[CR] [Review] The Greatest Showman (2017) โชว์แมนบันลือโลก


คนเราเกิดมาทั้งทีต้องทำตามความฝันถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงต่อความล้มเหลวแค่ไหนแต่มันก็ถือว่าคุ้มที่ได้ลงมือทำ  ถ้าโชคเข้าข้างเราอาจสามารถสร้างรายได้เป็นกอบกำจากสิ่งนั้นก็เป็นได้  คำพูดข้างต้นคงจะเป็นคำบรรยายสรรพคุณของหนังแนวมิวสิคัลเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ผมได้มีโอกาสดูตัวอย่างหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์  ตอนแรกก็ไม่ทราบหรอกครับว่าเป็นหนังแนวมิวสิคัลเพราะตัวอย่างหนังก็ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจว่าเป็นหนังแนวนั้น  พอตอนจะจองตั๋วหนังนั่นแหละครับเลยทราบว่าเป็นหนังมิวสิคัล  อาจจะพูดได้ว่าเมื่อปีที่แล้วเรามีหนังมิวสิคัลดีๆ แบบ La La Land มาแล้ว ปีนี้ก็ถือว่าเราได้มีหนังมิวสิคัลดีๆ อีกเรื่องก็คือเรื่องนี้นั่นเอง  หนังได้แรงบันดาลใจมาจากชีวประวัติของ พี.ที. บาร์นัม เจ้าของคณะละครสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดเจ้าหนึ่งของอเมริกาเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว  โดยเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับน่าจะเป็นเรื่องแรกเลยของ ไมเคิล เกรซี่ โดยที่ผ่านมาเขามักจะอยู่เบื้องหลังทำวิชวลเอฟเฟกต์ให้กับหนังต่างๆ  โดยได้มือเขียนบทอย่าง เจนนี่ บิกส์ และบิล คอนดอน มาร่วมงาน  โดยเฉพาะรายหลังที่มีผลงานสร้างชื่ออย่าง Chicago (2002) และ Dreamgirls (2006)  นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน ในบทของบาร์นัม ร่วมด้วย แซค เอฟรอน , มิเชล วิลเลี่ยมส์ , เซนดาย่า และ รีเบคก้า เฟอร์กูสัน

หนังบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของบาร์นัม(แจ็คแมน)  เจ้าของคณะละครสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่ในช่วงวัยเด็กเขาต้องพบกับความยากจนที่แม้แต่รองเท้าก็ไม่มีปัญญาซื้อ โดยเขาต้องติดตามพ่อซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อไปตามบ้านต่างๆ  ซึ่งมีอยู่วันนึงเขาได้พบกับ แชริตี้(วิลเลี่ยมส์) ลูกสาวของคนมีฐานะคนหนึ่งและหลงรักเธอ แต่เนื่องจากทั้งสองนั้นมีความแตกต่างในเรื่องฐานะโดยชัดเจน  พ่อของแชริตี้จึงกีดกันเธอไม่ให้พบกับบาร์นัมจนต้องส่งเธอไปเรียนยังที่อื่น  เมื่อระยะเวลาผ่านไปจนบาร์นัมเป็นผู้ใหญ่มีงานทำเขาจึงไปรับแชริตี้มาอยู่ด้วยกันพร้อมกับคำปรามาสจากพ่อของแชริตี้ว่าสักวันเธอจะต้องซมซานกลับมา  เมื่อทั้งคู่เริ่มใช้ชีวิตคู่และมีลูกด้วยกันสองคนปรากฏว่าบาร์นัมไม่สามารถให้สิ่งที่เคยสัญญาไว้กับแชริตี้ว่าจะมีชีวิตที่ดีและสวยงาม แถมยังต้องตกงาน  เขาจึงต้องเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการกู้ธนาคารเพื่อนำเงินไปลงทุนสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้รับความนิยมอย่างที่คิด  และมีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ส่งลูกสาวเข้านอนเขาก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่าเมื่อไม่สามารถทำเงินได้จากของแปลกที่ตายแล้ว ก็ลองเสี่ยงเอาของแปลกที่มีชีวิตอยู่  อย่างเช่น คนแปลกๆ มาแสดงโชว์ ไม่ว่าจะเป็น คนแคระ ผู้หญิงมีหนวด คนเล่นกายกรรมผาดโผน มนุษย์ยักษ์ เด็กชายหมาป่า  หรือแม้กระทั่งฝาแฝดอินจันมาแสดงโชว์ ปรากฏคนกลับนิยมอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตามแม้คนดูจะเยอะหากแต่การแสดงของเขาก็ยังเข้าไม่ถึงกลุ่มชนชั้นสูง  บาร์นัมจึงชักชวนฟิลิป คาร์ไลล์(เอฟรอน) นักประพันธ์บทละครที่มีชื่อเสียงและอยู่ในแวดวงคนชั้นสูงมาเป็นหุ้นส่วนด้วย  อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะดึงนักร้องชื่อดังชาวสวีเดนอย่าง เจนนี่ ลินด์มาร่วมการโชว์ด้วย ทำให้โชว์ของเขาได้มีโอกาสไปแสดงยังที่ต่างๆ ทั่วสหรัฐ  แต่ว่าอุปสรรคต่างๆ ก็ตามมาท้าทายเขาไม่ว่าจะเป็นความลุ่มหลงในแสงสีของบาร์นัมจนทำให้มองข้ามหลายๆ สิ่งไป  หรือการที่คณะละครสัตว์ของเขาถูกต่อต้านจากผู้คนบางกลุ่มที่รังเกียจคนที่แปลก บาร์นัมจะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านี้ได้หรือไม่  ต้องลองไปชมกันครับ

หนังเรื่องนี้จะพาเราไปดื่มด่ำกับเพลงเพราะๆ ที่เข้ากันได้ดีกับการดำเนินเรื่อง  มีทุกอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นเพลงเศร้า  เพลงสนุกสนาน หรือเพลงที่ปลุกใจให้เราร่วมมีอารมณ์ฮึกเหิมไปด้วย  เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาของหนังเกือบสองชั่วโมงดูได้เพลินตลอดเรื่องไม่มีเบื่อ  อีกทั้งคอสตูมเสื้อผ้าหน้าผมทำออกมาได้ดีสมจริงเข้ากับยุคสมัย  ถึงแม้ว่าเพลงจะดูโมเดิร์นสมัยใหม่ไม่ได้เป็นเพลงตามยุคของหนังแต่ก็ไม่ได้ทำให้เราเสียอรรถรสในการดูแต่อย่างใด กลับทำให้เราเผลอเคาะเท้าตามจังหวะเพลงไปโดยไม่รู้ตัว  ส่วนการถ่ายทำก็สามารถที่จะเนรมิตตึกรามบ้านช่องรวมทั้งบรรยากาศในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อร้อยกว่าปีก่อนได้ค่อนข้างสมจริงทีเดียว  รวมถึงซีจีในหนังที่ทำออกมาได้ค่อนข้างเนียนตาไม่ได้มีจุดอะไรติดขัดจนทำให้เสียอารมณ์แต่อย่างใด   แถมในหนังยังเล่นประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์โดยมีการสะท้อนถึงสังคมโลกในปัจจุบันที่มีการเหยียดเพศ สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นก็เป็นคนเหมือนกัน ซึ่งในหนัง ตลอดชีวิตของสมาชิกหลายคนในคณะละครสัตว์เป็นคนที่แปลกแยกแตกต่างจากคนอื่นและต้องคอยหลบอยู่ในมุมมืดของสังคม  โดยเวทีแสดงโชว์คือที่ที่พวกเขามีตัวตนขึ้นมาและสามารถแสดงความสามารถนั้นออกมาได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องอายใคร  ในขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงบุคคลที่แตกต่างกลับไม่มีพื้นที่ให้กับพวกเขา แถมบางครั้งอาจถูกกดขี่ข่มเหงอีกต่างหาก  อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไฮโซจอมปลอมที่จะยอมรับใครสักคนก็ต่อเมื่อเขานั้นมีฐานะหรือรู้จักกับคนมีชื่อเสียงเท่านั้นเอง  ทั้งๆ ที่พื้นฐานของเขาอาจมาจากส่วนล่างสุดของสังคมก็เป็นได้

มาพูดถึงการแสดงกันบ้างครับ  เริ่มจากการแสดงของฮิวจ์ แจ็คแมนในบทของ พี.ที.บาร์นัม เจ้าของคณะละครสัตว์ที่ยิ่งใหญ่  ในเรื่องนี้ทำให้เราลืมภาพของโลแกนหรือวูล์ฟเวอรีนเครื่องหมายการค้าของเขาไปเสียสนิท เราจะเห็นภาพของชายคนนึงที่มีความอบอุ่นรักครอบครัว  ในขณะที่เขาเองก็มีความทะเยอทยานอย่างแรงกล้าที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นที่ยอมรับในสังคม  จนบางครั้งความทะเยอทยานนั้นทำให้เขาตาบอดไปชั่วขณะจนลืมวัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่เขาเคยตั้งเอาไว้  แจ็คแมนเล่นได้ดีจริงครับ แถมยังร้องเพลงเพราะด้วย ฉีกแนวเดิมๆ ไปเลยทีเดียว ส่วนการแสดงของวิลเลี่ยมส์ในบทของแชริตี้  ภรรยาของบาร์นัม  เรื่องนี้เธอเล่นเป็นผู้หญิงที่มีความสุข แม้การเป็นอยู่ในตอนแรกต้องปากกัดตีนถีบไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อนแต่ความสุขของเธอก็คือการได้อยู่เคียงข้างสามีและลูกๆ  แค่นั้นก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการแล้ว ในขณะที่การแสดงอารมณ์เศร้าเธอก็สามารถแสดงให้เราเห็นถึงความเหงา  ความผิดหวังของผู้หญิงคนนึงให้เราสัมผัสได้ไปด้วย ส่วนเอฟรอนในบทของฟิลิป คาร์ไลล์  ก็สะท้อนให้เราเห็นถึงชายคนนึงที่ยอมทิ้งชีวิตที่สุขสบายมีความพร้อมในทรัพย์สมบัติแล้วมาหาชีวิตที่เสี่ยงและท้าทายแต่ทำให้เขามีอิสระพร้อมกับความสุข  ซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่โดยมีเส้นบางๆ มากั้นระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว ส่วนเซนดาย่า ในบทของสาวนักกายกรรมผิวสี  เรื่องนี้เธอเล่นได้มีเสน่ห์แลดูสวยมากๆๆๆ แถมในเรื่องนี้ยังมีการแสดงบทดราม่าแสนเศร้าที่เธอแสดงได้ดีพอสมควร อีกทั้งยังแสดงความสามารถในเรื่องของการร้องเพลงให้เราได้เห็นอีกต่างหาก  อีกคนที่ต้องพูดถึงคือเฟอร์กูสันในบทของเจนนี่ ลินด์นักร้องฉายาไนติงเกลแห่งสวีเดนที่เรื่องนี้เล่นได้มีออร่าสุดๆ  สามารถทำให้เราเชื่อได้เลยว่าเธอเป็นนักร้องที่โด่งดังระดับโลก แม้ว่าในเรื่องตอนที่เธอร้องเพลงจะไม่ใช่เสียงของเธอก็ตาม แต่การลิปซิงก์ได้อย่างเป๊ะๆ  แบบมีเส้นเลือดโป่งที่คอตอนร้องแถมยังมีน้ำตาคลอทำให้เราเผลอเชื่อเลยว่าเธอร้องเองจริงๆ ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็แสดงได้ดีมากๆ  ครับไม่ว่าจะเป็นการร้องหรือเป็นการเต้น แลดูเป๊ะและอลังการมาก โดยเฉพาะหญิงมีหนวดที่ร้องเพลงได้กินใจและเพราะมากๆ ครับ

ถือว่าเป็นหนังมิวสิคัลดีๆ ที่ส่งท้ายปี 2017 นี้ครับ ผมชอบครับดูเพลินดีเพลงเพราะด้วยให้ไป 8.5 เต็ม 10 ครับ หักตรงที่เนื่องจากหนังถูกจำกัดด้วยเวลาจึงจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องให้ต้องกระชับและรวบรัดเกินจนทำให้รู้สึกน่าเสียดายตัวละครหลักอย่างบาร์นัมไม่ได้มีมิติมากสักเท่าไรไม่ว่าจะเป็นเรื่องปูมหลังหรือการต่อสู้ดิ้นรนซึ่งพอดูหนังจบอาจทำให้เราลืมเนื้อเรื่องไปได้เพราะมันเร็วเกิน อีกทั้งในเรื่องของการถ่ายทำที่บางฉากผ่านไปรวดเร็วจนไม่สามารถที่จะมองได้ทันแถมยังแอบทำให้เวียนหัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตามหนังได้บอกเราเหมือนอย่างเพลง ”ความเชื่อ” ของพี่ตูนที่มีท่อนนึงร้องว่า “ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ มันจะไปจบที่ตรงไหนแต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง” ขอให้ทุกคนสนุกกับการดูหนังครับ

การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   The Greatest Showman (2017)
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่