเห็นโรงแรมเราในเฟสบุ้คแล้วรีวิวดีมากๆ เลยถามว่าสนใจอยากกู้ไหม เราก็บอกปัญหาตรงๆว่าอะไรยังไง จุดนี้เราเลยพอเห็นทางสว่างๆ เลยขอ B และ C ว่ากู้ร่วมในนามบริษัท โดยที่เราเอาโรงแรมค้ำอีกที (ง่ายๆถ้ากรูไม่ใช้ยึดโรงแรมไปเลย) แต่ B กับ C ไม่สนใจแล้วไล่เราไปให้ญาติพี่น้องเซ็นสิ (ตรงนี้เรามองว่าปัญหามันต้องรับผิดชอบร่วมกันสิ เราเองก็พยายามสุดๆแล้ว)
จนเข้าเดือน ธค ผมคิดว่าทุกคนคงเริ่มเห็นตัวเลขเชิงบวกของโรงแรม ทุกคนก็กระหน่ำจะเอาเงินคืนให้ได้ เริ่มจาก K (ตรงนี้แรกๆก็ด่ากันนิดหน่อย จนเราบอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะทำคนเดียวแต่แรก ไม่ได้อยากรับภาระคนเดียวแต่แรก K ก็เริ่มอ่อนลง ) ส่วน A B C ก็เช่นกัน บอกให้เราไปทำทุกวิถีทางหาเงินมาคืน ร่วมถึงบอกว่าเราสัญญาว่าหลังหกเดือนจะต้องเปลี่ยนเงินก่อนนี้เป็นเงินกู้ (เราแน่ใจว่าไม่เคยรับปากตรงจุดนนี้) .... สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งเราเองก็ยังยืนยันว่าให้ขายโรงแรมให้ได้ แต่ต้องช่วยกันไม่ใช่รอเราคนเดียว
ตรงนี้มีบางช่วง A B C เริ่มขู่จะฟ้องเราแล้ว เราก็งงว่า เราไม่ได้เป็นคนผิดสัญญา เราโดนด้วยหลอ และเราไม่ได้ดึงดันไม่ขายหรือไม่หาทางคืนเงิน อยากทราบว่าหลายๆคนคิดยังไงครับ
(เราไม่ได้ขอให้ครอบครัวช่วยเพราะเรามองว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่เรื่องที่เราผิดทำไมครอบครัวเราต้องมารับผิดชอบล่ะ คิดเห็นยังไงช่วยบอกด้วยครับ )