HIGHLIGHTS:
แก้วเป็นเด็กดื้อ ไม่ชอบถูกผู้ใหญ่ดุ แต่เลือกแก้ปัญหาด้วยการตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่มีใครมาดุเธอได้
แก้วเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และได้เป็นครูสอนเปียโนครั้งแรกเมื่ออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
แก้วไม่ได้มีความคิดอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่แรก แต่เข้ามาเป็นสมาชิก BNK48 เพราะไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญในชีวิต และตอนนี้การเป็นไอดอลได้กลายเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจที่จะทำให้ออกมาดีที่สุดในตอนนี้
แก้วเคยพยายามทำตัวให้แบ๊วที่สุดเพื่อให้แฟนคลับประทับใจในตัวเธอ ก่อนจะพบว่าการเป็นตัวเองนี่ล่ะคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ถ้าใครกำลังคิดว่าชีวิตสาวๆ ที่ได้ชื่อว่า ‘ไอดอล’ คือคนหน้าตาดีที่สามารถร้องเพลงและเต้นได้เพียงเท่านั้น แก้ว-ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ พี่ใหญ่แห่งวง BNK48 คือคนที่จะลบภาพนั้นออกไปจากหัวใจของคุณได้ดีที่สุด
เพราะแก้วคือเด็กที่ไม่ว่าจะเลือกทำอะไรแล้วจะใส่ความตั้งใจลงไปอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่การเรียนที่เธอตั้งใจให้ผลการเรียนออกมาดีที่สุดเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ จนในที่สุดเธอสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ (เอกเปียโน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาได้สำเร็จ หรือการตั้งใจเรียนเปียโนตั้งแต่ชั้น ป.4 จนสามารถเริ่มสอนนักเรียนและมีคนเรียกเธอว่า ‘ครูแก้ว’ ตั้งแต่เธออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
รวมทั้งบทบาทล่าสุดกับการเป็นสมาชิกวง BNK48 ที่เธอไม่ถนัดทั้งการร้องและเต้น แต่เธอกำลังพยายามทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ผลลัพธ์จากการเลือกในครั้งนี้ของเธอออกมาดีที่สุดเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา
ก่อนจะมาเป็นครูแก้วแบบตอนนี้ เด็กหญิงแก้วเป็นเด็กแบบไหน
เป็นเด็กดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ใหญ่และไม่ชอบให้ใครมาสั่งหรือดุ แต่แก้วจะเลือกแก้ปัญหาด้วยการทำตัวให้ดีตั้งแต่แรก พยายามเรียนหนังสือให้เก่ง สอบได้ที่ 1 เพราะคิดว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นเด็กดี (หัวเราะ) แล้วพอดื้อบางอย่างเราจะได้รับการยกเว้น เพราะผู้ใหญ่จะคิดว่าเรารับผิดชอบตัวเองได้ แก้วเคยโดนแม่บอกว่า “อย่างแก้วถ้าไม่ติดว่ารับผิดชอบได้ดี ก็ไม่มีอะไรดีแล้วนะ เพราะพูดอะไรก็ไม่ฟัง” ด้วย (หัวเราะ)
เพราะฉะนั้นแก้วจะโฟกัสกับการเรียนมาก สะสมเกียรติบัตรเรียนดี มารยาทดี ทั้งๆ ที่ตัวจริงไม่เรียบร้อยขนาดนั้น (หัวเราะ) แค่พยายามทำให้ถูกกาลเทศะ แก้วคิดว่าการทำให้พ่อแม่หรือครอบครัวภูมิใจในตัวเราคือการตอบแทนบุญคุณอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ง่ายและเร็วที่สุด
ความฝันของเด็กหญิงแก้วในวันนั้นคืออะไร
แก้วเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็ก อันนี้ก็เหมือนเดิม ตั้งใจเรียนให้เก่งเพื่อไม่ให้ใครมาว่าเรา จนวันหนึ่งได้ดูหนังเรื่อง Season Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แล้วอยากเรียนที่มหิดลแบบในเรื่อง (วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เอกเปียโน) ก็ขอคุณพ่อไปสอบจนเข้าได้ แล้วช่วง ม.3 คุณครูที่สอนติวเข้ามหิดลเขาให้แก้วลองสอนเด็กที่มาเรียน ก็ยิ่งสนุกขึ้น ได้เจอเด็กหลายแบบ บางคนมาเล่าปัญหาครอบครัวให้ฟัง เริ่มได้แก้ปัญหาให้เขาบ้าง ชอบที่จะได้อยู่กับเด็กๆ จนมีความฝันว่าอยากเป็นครูสอนเปียโนมาตั้งแต่ตอนนั้น
เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการสอนของครูแก้วคืออะไร
อย่างแรกต้องทำให้เด็กรักก่อน เพราะถ้าเด็กไม่รักต่อให้พูดยังไงเขาก็ไม่เชื่อ แก้วเคยเจอเด็กแกล้งตดใส่ หรือเอาน้ำลายมาป้าย เพราะว่าเขายังไม่รักเรา ต้องมีการคุยและปรับความเข้าใจกัน บางคนต้องปรับด้วยของเล่น บางคนต้องคุยเรื่องละคร พอเขาเริ่มรักเรา ตอนนั้นจะสามารถดุเขาได้ ที่เหลือคือพยายามเข้าใจนิสัยของเขาให้ได้มากที่สุด เพราะเด็กบางคนต้องใช้วิธีการพูดดีๆ ในขณะที่บางคนต้องพูดท้าทายเพื่อกระตุ้นให้เขาตั้งใจทำให้ได้
พอได้เข้าไปเรียนดนตรีที่มหิดลแบบจริงจังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนภาพที่คิดเอาไว้จากในหนังเลยไหม
ตอนดูเห็นว่าเขารวมตัวกันเป็นวง นั่งเล่นดนตรีอยู่ริมสนาม คิดว่าคงไม่เครียดหรอก แต่พอเข้าไปจริงๆ โอ้โห ร้องไห้ทุกวัน (หัวเราะ) เครียดมาก อันดับแรกคือคิดถึงบ้านเพราะแก้วอยู่ชลบุรี แต่ต้องไปอยู่ที่มหิดล แล้วไปถึงต้องเจอการแข่งขันที่สูงมาก เจอคนที่เก่งกว่าเราเต็มไปหมด ต้องโทรไปร้องไห้กับคุณแม่ตลอด แต่พอเทอมสอง เราพยายามคิดใหม่ว่าไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับใคร ลดอีโก้ที่เคยมีลง แค่ตั้งใจเรียน ทำคะแนนในแต่ละวิชาออกมาให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอแล้ว มีจุดหมายแค่อย่างเดียวคือตั้งใจเรียนให้ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเรา แล้วแก้วก็พยายามจนทำได้จริงๆ
ระหว่างการเรียนเพื่อทำเกรดดีๆ ให้พ่อแม่ภูมิใจ กับแพสชันที่เล่นดนตรีเพราะรักในเสียงดนตรีจริงๆ น้ำหนักเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน
ตอนแรกคิดว่าเป็นการเรียนเพื่อพ่อแม่ แต่ตอนหลังแก้วคิดว่าพอๆ กันเลย ตั้งแต่เข้าเรียนที่มหิดลตอน ม.4 ถึงประมาณปี 2 คือช่วงเวลาที่แก้วอยู่กับเปียโนจริงๆ ไม่มีวันหยุดในชีวิต เรียนก็ต้องเล่นเปียโน ปิดเทอมก็ต้องซ้อมสำหรับเทอมต่อไป กลายเป็นเริ่มไม่สนุก ดนตรีกลายเป็นความเครียด ไม่ใช่ความผ่อนคลายเหมือนก่อน จนพอขึ้นปี 3 เป็นช่วงที่แก้วไม่อยากเล่นเปียโนเลย หยุดไปทั้งอาทิตย์ แต่สุดท้ายได้คุยกับอาจารย์ที่สอนเปียโน เขาบอกว่าให้เราคิดดูดีๆ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะรัก เราจะอยู่ได้ถึงทุกวันนี้เหรอ ซึ่งพอกลับมาคิดดูมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แก้วตื่นเต้นและกลัวที่จะขึ้นโชว์บนเวทีแต่ก็ยอมทำ ยอมเรียนปริญญาตรี ยอมซ้อมหนัก ตั้งใจทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะแพสชัน เพราะความรักมาประกอบด้วย มันไม่มีทางมาถึงขนาดนี้ได้แน่นอน
ความฝันเรื่องการเป็นนักร้องเริ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
ไม่ได้มาตอนไหนเลย เดินอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้วมีทีมงานของ BNK48 มาสเกาต์ แล้วแม่อยากให้ออดิชัน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่อยากทำด้วยซ้ำ เพราะเต้นกับร้องไม่ได้เลย แต่แม่บอกว่าให้ลองดู อาจจะโชคชะตาที่คนเดินอยู่เยอะแยะแต่เขามาชวนเรา ก็เข้าไปออดิชัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ พอออดิชันผ่านก็คิดว่าถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน แก่กว่านี้ก็คงเต้นไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)
แล้วตอนนี้การเป็นนักร้องเข้ามาเป็นความฝันของแก้วได้หรือยัง
ไม่ถึงขนาดว่าเราต้องมีแพสชันว่าจะเป็นนักร้องที่ดี แต่พอได้มาอยู่ตรงนี้ แก้วคิดแค่ว่าอยากทำให้ทุกๆ วันมันดีขึ้นกว่าวันที่ผ่านมา แค่อยากร้องเพลง อยากเต้น อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ได้คิดว่าต้องเป็นเซ็นเตอร์ให้ได้หรืออะไรแบบนั้น
แต่ช่วงแรกๆ แก้วก็เคยคิดเรื่องแข่งขัน คิดว่าเราควรอยู่อันดับที่เท่าไร เครียดมากจนคิดว่าไม่ไหวแล้ว เราอย่าไปคิดเลยดีกว่า ตอนนี้ก็เลิกคิด เลิกไปมองคนอื่น เหมือนกลับไปตอนเรียนมหิดลแรกๆ ที่เคยกดดัน แล้วค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไปเรื่อยๆ แก้วว่านี่ล่ะคือสิ่งที่ทำให้แก้วมีความสุขในชีวิตได้ คือการไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร
การเป็นครูที่ต้องทำให้เด็กๆ รัก กับการเป็นไอดอลที่ต้องทำให้แฟนคลับรักต่างกันมากขนาดไหน
ต่างกันมากเลย กับเด็กแก้วจะพยายามจูนเข้าหาเขา คิดว่าทำแบบไหนเขาถึงจะตั้งใจเรียนกับเรา แต่กับแฟนคลับแก้วคิดว่าไม่ต้องพยายามดีกว่า สมมติว่าแก้วพยายามเป็นแบบหนึ่งอยู่ แล้วอีก 3 ปีแก้วพยายามไม่ไหวแล้ว จะไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ก็เป็นตัวเราไปเลย ไม่ต้องพยายามให้เขารัก แต่แสดงสิ่งที่เราเป็น ถ้าเขาไม่รักก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขารัก แปลว่าเขารักที่ตัวของเราจริงๆ แล้วเราจะไม่มีวันเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นที่เขาไม่รักแน่นอน
ซึ่งช่วงแรกๆ ยอมรับว่าเคยพยายามอยู่เหมือนกัน ช่วงที่ยังคิดเรื่องการแข่งขันอยู่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คิดว่าคอนเซปต์วงคือ ‘คาวาอิ’ เด็กผู้หญิงแบ๊วๆ สดใส ก็พยายามแบ๊วให้ถึงที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะทำได้ (หัวเราะ) พยายามจะน่ารักเพื่อให้คนมาชอบ แต่พอวันหนึ่งรู้สึกว่าไม่ไหว เลยหยุดแล้วเป็นตัวเอง ปรากฏว่ามันก็ได้รับเสียงตอบรับอีกแบบว่าเขาชอบที่เราเป็นเราแบบนี้นะ
ตอนเรียนมหิดลช่วงแรกร้องไห้ทุกวัน แล้วพอเข้ามาเป็นสมาชิกวง BNK48 ยังร้องไห้อยู่ไหม
ไม่เหลือ (หัวเราะ) แก้วเป็นคนร้องไห้ง่ายอยู่แล้ว แค่เคยโดนครูชมว่าดี แต่อีกวันโดนครูด่าแค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว แก้วจะเสียใจถ้าเราพยายามทำอะไรมากๆ แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว จะไปร้องไห้กับเรื่องที่ซาบซึ้ง แก้วเป็นคนอ่อนไหวง่าย เช่น ครูพูดง่ายๆ ว่า “ครูรักเราที่เป็นเด็กดีนะ ถ้าใครมาว่า BNK48 เป็นเด็กไม่ดี ครูจะไม่ยอม เพราะรู้จักพวกเธอดี” กับคำพูดแค่นี้แก้วก็ร้องไห้ได้แล้ว
ประทับใจความน่ารักเรื่องไหนของแฟนคลับ BNK48 มากที่สุด
ตรงที่เขายอมลำบากหลายๆ อย่างเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่พี่น้องของเขา แต่บางอย่างเขาก็อดทนเพื่อเรา การที่เขาไปยืนรอเรานานๆ ในงานต่างๆ บางคนถึงกับยอมกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมางานจับมือของพวกเรา นอกจากนี้คือเขามีความรักความสามัคคีกันในกลุ่ม เวลาเขียนจดหมายมาหาแล้วเล่าเรื่องคนในกลุ่มให้ฟังว่ากำลังรวมตัวกันอย่างนี้ๆ เราจะรู้สึกดีมากว่าเขาไม่ได้รักแค่แก้วคนเดียว แต่ยังรักและมีมิตรภาพดีๆ ในกลุ่มให้กันด้วย
หรือมีอยู่ครั้งหนึ่งแก้วเขียนไว้ว่า ให้ทุกคนสามารถเข้ามาเขียนคอมเมนต์แบบยาวๆ ได้เพราะว่าแก้วชอบอ่าน ปรากฏว่ามาเป็นเรียงความขนาดยาว 200 เรื่องมาให้อ่าน 3 วันยังไม่จบ อันนี้คือความน่ารักที่พวกเขาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนพวกเราจริงๆ
รู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่รู้ว่าต้องมีงานจับมือครั้งแรก
ตอนแรกไม่อยากเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากจับมือกับแฟนคลับ แต่แก้วไม่ชอบอะไรที่ต้องมาแข่งขันกันตรงๆ แบบนี้ ตอนแรกคิดว่ามันต้องมีการเห็นคนข้างๆ มีแฟนคลับต่อแถวเยอะกว่าแล้วเราจะท้อแท้ หรืออย่างการเลือกตั้งเซมบัตสึก็ไม่ค่อยอยากให้มี อยากให้บริษัทเป็นคนตัดสินเองเลยมากกว่า แบบนี้มันคือเรื่องของความนิยมล้วนๆ แล้วกลัวว่าจะกดดัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด มันคือรูปแบบหนึ่งของการทำงาน พอถึงงานจับมือเราก็ไม่ได้มองแถวคนข้างๆ แล้วว่าคนจะเยอะกว่าหรือเปล่า เราแค่ดีใจที่ทุกคนมาหาเราแล้วมีแต่คำพูดและกำลังใจดีๆ มามอบให้
ณ ตอนนี้ให้ความสำคัญกับคำว่าไอดอลมากแค่ไหน
พอสมควรตรงที่ต้องรับผิดชอบการกระทำของเรามากขึ้น เพราะเวลาใครเรียกเราว่าไอดอล แปลว่าเขาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราบางอย่าง เพราะฉะนั้นแก้วก็ต้องมีบางมุมที่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นได้ เมื่อก่อนเราอาจจะเคยทำบางอย่างแล้วไม่ผิด แต่พอมาอยู่ตรงนี้อาจจะไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นเลยต้องคิดให้มากขึ้น และคิดให้ดีก่อนทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้ใครเสียใจกับการกระทำของเรา
คิดอย่างไรบ้างกับเรื่องความรัก ที่ผู้หญิงในวัยเดียวกับแก้วส่วนใหญ่น่าจะกำลังมีความสุขกับการได้มีความรักกันหมดแล้ว
จะบอกว่าอยากมีบ้างมันก็ไม่ใช่นะ เพราะแก้วไม่ได้อยากมี เวลาเห็นคนอื่นมีความรักก็ยินดีกับเขาด้วย คิดว่าแก้วไม่ใช่คนที่ต้องการความรักอะไรขนาดนั้น แก้วมีครอบครัวที่อบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดว่าการมีแฟนมันจำเป็น เวลาเห็นคนอื่นมีความรัก ตอนเด็กๆ แก้วก็เคยมีความรักมาก่อน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจำเป็นจังเลย ก่อนเข้าวงการก็ไม่ได้มีแฟนมาสักพักแล้ว ชีวิตช่วงนี้เราก็ยุ่ง มันก็โอเคอยู่แล้วกับการได้ทำงาน ได้ความรักจากแฟนคลับ ครอบครัวทุกอย่างก็เติมเต็มความสุขให้เราได้แบบไม่ได้รู้สึกว่าเหงาอะไรเลย สบายดีมากค่ะตอนนี้
ขอบคุณบทความ
https://thestandard.co/bnk48-kaew/
อิทธิบาท4(ยังคงใช้ได้เสมอ):‘เกียรตินิยม คุณครู ไอดอล’ ความฝันที่ แก้ว BNK48 คว้ามาได้ด้วยความตั้งใจจริง
แก้วเป็นเด็กดื้อ ไม่ชอบถูกผู้ใหญ่ดุ แต่เลือกแก้ปัญหาด้วยการตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่มีใครมาดุเธอได้
แก้วเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และได้เป็นครูสอนเปียโนครั้งแรกเมื่ออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
แก้วไม่ได้มีความคิดอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่แรก แต่เข้ามาเป็นสมาชิก BNK48 เพราะไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญในชีวิต และตอนนี้การเป็นไอดอลได้กลายเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจที่จะทำให้ออกมาดีที่สุดในตอนนี้
แก้วเคยพยายามทำตัวให้แบ๊วที่สุดเพื่อให้แฟนคลับประทับใจในตัวเธอ ก่อนจะพบว่าการเป็นตัวเองนี่ล่ะคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ถ้าใครกำลังคิดว่าชีวิตสาวๆ ที่ได้ชื่อว่า ‘ไอดอล’ คือคนหน้าตาดีที่สามารถร้องเพลงและเต้นได้เพียงเท่านั้น แก้ว-ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ พี่ใหญ่แห่งวง BNK48 คือคนที่จะลบภาพนั้นออกไปจากหัวใจของคุณได้ดีที่สุด
เพราะแก้วคือเด็กที่ไม่ว่าจะเลือกทำอะไรแล้วจะใส่ความตั้งใจลงไปอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่การเรียนที่เธอตั้งใจให้ผลการเรียนออกมาดีที่สุดเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ จนในที่สุดเธอสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ (เอกเปียโน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาได้สำเร็จ หรือการตั้งใจเรียนเปียโนตั้งแต่ชั้น ป.4 จนสามารถเริ่มสอนนักเรียนและมีคนเรียกเธอว่า ‘ครูแก้ว’ ตั้งแต่เธออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
รวมทั้งบทบาทล่าสุดกับการเป็นสมาชิกวง BNK48 ที่เธอไม่ถนัดทั้งการร้องและเต้น แต่เธอกำลังพยายามทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ผลลัพธ์จากการเลือกในครั้งนี้ของเธอออกมาดีที่สุดเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา
ก่อนจะมาเป็นครูแก้วแบบตอนนี้ เด็กหญิงแก้วเป็นเด็กแบบไหน
เป็นเด็กดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังผู้ใหญ่และไม่ชอบให้ใครมาสั่งหรือดุ แต่แก้วจะเลือกแก้ปัญหาด้วยการทำตัวให้ดีตั้งแต่แรก พยายามเรียนหนังสือให้เก่ง สอบได้ที่ 1 เพราะคิดว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นเด็กดี (หัวเราะ) แล้วพอดื้อบางอย่างเราจะได้รับการยกเว้น เพราะผู้ใหญ่จะคิดว่าเรารับผิดชอบตัวเองได้ แก้วเคยโดนแม่บอกว่า “อย่างแก้วถ้าไม่ติดว่ารับผิดชอบได้ดี ก็ไม่มีอะไรดีแล้วนะ เพราะพูดอะไรก็ไม่ฟัง” ด้วย (หัวเราะ)
เพราะฉะนั้นแก้วจะโฟกัสกับการเรียนมาก สะสมเกียรติบัตรเรียนดี มารยาทดี ทั้งๆ ที่ตัวจริงไม่เรียบร้อยขนาดนั้น (หัวเราะ) แค่พยายามทำให้ถูกกาลเทศะ แก้วคิดว่าการทำให้พ่อแม่หรือครอบครัวภูมิใจในตัวเราคือการตอบแทนบุญคุณอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ง่ายและเร็วที่สุด
ความฝันของเด็กหญิงแก้วในวันนั้นคืออะไร
แก้วเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็ก อันนี้ก็เหมือนเดิม ตั้งใจเรียนให้เก่งเพื่อไม่ให้ใครมาว่าเรา จนวันหนึ่งได้ดูหนังเรื่อง Season Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แล้วอยากเรียนที่มหิดลแบบในเรื่อง (วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เอกเปียโน) ก็ขอคุณพ่อไปสอบจนเข้าได้ แล้วช่วง ม.3 คุณครูที่สอนติวเข้ามหิดลเขาให้แก้วลองสอนเด็กที่มาเรียน ก็ยิ่งสนุกขึ้น ได้เจอเด็กหลายแบบ บางคนมาเล่าปัญหาครอบครัวให้ฟัง เริ่มได้แก้ปัญหาให้เขาบ้าง ชอบที่จะได้อยู่กับเด็กๆ จนมีความฝันว่าอยากเป็นครูสอนเปียโนมาตั้งแต่ตอนนั้น
เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการสอนของครูแก้วคืออะไร
อย่างแรกต้องทำให้เด็กรักก่อน เพราะถ้าเด็กไม่รักต่อให้พูดยังไงเขาก็ไม่เชื่อ แก้วเคยเจอเด็กแกล้งตดใส่ หรือเอาน้ำลายมาป้าย เพราะว่าเขายังไม่รักเรา ต้องมีการคุยและปรับความเข้าใจกัน บางคนต้องปรับด้วยของเล่น บางคนต้องคุยเรื่องละคร พอเขาเริ่มรักเรา ตอนนั้นจะสามารถดุเขาได้ ที่เหลือคือพยายามเข้าใจนิสัยของเขาให้ได้มากที่สุด เพราะเด็กบางคนต้องใช้วิธีการพูดดีๆ ในขณะที่บางคนต้องพูดท้าทายเพื่อกระตุ้นให้เขาตั้งใจทำให้ได้
พอได้เข้าไปเรียนดนตรีที่มหิดลแบบจริงจังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนภาพที่คิดเอาไว้จากในหนังเลยไหม
ตอนดูเห็นว่าเขารวมตัวกันเป็นวง นั่งเล่นดนตรีอยู่ริมสนาม คิดว่าคงไม่เครียดหรอก แต่พอเข้าไปจริงๆ โอ้โห ร้องไห้ทุกวัน (หัวเราะ) เครียดมาก อันดับแรกคือคิดถึงบ้านเพราะแก้วอยู่ชลบุรี แต่ต้องไปอยู่ที่มหิดล แล้วไปถึงต้องเจอการแข่งขันที่สูงมาก เจอคนที่เก่งกว่าเราเต็มไปหมด ต้องโทรไปร้องไห้กับคุณแม่ตลอด แต่พอเทอมสอง เราพยายามคิดใหม่ว่าไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับใคร ลดอีโก้ที่เคยมีลง แค่ตั้งใจเรียน ทำคะแนนในแต่ละวิชาออกมาให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอแล้ว มีจุดหมายแค่อย่างเดียวคือตั้งใจเรียนให้ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเรา แล้วแก้วก็พยายามจนทำได้จริงๆ
ระหว่างการเรียนเพื่อทำเกรดดีๆ ให้พ่อแม่ภูมิใจ กับแพสชันที่เล่นดนตรีเพราะรักในเสียงดนตรีจริงๆ น้ำหนักเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน
ตอนแรกคิดว่าเป็นการเรียนเพื่อพ่อแม่ แต่ตอนหลังแก้วคิดว่าพอๆ กันเลย ตั้งแต่เข้าเรียนที่มหิดลตอน ม.4 ถึงประมาณปี 2 คือช่วงเวลาที่แก้วอยู่กับเปียโนจริงๆ ไม่มีวันหยุดในชีวิต เรียนก็ต้องเล่นเปียโน ปิดเทอมก็ต้องซ้อมสำหรับเทอมต่อไป กลายเป็นเริ่มไม่สนุก ดนตรีกลายเป็นความเครียด ไม่ใช่ความผ่อนคลายเหมือนก่อน จนพอขึ้นปี 3 เป็นช่วงที่แก้วไม่อยากเล่นเปียโนเลย หยุดไปทั้งอาทิตย์ แต่สุดท้ายได้คุยกับอาจารย์ที่สอนเปียโน เขาบอกว่าให้เราคิดดูดีๆ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะรัก เราจะอยู่ได้ถึงทุกวันนี้เหรอ ซึ่งพอกลับมาคิดดูมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แก้วตื่นเต้นและกลัวที่จะขึ้นโชว์บนเวทีแต่ก็ยอมทำ ยอมเรียนปริญญาตรี ยอมซ้อมหนัก ตั้งใจทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะแพสชัน เพราะความรักมาประกอบด้วย มันไม่มีทางมาถึงขนาดนี้ได้แน่นอน
ความฝันเรื่องการเป็นนักร้องเริ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
ไม่ได้มาตอนไหนเลย เดินอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้วมีทีมงานของ BNK48 มาสเกาต์ แล้วแม่อยากให้ออดิชัน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่อยากทำด้วยซ้ำ เพราะเต้นกับร้องไม่ได้เลย แต่แม่บอกว่าให้ลองดู อาจจะโชคชะตาที่คนเดินอยู่เยอะแยะแต่เขามาชวนเรา ก็เข้าไปออดิชัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ พอออดิชันผ่านก็คิดว่าถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน แก่กว่านี้ก็คงเต้นไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)
แล้วตอนนี้การเป็นนักร้องเข้ามาเป็นความฝันของแก้วได้หรือยัง
ไม่ถึงขนาดว่าเราต้องมีแพสชันว่าจะเป็นนักร้องที่ดี แต่พอได้มาอยู่ตรงนี้ แก้วคิดแค่ว่าอยากทำให้ทุกๆ วันมันดีขึ้นกว่าวันที่ผ่านมา แค่อยากร้องเพลง อยากเต้น อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ได้คิดว่าต้องเป็นเซ็นเตอร์ให้ได้หรืออะไรแบบนั้น
แต่ช่วงแรกๆ แก้วก็เคยคิดเรื่องแข่งขัน คิดว่าเราควรอยู่อันดับที่เท่าไร เครียดมากจนคิดว่าไม่ไหวแล้ว เราอย่าไปคิดเลยดีกว่า ตอนนี้ก็เลิกคิด เลิกไปมองคนอื่น เหมือนกลับไปตอนเรียนมหิดลแรกๆ ที่เคยกดดัน แล้วค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไปเรื่อยๆ แก้วว่านี่ล่ะคือสิ่งที่ทำให้แก้วมีความสุขในชีวิตได้ คือการไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร
การเป็นครูที่ต้องทำให้เด็กๆ รัก กับการเป็นไอดอลที่ต้องทำให้แฟนคลับรักต่างกันมากขนาดไหน
ต่างกันมากเลย กับเด็กแก้วจะพยายามจูนเข้าหาเขา คิดว่าทำแบบไหนเขาถึงจะตั้งใจเรียนกับเรา แต่กับแฟนคลับแก้วคิดว่าไม่ต้องพยายามดีกว่า สมมติว่าแก้วพยายามเป็นแบบหนึ่งอยู่ แล้วอีก 3 ปีแก้วพยายามไม่ไหวแล้ว จะไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ก็เป็นตัวเราไปเลย ไม่ต้องพยายามให้เขารัก แต่แสดงสิ่งที่เราเป็น ถ้าเขาไม่รักก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขารัก แปลว่าเขารักที่ตัวของเราจริงๆ แล้วเราจะไม่มีวันเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นที่เขาไม่รักแน่นอน
ซึ่งช่วงแรกๆ ยอมรับว่าเคยพยายามอยู่เหมือนกัน ช่วงที่ยังคิดเรื่องการแข่งขันอยู่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คิดว่าคอนเซปต์วงคือ ‘คาวาอิ’ เด็กผู้หญิงแบ๊วๆ สดใส ก็พยายามแบ๊วให้ถึงที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะทำได้ (หัวเราะ) พยายามจะน่ารักเพื่อให้คนมาชอบ แต่พอวันหนึ่งรู้สึกว่าไม่ไหว เลยหยุดแล้วเป็นตัวเอง ปรากฏว่ามันก็ได้รับเสียงตอบรับอีกแบบว่าเขาชอบที่เราเป็นเราแบบนี้นะ
ตอนเรียนมหิดลช่วงแรกร้องไห้ทุกวัน แล้วพอเข้ามาเป็นสมาชิกวง BNK48 ยังร้องไห้อยู่ไหม
ไม่เหลือ (หัวเราะ) แก้วเป็นคนร้องไห้ง่ายอยู่แล้ว แค่เคยโดนครูชมว่าดี แต่อีกวันโดนครูด่าแค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว แก้วจะเสียใจถ้าเราพยายามทำอะไรมากๆ แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว จะไปร้องไห้กับเรื่องที่ซาบซึ้ง แก้วเป็นคนอ่อนไหวง่าย เช่น ครูพูดง่ายๆ ว่า “ครูรักเราที่เป็นเด็กดีนะ ถ้าใครมาว่า BNK48 เป็นเด็กไม่ดี ครูจะไม่ยอม เพราะรู้จักพวกเธอดี” กับคำพูดแค่นี้แก้วก็ร้องไห้ได้แล้ว
ประทับใจความน่ารักเรื่องไหนของแฟนคลับ BNK48 มากที่สุด
ตรงที่เขายอมลำบากหลายๆ อย่างเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่พี่น้องของเขา แต่บางอย่างเขาก็อดทนเพื่อเรา การที่เขาไปยืนรอเรานานๆ ในงานต่างๆ บางคนถึงกับยอมกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมางานจับมือของพวกเรา นอกจากนี้คือเขามีความรักความสามัคคีกันในกลุ่ม เวลาเขียนจดหมายมาหาแล้วเล่าเรื่องคนในกลุ่มให้ฟังว่ากำลังรวมตัวกันอย่างนี้ๆ เราจะรู้สึกดีมากว่าเขาไม่ได้รักแค่แก้วคนเดียว แต่ยังรักและมีมิตรภาพดีๆ ในกลุ่มให้กันด้วย
หรือมีอยู่ครั้งหนึ่งแก้วเขียนไว้ว่า ให้ทุกคนสามารถเข้ามาเขียนคอมเมนต์แบบยาวๆ ได้เพราะว่าแก้วชอบอ่าน ปรากฏว่ามาเป็นเรียงความขนาดยาว 200 เรื่องมาให้อ่าน 3 วันยังไม่จบ อันนี้คือความน่ารักที่พวกเขาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนพวกเราจริงๆ
รู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่รู้ว่าต้องมีงานจับมือครั้งแรก
ตอนแรกไม่อยากเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากจับมือกับแฟนคลับ แต่แก้วไม่ชอบอะไรที่ต้องมาแข่งขันกันตรงๆ แบบนี้ ตอนแรกคิดว่ามันต้องมีการเห็นคนข้างๆ มีแฟนคลับต่อแถวเยอะกว่าแล้วเราจะท้อแท้ หรืออย่างการเลือกตั้งเซมบัตสึก็ไม่ค่อยอยากให้มี อยากให้บริษัทเป็นคนตัดสินเองเลยมากกว่า แบบนี้มันคือเรื่องของความนิยมล้วนๆ แล้วกลัวว่าจะกดดัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด มันคือรูปแบบหนึ่งของการทำงาน พอถึงงานจับมือเราก็ไม่ได้มองแถวคนข้างๆ แล้วว่าคนจะเยอะกว่าหรือเปล่า เราแค่ดีใจที่ทุกคนมาหาเราแล้วมีแต่คำพูดและกำลังใจดีๆ มามอบให้
ณ ตอนนี้ให้ความสำคัญกับคำว่าไอดอลมากแค่ไหน
พอสมควรตรงที่ต้องรับผิดชอบการกระทำของเรามากขึ้น เพราะเวลาใครเรียกเราว่าไอดอล แปลว่าเขาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราบางอย่าง เพราะฉะนั้นแก้วก็ต้องมีบางมุมที่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นได้ เมื่อก่อนเราอาจจะเคยทำบางอย่างแล้วไม่ผิด แต่พอมาอยู่ตรงนี้อาจจะไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นเลยต้องคิดให้มากขึ้น และคิดให้ดีก่อนทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้ใครเสียใจกับการกระทำของเรา
คิดอย่างไรบ้างกับเรื่องความรัก ที่ผู้หญิงในวัยเดียวกับแก้วส่วนใหญ่น่าจะกำลังมีความสุขกับการได้มีความรักกันหมดแล้ว
จะบอกว่าอยากมีบ้างมันก็ไม่ใช่นะ เพราะแก้วไม่ได้อยากมี เวลาเห็นคนอื่นมีความรักก็ยินดีกับเขาด้วย คิดว่าแก้วไม่ใช่คนที่ต้องการความรักอะไรขนาดนั้น แก้วมีครอบครัวที่อบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดว่าการมีแฟนมันจำเป็น เวลาเห็นคนอื่นมีความรัก ตอนเด็กๆ แก้วก็เคยมีความรักมาก่อน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจำเป็นจังเลย ก่อนเข้าวงการก็ไม่ได้มีแฟนมาสักพักแล้ว ชีวิตช่วงนี้เราก็ยุ่ง มันก็โอเคอยู่แล้วกับการได้ทำงาน ได้ความรักจากแฟนคลับ ครอบครัวทุกอย่างก็เติมเต็มความสุขให้เราได้แบบไม่ได้รู้สึกว่าเหงาอะไรเลย สบายดีมากค่ะตอนนี้
ขอบคุณบทความ https://thestandard.co/bnk48-kaew/