...
การรักเขาข้างเดียวเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่หวังอะไร ถือเป็นธรรมดาในสมัยก่อน ..
รักโดยแสดงออกว่ารักนะครับ ไม่ใช่เพียงแค่แอบชอบ
ไม่รู้ปัจจุบันยังมีอยู่บ้างไหม .. อยากรู้น่ะครับ
.. ส่วนเรื่องประกอบคำถาม ถือว่าอ่านเอาฮาก็แล้วกัน .. เป็นเรื่องแต่งนะครับ มีเค้าโครงจากเรื่องจริงของรุ่นพี่คนหนึ่ง
...
...
หากวันเฉลิมลูกน้าลำยองเรียกว่าทองเนื้อเก้า ยายหนูลูกป้าน้อมของผมก็รับรองว่าไม่ใช่ทองหยิบ ทองหยอดแน่ ๆ ใครเล่าจะรู้ดีเท่าผมซึ่งอยู่ห้องติดกันในแฟลตเก่าดินแดง ..
สมัยเรียนปวช.ในวิทยาลัยพาณิชย์แถวบ้าน หากเธอไม่ถูกจับไปเต้นแร้งเต้นกาแหกแข้งแหกขาเป็นเชียร์ลีดเดอร์เสียก่อนล่ะก็ ผมว่าเธอคงเป็นหนึ่งเดียวในวิทยาลัยที่ยังคงเยื่อพรหมจารีไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ..
แต่เอาล่ะน่ะ ถึงจะขาดไปก็ใช่ว่าจะเพราะน้ำมือชายที่ไหน เป็นน้ำมือเธอของเองแท้ ๆ (ที่ลงชื่อรับเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แหะ ๆ )
แม้กระทั่งเธอเดินข้ามฝั่งจากวิทยาลัยพาณิชย์มาเป็นนักศึกษาในรั้วมหา’ลัยเอกชนซึ่งนิยมใส่กระโปรงรัดก้นและเสื้อรัดนม เธอก็ยังคงเอกลักษณ์ของความแปลกแยกได้อย่างชัดเจนคือใส่เสื้อนักศึกษาเข้ารูปพองามและปกปิดมิดชิด กระโปรงยาวถึงข้อเท้าทุกครั้ง
ผมเฝ้ามองดูพัฒนาการของเธอมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรส่อสักนิดว่าเธอจะเป็นคนไม่รักดี ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ตามกรรมพันธุ์ของพ่อขับสามล้อเครื่องและแม่ขายขนมครก แต่เธอก็มีความขยันเป็นเลิศ
ยามว่างในมือของเธอจะปรากฏหนังสือประเภทที่ผมอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ
“คาลิล ยิบรานว่าไว้ .. หว่านเมล็ดพืชแห่งการศึกษา จะนำพาชีวิตให้งอกงาม “ ยายหนูบอกผม
“ฉันรู้จักแต่ .. หว่านพืชก็ต้องหวังผล” ผมอวดรู้ไปบ้าง
ดังนั้นแทนที่เธอจะซื้อบัตรเติมเงินเพื่อเติมเวลามือถือเหมือนสาวทั่วไป เธอจึงกลับเอาเงินไปซื้อหนังสือ
“เติมความรู้ความฉลาด “ เธอบอก ..
“คุยกันก็ฉลาดน่า …… “ แล้วผมก็งัดเอาคำในหนังสือกำลังภายในมากล่าว “ …. เดินทางพันลี้ดีกว่าอ่านตำราพันเล่ม โทรศัพท์ยิ่งกว่าเดินทางอีกไปได้ทั่วโลก พูดกับผู้คนหลากหลายเข้าอินเตอร์เน็ตก็ได้ “
“แล้ววัน ๆ เธอโทรเรื่องอะไรมั่ง ”
ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่โทรไปจีบสาวก็คุยกะเพื่อนเรื่องเอาสาว อีกอย่างก็โทรไปแทงบอล แหะ ๆ
“อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าคืนนี้แมนยูต่อเท่าไหร่ ขนาดอยู่ห่างกันเป็นค่อนโลก ..” ผมว่า ..
บุคลิกของเธอสง่างามตามธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเข้าช่วยเสริม ไม่เหมือนสาวหลาย ๆ คนที่พากันกระแดะถือกระเป๋าหลุยส์ติงต๊องโดยที่มันไม่เข้ากับตัวหล่อนสักนิด พาลให้คิดไปว่าเป็นของปลอมหรือหากเป็นของจริงก็ชวนให้คิดถึงวิธีที่ได้มา ..
มีอยู่เพียงครั้งเดียวที่ผมเห็นเธอตื่นเต้นกับของอะไรแพง ๆ
วันหนึ่ง .. ผมลากเธอออกจากกองหนังสือ ไปเป็นคนเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนในห้างสรรพสินค้าขณะเดินเล่นกันอยู่ มีผู้หญิงท่าทางดีแต่งกายหรูคนหนึ่งเดินผ่าน อยู่ ๆ ยายหนูก็อุทานออกมาเบา ๆ
“อุ๊ย !! ดูสิ กระเป๋าใบนั้นสวยจังเลย .. ” เธอชี้ไปยังผู้หญิงคนนั้นซึ่งสะพายกระเป๋าใบเล็ก มีลิงห้อยอยู่ตุ้งติ้ง ..
“เขาเรียกกระเป๋าคีบลิง….…. “ ผมว่าไปตามที่รู้ “ …….…เธอเห็นไหมมันมีลิงห้อยตุ้งติ้งอยู่นั่นน่ะ .. “
“สวยจัง ..” เธอว่าพลางหันกลับไปมองอีกที
หลังจากวันนั้นผมก็มานั่งคิด .. ผมจะไปซื้อกระเป๋าแบบนั้นให้เธอดีไหมน้อ กลัวว่าซื้อมาแล้ว เธอไม่เอาสิ … คงเอาน่าเพราะเห็นเธอแสดงว่าชอบมันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตามปกติแล้วเธอจะเบะปากใส่ด้วยซ้ำ แต่มันคงแพงนา ถ้าขืนซื้อล่ะก็กินแกลบแน่ ..
เอ ..แต่มันก็เป็นโอกาสเดียวที่จะเอาใจเธอนะ .. ผมคิดกลับไปกลับมาหลายตลบในที่สุดก็ตัดสินใจ ….
ในวันเสาร์ถัดมา ผมก็ไปเดินเบียดสาวเหงื่อไหลไคลย้อยในสวนจตุจักรเพื่อจะหาซื้อไอ้กระเป๋าคีบลิง แต่มันหายากเสียจริง ผมเดินจนปรุทั้งสวนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ จนย่างเข้าเย็นผมถึงไปเจอเข้าใบหนึ่ง ดูเหมือนใบที่เธอชอบวันนั้นเด๊ะ เสียแต่ที่มันไม่มีลิง … เฮ้อ .. เซ็ง ..
ตอนกลับผมเดินเลาะมาตามสวนจตุจักร ว่าจะข้ามไปขึ้นรถเมล์ที่ข้างเซ็นทรัล และก็อดไม่ได้ที่จะมุดเข้าไปตากแอร์เย็น ๆ แล้วโชคก็เป็นของผมเมื่อมาเจอเข้าจริง ๆ ในนี้เอง .. เย้ !!
กระเป๋าตังค์ของผมเบาโหวงไปอย่างทันตาเห็น เพราะไอ้กระเป๋าแบบคีบลิงอย่างนั้นมันแพงเอาการสำหรับเด็ก ปวส. ที่ยังต้องขอตังค์แม่อย่างผม แต่ก็คุ้มมากเมื่อวันต่อมาผมเอาไปให้ ยายหนูอุทานออกมาอย่างแปลกใจและดีใจ ดูเธอชอบมันมากกอดไว้แน่น ปากก็ขอบใจผมไม่หยุด
กระเป๋าใบนี้เธอยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ผมซื้อมาจากจตุจักรแค่สามร้อย ส่วนไอ้ลิงกังที่ผมไปเจอในร้านตุ๊กตาใต้ถุนห้างเซ็นทรัลแล้วเอามาเย็บติดเข้าด้วยกัน เธอแกะออกแล้วเก็บไว้ในห้อง
ทำไมหว่า .. มันก็ลิงเหมือนกันแท้ ๆ ซื้อมาตั้งร้อยเก้าสิบเก้า …
ผมเฝ้าเป็นมดแดงแฝงมะม่วงอยู่จนกระทั่งเธอเรียนจบและไปเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนผมเรียนช้ากว่าเธอหนึ่งปีเลยยังติดแหง่กอยู่ในรั้วเทคโนฯ ..
ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าเขาหรือมันไม่
ก้าวเข้ามา ….
วันนั้นผมเลิกจากเรียนแล้วก็แถไปรับยายหนูที่ออฟฟิศตามปกติ และต้องเซ่อเป็นไก่ตาแตกเมื่อพบว่าเธอกำลังเดินออกมากับมัน พอเห็นผมเข้าก็ลากแขนหมอนั่นมาแนะนำ
“ตึ๋งมาแล้วหรือ .. นี่พี่เจอรี่รู้จักไว้เสีย .. พี่เจอรี่คะนี่ตึ๋งเพื่อนของหนูค่ะ ..”
ผมเอื้อมมือออกไปเพื่อจะจับทำความรู้จัก มันกลับหดมือหนีทำท่ารังเกียจ .. เท่านั้นไม่เป็นไรหรอกน่ะ แต่ผมมาควันออกหูอีตรงมันไปบังอาจฉกยายหนูไปนั่งรถเก๋งคันงามของมันต่อหน้าต่อตา
“เรานัดกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะว่าจะไปดูหนัง พอดีฉันลืมบอกเธอขอโทษที ตึ๋งกลับบ้านคนเดียวนะ เอ้า ฉันฝากของกลับด้วย ..”
ขณะที่ยายหนูเอาตูดสัมผัสกับเบาะรถเก๋งนิ่ม ๆ ตากแอร์หอม ๆ เย็น ๆ ไปดูหนัง ผมกลับต้องหอบของพะรุงพะรังโหนรถเบนซ์สองประตูกลับบ้าน ..
ผมยืนทำตาเหล่กัดฟันกรอด ๆ ไปตลอดทาง จนพวกที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แตกกระจายไม่ยอมเข้ามาอยู่ใกล้
ยิ่งนานความอดกลั้นผมก็น้อยลง บ่อยครั้งที่ผมเฝ้าไปรอรับยายหนูกลับบ้าน แต่กลับต้องหอบของ พะรุงพะรังกลับ ส่วนเธอก็ขึ้นรถเก๋งไปกับเจ้าเจอรี่ตามเคย ..
“ก็ไปกินข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง เดินเล่นดูของบ้าง ..” เธอตอบมาเมื่อผมถามขึ้นในวันหนึ่ง
“โห. มันเอาของพวกนี้มาล่อ ฉันก็ให้เธอได้อีแค่พวกนี้ เพียงแต่ต้องนั่งรถเมล์ตอนไปเท่านั้นแหละ”
“บ้า !! เธอคิดอะไร ก็พี่เขาเป็นเพื่อนร่วมงานและเป็นคนสอนงานเรา เขาชวนไปเป็นเพื่อนที่โน่นที่นี่ ก็ต้องไปกับเขาบ้าง ใช่ว่าฉันจะเห็นแก่อะไรพวกนั้นที่ไหน เธอน่ะประสาทรู้ไหม ฉันไปกับพี่เขาก็แค่ไม่กี่ครั้ง นอกนั้นเราก็กลับด้วยกันตามปกติ จะไม่ให้ฉันมีเพื่อนที่ไหนเลยหรือนอกจากเธอ ..”
มันก็จริงนะ หลังจากนั้นผมก็เลยหยวน ๆ แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ต้องถึงกับตบะแตกโวยวายเสียงดังลั่น เมื่อเห็นมันโอบสะโพกเธอขึ้นรถเก๋งกับตา ..
“เดี๋ยวนี้มันกำเริบหนักแล้วนะ ถึงกับโอบสะโพกเธอ ขนาดฉันต้องรอจะข้ามถนนถึงจะได้จับมือเธอที ถ้าถนนโล่งไม่ได้จับอีกตะหาก ..”
ยายหนูหน้าบึ้ง ..” เธอคิดอะไรหือ .. พี่เค้าเป็นผู้หญิงเหมือนกับฉันนะ ”
“แต่มันเป็นทอม ..” ผมอุทธรณ์
“ทอมที่ไหน เจอรี่ตะหาก ..” เธอพูดแล้วก็หัวเราะคิก ..
“เออ !! นั่นแหละ ทอมประสาท ดันตั้งชื่อตัวเองว่าเจอรี่ ประสาท- ..”
“เธออย่ามาว่าพี่เค้าต่อหน้าฉันนะ พี่เค้าดีจะตาย ดูแลเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง นิสัยดี ความประพฤติก็ดี ไม่เหมือนเธอ ..อะไรไม่ดีทำหมด .. ”
“ฉันก็มีดีเยอะแยะ ..”
“ลองยกตัวอย่างซิ ..”
“เอ่อ …….. “ ผมเกาหัว “……….ก็มีบ้างล่ะน่า ..”
“ก็บอกมาสักข้อสิ . “
“ขี่จักรยานปล่อยแฮนได้ ..”
“บ้า !! “ เธอด่า
...
ถึงเป็นแค่ทอมผมก็หึง มันจะมาแย่งยายหนูไปจากผมได้อย่างไร .. ผมเฝ้ามาตั้งแต่แม่ของเธอจับอาบน้ำก๊อกข้างแฟลตด้วยกัน จนเดี๋ยวนี้ผมโตจนต้องไปอาบน้ำก๊อกกับหมอนวด อยู่ ๆ มันจะมาชุบมือเปิบ ..
ผมต้องรู้ให้ได้ว่ายายหนูชอบมันตรงไหน …….
... มีต่อเน้อ ..
- รักข้างเดียวแบบมดแดงแฝงต้นมะม่วง ปัจจุบันยังมีอยู่ไหม .. -
การรักเขาข้างเดียวเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่หวังอะไร ถือเป็นธรรมดาในสมัยก่อน ..
รักโดยแสดงออกว่ารักนะครับ ไม่ใช่เพียงแค่แอบชอบ
ไม่รู้ปัจจุบันยังมีอยู่บ้างไหม .. อยากรู้น่ะครับ
.. ส่วนเรื่องประกอบคำถาม ถือว่าอ่านเอาฮาก็แล้วกัน .. เป็นเรื่องแต่งนะครับ มีเค้าโครงจากเรื่องจริงของรุ่นพี่คนหนึ่ง
...
...
หากวันเฉลิมลูกน้าลำยองเรียกว่าทองเนื้อเก้า ยายหนูลูกป้าน้อมของผมก็รับรองว่าไม่ใช่ทองหยิบ ทองหยอดแน่ ๆ ใครเล่าจะรู้ดีเท่าผมซึ่งอยู่ห้องติดกันในแฟลตเก่าดินแดง ..
สมัยเรียนปวช.ในวิทยาลัยพาณิชย์แถวบ้าน หากเธอไม่ถูกจับไปเต้นแร้งเต้นกาแหกแข้งแหกขาเป็นเชียร์ลีดเดอร์เสียก่อนล่ะก็ ผมว่าเธอคงเป็นหนึ่งเดียวในวิทยาลัยที่ยังคงเยื่อพรหมจารีไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ..
แต่เอาล่ะน่ะ ถึงจะขาดไปก็ใช่ว่าจะเพราะน้ำมือชายที่ไหน เป็นน้ำมือเธอของเองแท้ ๆ (ที่ลงชื่อรับเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แหะ ๆ )
แม้กระทั่งเธอเดินข้ามฝั่งจากวิทยาลัยพาณิชย์มาเป็นนักศึกษาในรั้วมหา’ลัยเอกชนซึ่งนิยมใส่กระโปรงรัดก้นและเสื้อรัดนม เธอก็ยังคงเอกลักษณ์ของความแปลกแยกได้อย่างชัดเจนคือใส่เสื้อนักศึกษาเข้ารูปพองามและปกปิดมิดชิด กระโปรงยาวถึงข้อเท้าทุกครั้ง
ผมเฝ้ามองดูพัฒนาการของเธอมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรส่อสักนิดว่าเธอจะเป็นคนไม่รักดี ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ตามกรรมพันธุ์ของพ่อขับสามล้อเครื่องและแม่ขายขนมครก แต่เธอก็มีความขยันเป็นเลิศ
ยามว่างในมือของเธอจะปรากฏหนังสือประเภทที่ผมอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ
“คาลิล ยิบรานว่าไว้ .. หว่านเมล็ดพืชแห่งการศึกษา จะนำพาชีวิตให้งอกงาม “ ยายหนูบอกผม
“ฉันรู้จักแต่ .. หว่านพืชก็ต้องหวังผล” ผมอวดรู้ไปบ้าง
ดังนั้นแทนที่เธอจะซื้อบัตรเติมเงินเพื่อเติมเวลามือถือเหมือนสาวทั่วไป เธอจึงกลับเอาเงินไปซื้อหนังสือ
“เติมความรู้ความฉลาด “ เธอบอก ..
“คุยกันก็ฉลาดน่า …… “ แล้วผมก็งัดเอาคำในหนังสือกำลังภายในมากล่าว “ …. เดินทางพันลี้ดีกว่าอ่านตำราพันเล่ม โทรศัพท์ยิ่งกว่าเดินทางอีกไปได้ทั่วโลก พูดกับผู้คนหลากหลายเข้าอินเตอร์เน็ตก็ได้ “
“แล้ววัน ๆ เธอโทรเรื่องอะไรมั่ง ”
ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่โทรไปจีบสาวก็คุยกะเพื่อนเรื่องเอาสาว อีกอย่างก็โทรไปแทงบอล แหะ ๆ
“อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าคืนนี้แมนยูต่อเท่าไหร่ ขนาดอยู่ห่างกันเป็นค่อนโลก ..” ผมว่า ..
บุคลิกของเธอสง่างามตามธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเข้าช่วยเสริม ไม่เหมือนสาวหลาย ๆ คนที่พากันกระแดะถือกระเป๋าหลุยส์ติงต๊องโดยที่มันไม่เข้ากับตัวหล่อนสักนิด พาลให้คิดไปว่าเป็นของปลอมหรือหากเป็นของจริงก็ชวนให้คิดถึงวิธีที่ได้มา ..
มีอยู่เพียงครั้งเดียวที่ผมเห็นเธอตื่นเต้นกับของอะไรแพง ๆ
วันหนึ่ง .. ผมลากเธอออกจากกองหนังสือ ไปเป็นคนเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนในห้างสรรพสินค้าขณะเดินเล่นกันอยู่ มีผู้หญิงท่าทางดีแต่งกายหรูคนหนึ่งเดินผ่าน อยู่ ๆ ยายหนูก็อุทานออกมาเบา ๆ
“อุ๊ย !! ดูสิ กระเป๋าใบนั้นสวยจังเลย .. ” เธอชี้ไปยังผู้หญิงคนนั้นซึ่งสะพายกระเป๋าใบเล็ก มีลิงห้อยอยู่ตุ้งติ้ง ..
“เขาเรียกกระเป๋าคีบลิง….…. “ ผมว่าไปตามที่รู้ “ …….…เธอเห็นไหมมันมีลิงห้อยตุ้งติ้งอยู่นั่นน่ะ .. “
“สวยจัง ..” เธอว่าพลางหันกลับไปมองอีกที
หลังจากวันนั้นผมก็มานั่งคิด .. ผมจะไปซื้อกระเป๋าแบบนั้นให้เธอดีไหมน้อ กลัวว่าซื้อมาแล้ว เธอไม่เอาสิ … คงเอาน่าเพราะเห็นเธอแสดงว่าชอบมันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตามปกติแล้วเธอจะเบะปากใส่ด้วยซ้ำ แต่มันคงแพงนา ถ้าขืนซื้อล่ะก็กินแกลบแน่ ..
เอ ..แต่มันก็เป็นโอกาสเดียวที่จะเอาใจเธอนะ .. ผมคิดกลับไปกลับมาหลายตลบในที่สุดก็ตัดสินใจ ….
ในวันเสาร์ถัดมา ผมก็ไปเดินเบียดสาวเหงื่อไหลไคลย้อยในสวนจตุจักรเพื่อจะหาซื้อไอ้กระเป๋าคีบลิง แต่มันหายากเสียจริง ผมเดินจนปรุทั้งสวนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ จนย่างเข้าเย็นผมถึงไปเจอเข้าใบหนึ่ง ดูเหมือนใบที่เธอชอบวันนั้นเด๊ะ เสียแต่ที่มันไม่มีลิง … เฮ้อ .. เซ็ง ..
ตอนกลับผมเดินเลาะมาตามสวนจตุจักร ว่าจะข้ามไปขึ้นรถเมล์ที่ข้างเซ็นทรัล และก็อดไม่ได้ที่จะมุดเข้าไปตากแอร์เย็น ๆ แล้วโชคก็เป็นของผมเมื่อมาเจอเข้าจริง ๆ ในนี้เอง .. เย้ !!
กระเป๋าตังค์ของผมเบาโหวงไปอย่างทันตาเห็น เพราะไอ้กระเป๋าแบบคีบลิงอย่างนั้นมันแพงเอาการสำหรับเด็ก ปวส. ที่ยังต้องขอตังค์แม่อย่างผม แต่ก็คุ้มมากเมื่อวันต่อมาผมเอาไปให้ ยายหนูอุทานออกมาอย่างแปลกใจและดีใจ ดูเธอชอบมันมากกอดไว้แน่น ปากก็ขอบใจผมไม่หยุด
กระเป๋าใบนี้เธอยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ผมซื้อมาจากจตุจักรแค่สามร้อย ส่วนไอ้ลิงกังที่ผมไปเจอในร้านตุ๊กตาใต้ถุนห้างเซ็นทรัลแล้วเอามาเย็บติดเข้าด้วยกัน เธอแกะออกแล้วเก็บไว้ในห้อง
ทำไมหว่า .. มันก็ลิงเหมือนกันแท้ ๆ ซื้อมาตั้งร้อยเก้าสิบเก้า …
ผมเฝ้าเป็นมดแดงแฝงมะม่วงอยู่จนกระทั่งเธอเรียนจบและไปเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนผมเรียนช้ากว่าเธอหนึ่งปีเลยยังติดแหง่กอยู่ในรั้วเทคโนฯ ..
ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าเขาหรือมันไม่ก้าวเข้ามา ….
วันนั้นผมเลิกจากเรียนแล้วก็แถไปรับยายหนูที่ออฟฟิศตามปกติ และต้องเซ่อเป็นไก่ตาแตกเมื่อพบว่าเธอกำลังเดินออกมากับมัน พอเห็นผมเข้าก็ลากแขนหมอนั่นมาแนะนำ
“ตึ๋งมาแล้วหรือ .. นี่พี่เจอรี่รู้จักไว้เสีย .. พี่เจอรี่คะนี่ตึ๋งเพื่อนของหนูค่ะ ..”
ผมเอื้อมมือออกไปเพื่อจะจับทำความรู้จัก มันกลับหดมือหนีทำท่ารังเกียจ .. เท่านั้นไม่เป็นไรหรอกน่ะ แต่ผมมาควันออกหูอีตรงมันไปบังอาจฉกยายหนูไปนั่งรถเก๋งคันงามของมันต่อหน้าต่อตา
“เรานัดกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะว่าจะไปดูหนัง พอดีฉันลืมบอกเธอขอโทษที ตึ๋งกลับบ้านคนเดียวนะ เอ้า ฉันฝากของกลับด้วย ..”
ขณะที่ยายหนูเอาตูดสัมผัสกับเบาะรถเก๋งนิ่ม ๆ ตากแอร์หอม ๆ เย็น ๆ ไปดูหนัง ผมกลับต้องหอบของพะรุงพะรังโหนรถเบนซ์สองประตูกลับบ้าน ..
ผมยืนทำตาเหล่กัดฟันกรอด ๆ ไปตลอดทาง จนพวกที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แตกกระจายไม่ยอมเข้ามาอยู่ใกล้
ยิ่งนานความอดกลั้นผมก็น้อยลง บ่อยครั้งที่ผมเฝ้าไปรอรับยายหนูกลับบ้าน แต่กลับต้องหอบของ พะรุงพะรังกลับ ส่วนเธอก็ขึ้นรถเก๋งไปกับเจ้าเจอรี่ตามเคย ..
“ก็ไปกินข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง เดินเล่นดูของบ้าง ..” เธอตอบมาเมื่อผมถามขึ้นในวันหนึ่ง
“โห. มันเอาของพวกนี้มาล่อ ฉันก็ให้เธอได้อีแค่พวกนี้ เพียงแต่ต้องนั่งรถเมล์ตอนไปเท่านั้นแหละ”
“บ้า !! เธอคิดอะไร ก็พี่เขาเป็นเพื่อนร่วมงานและเป็นคนสอนงานเรา เขาชวนไปเป็นเพื่อนที่โน่นที่นี่ ก็ต้องไปกับเขาบ้าง ใช่ว่าฉันจะเห็นแก่อะไรพวกนั้นที่ไหน เธอน่ะประสาทรู้ไหม ฉันไปกับพี่เขาก็แค่ไม่กี่ครั้ง นอกนั้นเราก็กลับด้วยกันตามปกติ จะไม่ให้ฉันมีเพื่อนที่ไหนเลยหรือนอกจากเธอ ..”
มันก็จริงนะ หลังจากนั้นผมก็เลยหยวน ๆ แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ต้องถึงกับตบะแตกโวยวายเสียงดังลั่น เมื่อเห็นมันโอบสะโพกเธอขึ้นรถเก๋งกับตา ..
“เดี๋ยวนี้มันกำเริบหนักแล้วนะ ถึงกับโอบสะโพกเธอ ขนาดฉันต้องรอจะข้ามถนนถึงจะได้จับมือเธอที ถ้าถนนโล่งไม่ได้จับอีกตะหาก ..”
ยายหนูหน้าบึ้ง ..” เธอคิดอะไรหือ .. พี่เค้าเป็นผู้หญิงเหมือนกับฉันนะ ”
“แต่มันเป็นทอม ..” ผมอุทธรณ์
“ทอมที่ไหน เจอรี่ตะหาก ..” เธอพูดแล้วก็หัวเราะคิก ..
“เออ !! นั่นแหละ ทอมประสาท ดันตั้งชื่อตัวเองว่าเจอรี่ ประสาท- ..”
“เธออย่ามาว่าพี่เค้าต่อหน้าฉันนะ พี่เค้าดีจะตาย ดูแลเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง นิสัยดี ความประพฤติก็ดี ไม่เหมือนเธอ ..อะไรไม่ดีทำหมด .. ”
“ฉันก็มีดีเยอะแยะ ..”
“ลองยกตัวอย่างซิ ..”
“เอ่อ …….. “ ผมเกาหัว “……….ก็มีบ้างล่ะน่า ..”
“ก็บอกมาสักข้อสิ . “
“ขี่จักรยานปล่อยแฮนได้ ..”
“บ้า !! “ เธอด่า
...
ถึงเป็นแค่ทอมผมก็หึง มันจะมาแย่งยายหนูไปจากผมได้อย่างไร .. ผมเฝ้ามาตั้งแต่แม่ของเธอจับอาบน้ำก๊อกข้างแฟลตด้วยกัน จนเดี๋ยวนี้ผมโตจนต้องไปอาบน้ำก๊อกกับหมอนวด อยู่ ๆ มันจะมาชุบมือเปิบ ..
ผมต้องรู้ให้ได้ว่ายายหนูชอบมันตรงไหน …….
... มีต่อเน้อ ..