Wind River - เรากำหนดได้เองว่าจะเลือกเป็นกวางตัวไหน (Spoil)

นี่คือหนังทริลเลอร์ที่เรารอคอยในปีนี้ ด้วยเหตุผลสั้นๆเพียงแค่ว่า นี่คือผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของมือเขียนบทภาพยนตร์ระดับพระกาฬ อย่าง Taylor Sheridan คนเขียนบทหนังเรื่อง Sicario และ High and Hell water

เมื่อดูหนังจบ เรายิ่งรู้สึกว่า บทภาพยนตร์ คือส่วนที่สำคัญที่สุดของหนังเรื่องหนึ่งๆจริงๆ หนังเรื่องนี้ในแง่ของพร็อตเรื่อง ไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรเท่าไหร่ แต่เรารู้สึกว่าบทภาพยนตร์มันคมคายและเนี๊ยบเอามากๆ ทำให้เรื่องราวที่ดูธรรมดา กลับมีมิติอย่างน่าอัศจรรย์ กลายเป็นหนังที่สะกดให้เรารู้สึกร่วมได้มากสุดๆ

เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เราไม่ได้ประทับใจกับหนังแนวนี้มานานมากๆแล้ว

ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ Taylor Sheridan ทำให้อย่างน่าประทับใจและน่าสนใจมาก แนวทางของหนังอาจไม่ได้แตกต่างจากบทภาพยนตร์ที่เค้าเคยเขียนมาซักเท่าไหร่ แต่เรารู้สึกว่า เรื่องนี้มันค่อนข้างประณีตมากๆ ดูใส่ใจรายละเอียดในทุกบท ทุกซีนใส่เข้ามาได้พอดีลงตัว ส่วนภาพรวมในด้านอื่นๆของหนัง ก็ไม่ได้น้อยหน้าบทแต่อย่างใด เราว่าหนังเรื่องนี้ทำได้ดีในองค์ประกอบภาพรวมด้วย

ดนตรีประกอบเรื่องนี้ทำได้น่าสนใจมาก เรารู้สึกว่าดนตรีมันไม่ค่อยบีบคั้นอารมณ์เท่าไหร่ ซึ่งเราคิดว่ามันดีนะ เหมือนมันไม่ได้พยายามมาบิ้วเราเกินกว่าภาพที่เราเห็น ให้เหตุการณ์เล่าเรื่องสื่ออารมณ์เป็นหลัก บางช่วงเวลา ดนตรีออกแนวไพเราะด้วย ทั้งๆที่เรื่องที่เล่ามันเป็นเรื่องหนัก แต่กลับตัดกันได้อย่างลงตัวนะในความรู้สึกของเรา

การแสดงของ Jeremy Renner ในบทบาทของ Cory Lambert คือสิ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้บทภาพยนตร์ ตัวละครที่มีเรื่องฝังใจ อยู่กับความเจ็บปวดบางอย่างมาตลอด สิ่งแวดล้อมที่เค้อาศัยอยู่มันทำให้เค้าต้องแสดงออกแบบนี้ การเป็นนักล่าไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตอยู่กับความเป็น-ความตายตลอดเวลา ซีนที่เค้าเล่าเรื่องลูกสาวให้ FBI Jane ฟัง มันทรงพลังมากๆ แววตามันค่อยๆเปลี่ยน พอถึงจุดหนึ่งมันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ชายที่ดูแข็งแกร่งมากๆจากภายนอก ในมุมหนึ่งก็มีความปวดร้าวอยู่ในความทรงจำของตัวเองเช่นกัน

ซีนตอนท้ายที่ไล่ล่าฆาตกรไปบนภูเขาหิมะแล้วคุยกับฆาตกร ก็เล่นได้ดีมาก เรารู้สึกว่าในใจเค้าอยากฆ่าฆาตกรทันทีที่ไล่มาทันเลย แต่มันกลับแสดงออกมาด้วยความใจเย็น เลือดเย็น สงบมาก ซึ่งเราว่าเค้าเล่นดีมาก เค้าเป็นนักล่ามืออาชีพ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แต่สุดท้ายต้องได้ชีวิตของเหยื่อ

ซีนประทับใจของเรามีอยู่ 2-3 ซีน ส่วนใหญ่คือซีนที่ตัวละครพูดคุยกัน บทของ Tarlor มักจะมีซีนแบบนี้อยู่ตลอด (เรายังจำซีน พี่-น้องคุยกัน ก่อนการออกปล้นครั้งสุดท้าย และ ซีนจบของ Hell or High Water ได้ดี มันเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ) ซีนที่ Cory มาที่บ้านของ Martin หลังจากเหตุการตายของ Natalie ลูกสาวของ Martin บทพูดของ Cory พูดกับ Martin มันเฉียบคมและกินใจมากๆ มันพูดโต้งๆเอามากๆ แต่เรากลับแปลกใจว่า พอมันมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ มาอยู่ในซีนนี้ มันกลับดีมากๆ ไม่รู้สึกว่ามันยัดเยียดเลย ทั้งๆที่บทพูดมันยัดเยียดสุดๆ

ซีนที่ Cory เล่าเรื่องลูกสาวให้ FBI Jane ฟัง มันเป็นซีนที่ยอดเยี่ยมมาก Jeremy เล่นได้ราวกับกำลังเล่าเรื่องชีวิตจริงของตัวเอง เค้ารู้สึกกับสิ่งที่เค้ากำลังเล่าจริงๆ มันถูกส่งออกมาทางสายตาและน้ำตาที่ค่อยๆปริ่มออกมา ส่วน Elizabeth Olsen ก็เล่นรับได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ซีนที่เค้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ มันก็พีคไม่แพ้กับการแสดงของ Jeremy เลย

ซีนจบของหนังก็ยังคงลายเซ็นต์ของ Tarlor ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าหนังจะเล่าเรื่องหนักมาแค่ไหนก็ตาม แต่จังหวะการนั่งคุยของตัวละครอย่างผ่อนคลายมักจะอิมแพคกับเรื่องที่เล่ามาเสมอ

หนังเปิดเรื่องด้วยซีนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ภาพของเด็กสาวที่วิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะราวกับว่ากำลังวิ่งหนีบางสิ่ง ผสานกับบทกวีที่ดังขึ้นมา เนื้อหาบทกวีช่างสวยงาม ดูตรงข้ามกับภาพที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นซีนที่ดูปวดร้าวและสวยงามในเวลาเดียวกัน...มันคงพูดถึงแง่มุมชีวิตของเราบางอย่างมั้ง

Wind River เล่าเรื่องในเขตพื้นที่ American Indian reservation พื้นที่พิเศษของอเมริกา มีกฎหมายที่ใช้เฉพาะสำหรับกลุ่ม American Native ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เท่านั้น (ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายของรัฐนั้นๆ) โดยได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น มีคนพบศพหญิงสาววันรุ่นนอนเสียชีวิตอยู่ท่ามกลางผืนหิมะอันกว้างใหญ่ ด้วยเหตุการณ์นี้เอง ตำรวจท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการจัดการกับคดีนี้ได้ จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ FBI เข้ามาเป็นคนสืบสวนคดีนี้

หนังตีแพ่ความจริงพื้นที่ในเขต American Indian reservation ทั้งด้านของอาชญากรรม ยาเสพย์ติด ตำรวจที่มีจำนวนน้อยมาก รวมไปถึงความยุติธรรม ความเสมอภาคของมนุษย์ พื้นที่นี้มันเป็นเขตที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่เป็นคนอเมริกันด้วยกัน ที่บอกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่ทุกคนมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงสิ่งนี้ยังคงมีอยู่ในสังคมอเมริกา ความเท่าเทียมอาจไม่ได้มีอยู่จริงก็ได้ แต่การต่อสู้เพื่อตัวเองต่างหากเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ

ในบางเหตุการณ์ บางเขตพื้นที่ เราไม่อาจรอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ สิ่งสำคัญที่ตัวละครอย่างนายตำรวจท้องถิ่นอย่าง Ben บอกกับ FBI Jane
“เราควรรอกำลังเสริมก่อนดีไหม” Jane ถาม
“ในเขตพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่สำหรับการรอความช่วยเหลือ ที่นี่คือดินแดนที่เราต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น” Ben ตอบ
พวกเค้ารู้ดีว่าในพื้นที่แห่งนี้ คือพื้นที่ที่พวกเค้าต้องพึ่งตัวเอง พวกเค้าพบเจอสิ่งนี้มาทั้งแล้วชีวิต เราว่าแมสเซจตรงนี้ค่อนข้างลึกซึ้งนะ

“สถิติคนหายสาปสูญในอเมริกา มีปรากฏคนในทุกเพศทุกวัย ยกเว้นแต่เพียงผู้หญิงเชื้อสายอินเดียแดง ที่ไม่มีตัวเลขปรากฏแม้แต่คนเดียว”
คงเป็นประโยคที่บอกได้ดีว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างกับกลุ่มคนเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่นี้ ที่ที่เป็นพื้นที่หนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่หนังพูดให้เราฟังอย่างโต้งๆ แต่กลับพูดได้อย่างอิมแพค ในซีนที่ตัวละครอย่าง Cory คุยกับ Martin ที่หน้าบ้านของ Martin หลังเหตุการณ์การเสียชีวิตของลูกสาว Martin เค้าเล่าให้ Martin ฟังว่า ตัวเค้าเองก็ได้ไปเข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องความโศกเศร้า เพราะตัวเค้าเองก็อยากหนีไปจากความเศร้าโศกนี้ ซึ่ง Instructor ในงานสัมมนานี้ ได้เข้ามาคุยกับเค้า หลังจบงาน และบอกกับเค้าว่า
“ฉันมีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกคุณนะ ข่าวร้ายก็คือ คุณจะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว...ไม่มีทาง ส่วนข่าวดีก็คือว่า เมื่อไหร่ที่คุณยอมรับมันได้ เมื่อไหร่ที่คุณยอมรับความเจ็บปวดนั้นได้ คุณจะสามารถไปพบเธอได้ในความทรงจำของเธอ และจะจำทุกความสุขเธอเคยมอบให้ได้ ทั้งความรักทั้งหมดที่เธอมี แต่ในตอนนี้ คุณยังยอมรับมันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าคุณยังไม่ยอมรับมัน มันจะพรากทุกอย่างไปจากคุณนะ”

Cory ยังบอกกับ Martin ต่อไปว่า
“ถ้านายยังอายที่จะยอมรับความเจ็บปวดนี้ ตัวนายเองนั้นแหละที่จะเป็นคนพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความทรงจำเกี่ยวกับเธอ ไปจากตัวนายเอง”

“จากก้าวแรกที่เธอเริ่มเดิน...จนถึงรอยยิ้มสุดท้ายของเธอ นายจะเป็นคนทำลายมันลงทั้งหมดนะ ยอมรับมันเถอะ ยอมรับความเจ็บปวดนี้...มันคือหนทางเดียวที่จะทำให้เธอยังคงอยู่กับนาย”

คำพูดที่ลึกซึ้งของ Cory ตอนบอกกับ Pete ฆาตกร ในตอนท้ายเรื่อง
“The Tamis people were forced here, stuck here for a century. The snow and silence, it’s the only thing that hasn’t been taken from them.”
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเค้าต้องอยู่อาศัยในเขตพื้นที่ตรงนี้ สิ่งที่อยู่อยู่กับพวกเค้ามาเป็นร้อยปี คือ “หิมะกับความเงียบงัน”
แต่มันคงไม่ใช่ข้ออ้างว่าเขตพื้นที่นี้มันน่าเบื่อ ไม่มีอะไรสนุกๆให้ทำ อ้างเพื่อที่จะทำอะไรก็ได้ คนนอกพื้นที่ที่เข้ามาทำงาน แล้วทนไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ แล้วเลือกทำในสิ่งที่ผิด ทำในสิ่งที่เอาเปรียนคนอินเดียนแดงในพื้นที่ หากถามคนในพื้นที่เองแล้ว เราอาจได้คำตอบอีกแบบ “หิมะกับความเงียบงัน” อาจเป็นสิ่งที่พวกเค้าต้องการ มากกว่าการเข้ามาของคนนอกก็ได้ เพราะอย่างน้อย “หิมะและความเงียบงัน” ก็ไม่เคยจะเอาเปรียบพวกเค้า มันคงจริงใจมากกว่าจิตใจของมนุษย์ซะอีก

บทสนทนาระหว่าง Chip พี่ชายของ Natalie หญิงสาวที่เสียชีวิต กับ Cory Lambert
Chip: Man, I get so mad I want to fight the whole world. You got any idea what that feels like?
Cory Lambert: I do. I decided to fight the feeling instead. Cause i figured the world would win.
สิ่งที่ Cory เลือกทำ ไม่ใช่การโวยวายโทษโน่นโทษนี่ เค้ารู้ดีว่า ตัวเค้าเปลี่ยนแปลงอะไรโลกนี้ไม่ได้ นี่คือเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ แต่เค้าเลือกจัดการกับความรู้สึกของเค้าได้ มันคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้แน่ๆ แม้ในบางครั้งมันจะไม่ง่ายเลยก็ตาม

สุดท้ายแม้หนังจะพูดถึงความเลวร้ายในเขตพื้นที่ตรงนี้แค่ไหน พวกเค้าอาจจะต้องพบเจอกับความเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่หนังไม่ได้บอกให้ยอมจำนนต่อสิ่งที่เป็นนะ ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความอยุติธรรมในสังคมก็เรื่องหนึ่ง ความเจ็บปวดที่อยู่ในความทรงจำก็เรื่องหนึ่ง

อย่างที่ตัวละครบอก เราเปลี่ยนโลกนี้ไม่ได้ก็จริง แต่เราจัดการกับความรู้สึกภายในของเราเองได้ สิ่งที่เราเลือกกระทำต่อข้อจำกัดนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ

“หมาป่าไม่ได้กินกวางตัวที่โชคร้าย แต่มันกินกวางตัวที่อ่อนแอ”

ยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทุกความทรงจำจะยังคงอยู่กับเรา ก้าวเดินต่อไป ไม่ยอมแพ้ต่อทุกสิ่ง...เรากำหนดได้เองว่าจะเลือกเป็นกวางตัวไหน

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่