ถ้าพูดถึงเรื่องความเชื่อและการบนบาน นับว่าเป็นสิ่งที่มีมาอยู่ยาวนานและยากจะลบเลือนออกไปจากสังคมไทย บนพื้นฐานของคำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ที่เรามักจะได้ยินกันเป็นประจำ ซึ่งคำว่า “บนบาน” นั้นเป็นคำกริยา หมายถึง ขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยโดยให้คำมั่นว่าจะให้สิ่งของตอบแทน หรือทำตามที่ให้สัญญาไว้เมื่อเป็นผลสำเร็จ

ซึ่งโดยปกติเราก็จะเห็นผู้คนบนบานกันตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาลเจ้า หรือวัดต่างๆ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นอีกแล้ว เมื่อวัยรุ่นไทยสมัยนี้ได้ทำการผนวกความเชื่อและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยหันไปบนบานผ่านทวิตเตอร์กันมากมาย ใช้วิธีบนแบบ 4G โดยมีสเตตัสบนโลกโซเชียลเป็นพยาน ถ้าถามว่าศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ก็ดูได้จากการแก้บน ที่มีมาทุกรูปแบบ จนกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์

จากเรื่องดังกล่าวจึงได้มีการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการบนบานผ่านทวิตเตอร์ โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 กลุ่มวิชาเอกการกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาขาวิชานวัตกรรมสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในวิชาการวิจัยประยุกต์ทางนวัตกรรมสื่อสารมวลชน โดยเก็บแบบสอบถามทั้งหมด 485 คนจากประชากรทั่วประเทศ ผ่าน Google Forms โดยการกระจายแบบสอบถามไปตามช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้งทวิตเตอร์ และ Facebook

จากผลการสำรวจระบุถึงเหตุผลที่บนบานผ่านทวิตเตอร์ อันดับหนึ่งพบว่า เพราะสะดวก รวดเร็ว รองลงมาคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใจไม่ต้องไปวัด ต่อมาด้วยตามกระแสนิยมของผู้ใช้งานทวิตเตอร์ ตามด้วยคนใกล้ชิดแนะนำ และสุดท้ายบอกว่าถ้าลืมแก้บนก็ไม่กลัวมากเท่ากับไปบนที่ศาลจริงๆ

ส่วนเรื่องที่บนบาน ได้แก่ ขอเรื่องการศึกษา เช่น คะแนนสอบ เกรดเฉลี่ย การสอบเข้าศึกษาต่อ ขอให้ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตได้ ขอให้ซื้อบัตรแฟนมีตติ้งได้ ขอให้ซื้ออัลบั้มเพลงของศิลปินที่ชอบได้ ขอเรื่องเกี่ยวกับความรัก และขอเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว และของแก้บนหลังจากการบนบานลุล่วงแล้ว ได้แก่ เงิน ของเกี่ยวกับศิลปินเกาหลี สติกเกอร์ไลน์/ธีมไลน์ ลดน้ำหนัก และเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ โดยสถิติความสมหวังในการบนบาน พบว่าผู้คน 71.4 % บอกว่าสมหวังบางครั้ง และ 16.3 % บอกว่าไม่เคยสมหวังเลย  ในขณะที่ 12.3 % บอกว่าสมหวังทุกครั้งเลย แบบนี้แอดมินต้องลองไปบนดูสักครั้งแล้ว




ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/twitter-believe/