⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-9 "ขัดขวางอนาคตท่านผู้นำ" ตอนจบ ⚡️💦⚡️

กระทู้คำถาม


คนขับรถไฟหันมามองทางกัปตันอย่างงงงวย เพราะข้างหน้าเขามองเห็นแต่อากาศที่ว่างเปล่าไม่เห็นมีมนุษย์หน้าไหนสักคนยืนอยู่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงปลายของวัตถุอย่างหนึ่งซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นอาวุธปืน กำลังจ่อเข้าที่หัวตัวเองอยู่

"นายมองไม่เห็นเราหรอก...พวกเราเป็น Invisible เว้ย!" กัปตันพูดต่อไปในขณะที่แซมจับคนที่ถูกยิงเข้ากลางหน้าผากโยนออกไปจากรถไฟ

"พวกนาย ไม่ใช่คนเยอรมันนี่ พวกนายเป็นใคร ?" นาซีผู้ขับรถไฟถาม

"ไม่ต้องถาม หยุดรถไฟเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น ฉันจะเป่าหัวนายทะลุเหมือนเพื่อนนายคนนั้น!"

เขาบังคับรถไฟให้หยุดตามคำสั่ง

"เอาละ คราวนี้ นายเตรียมตัวไปอยู่ที่อื่นนะ" กัปตันกล่าวพลางชักปากกาเทเลพอร์ทออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ตั้งระยะทางไกลสุดคือ 2 พันไมล์จากที่นั้นแล้วยิงแสงเทเลพอร์ตใส่เขา

"แว่บบ..."

ร่างของเขาหายไปจากตำแหน่งคนขับนั้นทันที!

"เอาละ แซม ได้เวลาโชว์ตัวแล้ว ปิดระบบพรางตัว"

กัปตันบอกลูกน้องหนุ่ม แล้วล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ กดปุ่มปิดเครื่องพรางตัว แซมทำตาม ครู่เดียวร่างของทั้งสองก็ปรากฏ

"เราต้องประกาศให้ชาวยิวในขบวนรถไฟนี้ได้รู้ ว่าพวกเขาจะไม่ได้ไปค่ายเอาชวิทซ์ แต่จะไปอังกฤษแทน!" กัปตันกล่าวแล้วหันซ้ายหันขวา มองหาสิ่งของอย่างหนึ่ง

"หาอะไรหรือครับ ? กัปตัน"

"โทรโข่งน่ะ แซม ช่วยผมหาทีซิ น่าจะมีสักอันนะ"

แซมช่วยเจ้านายหาอุปกรณ์ที่จะใช้ในการป่าวร้อง และตอนนี้ เอก และสองสาว ก็พากันมาหาเขาทั้งสองที่ประตูด้านข้างแล้ว

"มีอะไรให้ช่วยไหมครับ กัปตัน ?" เอกร้องถาม

"ไม่เป็นไรหรอกเอก ผมเจอของที่ต้องการแล้ว" เขากล่าวและชูโทรโข่งโชว์ให้เห็น จากนั้นจึงโดดลงมาจากรถไฟ เดินไปที่โบกี้ด้านหลัง เปิดสวิทช์โทรโข่งแล้วเร่ิ่มประกาศให้เหล่าชาวยิวในขบวนรถไฟได้ฟัง

"สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทุกท่าน โปรดฟัง ขณะนี้ รถไฟขบวนนี้ได้ถูกยึดไว้แล้ว โดยฝ่ายสัมพันธมิตร รถไฟขบวนนี้ จะไม่ได้ไปที่ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ตามที่พวกนาซีเยอรมันตั้งใจไว้ หากไปที่นั่น พวกท่านทุกคน จะต้องตาย!"

มีเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วในทุกโบกี้

และมีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนถามเป็นภาษาอังกฤษ

"แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกัน ?"

กัปตันหันไปตามเสียงนั้นแล้วตอบผ่านโทรโข่ง

"เราจะส่งรถไฟขบวนนี้ ไปอังกฤษ มันอาจไปโผล่กลางกรุงลอนดอน!"

"พระเจ้า! มันจะเป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้เราอยู่ในเมืองคราคอฟอยู่นะ รถไฟต้องถูกพวกนาซีขัดขวางแน่" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องคัดค้าน

"เอาเถอะครับ อีกไม่นานพวกคุณจะได้เห็นด้วยตาของตนเอง เตรียมตัวนะครับ พวกเรา จะส่งพวกท่านไปอังกฤษ เดี๋ยวนี้แหละ! และรับรองว่าจะไม่มีทหารนาซีเยอรมันมาขัดขวางได้ แม้แต่คนเดียว!!"

เสียงฮือฮาดังกระหึ่มทั้งขบวนรถ

กัปตันปลดกระเป๋ายังชีพซึ่งได้ดัดแปลงให้เป็นเครื่องยิงแสงเทเลพอร์ทแล้วลงจากหลัง เปิดสวิทช์ ตั้งค่าต่างๆเรียบร้อยแล้วจึงหันด้านที่เป็นลำกล้องเหมือนหน้ากล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ไปทางขบวนรถไฟ แล้วประกาศอีกครั้ง

"ทุกท่านเตรียมตัว เราจะส่งพวกท่านไปอังกฤษ ณ บัดนี้!"

กล่าวจบ กัปตันกดปุ่มฉายรังสีสีขาวเพื่อ "มาร์ค" สาดไปจับที่โบกี้แรก แล้ววิ่งไปจนถึงโบกี้สุดท้าย รถไฟทั้งขบวนเหมือนถูกป้ายด้วยสีขาวเป็นเส้นยาวพาดกลางทุกโบกี้ จากนั้นกัปตันจึงกดปุ่ม "เทเลพอร์ท" เพื่อส่งผ่าน พลางร้องตะโกน

"ขอให้ทุกท่านโชคดี และจำไว้ เยอรมันจะแพ้สงครามแน่นอน!"

"ปื้ดดดดดดด"

บัดนั้น รถไฟทั้งขบวนก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาคนทั้ง 5...

และต่อหน้าชาวยิวทุกคนในขบวนรถไฟซึ่งมีสัญลักษณ์นาซีอยู่ที่หัวขบวนนั้น ทุกคนมองเห็นรถไฟพุ่งผ่านแสงสว่างรอบตัว แล้วทะลุออกมายังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งพอทุกคนมองเห็นแล้วก็ต้องตกตะลึง...

หอนาฬิกา บิ๊กเบน อันลือชื่อ อยู่ห่างจากรถไฟ ไม่ถึง 500 เมตร !

และผู้คนชาวลอนดอนที่สัญจรไปมาก็พากันตกตะลึงไปทั่วหน้าไม่แพ้ชาวยิวในขบวนรถไฟเหมือนกัน เมื่อจู่ๆ ก็มีรถไฟของนาซีเยอรมัน มาโผล่กลางเมืองหลวง!

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


กลับมาที่ข้างทางรถไฟ เมืองคราคอฟ โปแลนด์...

กัปตันวันชนะ กับลูกน้องทั้ง 4 ยืนอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้า

"เราจะเอาไงกันต่อครับ กัปตัน ?" แซมเอ่ยถาม

"มันจะต้องมีรถไฟขบวนอื่น ซึ่งจะขนส่งชาวยิวมาอีก เราต้องจัดการเหมือนที่เพิ่งทำกับรถไฟขบวนที่ผ่านมา"

"แปลว่า เราต้องดักรอพวกมันอีก ?"

"ใช่แล้ว แซม เอาให้พวกนาซีงงกันไปหมดเลย"

"กัปตัน กะส่งย้ายรถไฟซักกี่ขบวนคะ ต่อจากนี้ ?" สาวจอยถาม

"อืม..." เขาทำท่าครวญคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เอาอีกสัก 5 ขบวนก็แล้วกัน!"

"ผมว่า ฮิตเลอร์คงเต้นผาง และประหลาดใจเหลือกำลัง ว่ารถไฟของพวกตนไปอยู่ที่อังกฤษได้ยังไง" เอกกล่าวยิ้มๆ

"อืม...ก็คงจะยังงั้นแหละ เอก" กัปตันตอบด้วยยิ้มเช่นกัน

"เอาละ ตอนนี้ เราไปหาโรงแรมที่พักใหม่กันเถอะ  ภารกิจครั้งต่อไป ค่อยว่ากันใหม่"

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


1 เดือนผ่านไปหลังจากนั้น...

กัปตันวันชนะและลูกน้อง จัดการส่งขบวนรถไฟของพวกนาซีซึ่งตั้งใจขนส่งชาวยิวไปค่ายกักกันเอาสวิทช์ไปอังกฤษได้อีก 5 ขบวนตามที่ตั้งใจไว้

ทางการอังกฤษ รับชาวยิวทั้งหลายไว้ในฐานะผู้ลี้ภัยสงคราม และยึดขบวนรถไฟทั้งหมดไว้ แกะตราสวัสดิกะที่หัวรถไฟออกก่อนจะดัดแปลงให้เป็นรถไฟของฝ่ายสัมพันธมิตร พวกเขารับรู้แล้วว่ามีผู้ช่วยเหลือผู้ลึกลับ และเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า เยอรมันจะแพ้สงคราม

ข่าวเรื่องรถไฟของนาซี ถูกอังกฤษยึดไว้ โด่งดังไปทั่วยุโรป และทั่วโลก ยังความยินดีและประหลาดใจให้เกิดแก่ชาวยุโรปโดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายยิว แต่ยังความฉงนฉงายและคั่งแค้นให้เกิดแก่ฮิตเลอร์อย่างล้นเหลือ

ค่ำวันหนึ่ง กัปตันวันชนะกับลูกน้อง ปรึกษาหารือกันในห้องพัก ณ โรงแรมแห่งใหม่

"กัปตันคะ...เคยทราบข่าวนี้ไหม ?" สาวจอยยื่นคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้เจ้านายดู

สิ่งที่เธอเปิดให้เขาดูนั้น เป็นข่าวหลังจากที่เยอรมันประกาศยอมแพ้ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด และข่าวฮิตเลอร์ ฆ่าตัวตาย และทำลายศพ

"ก็ข่าวเดิมที่ทุกคนรู้กันดีนี่ครับ ฮิตเลอร์สั่งให้บริวารทำลายศพ ตัวเองเสีย หลังจากยิงตัวตายแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครได้พบเห็นศพของเขา" กัปตันหันมาพูดกับลูกน้องสาวอย่างงงๆ "มันมีอะไรอีกหรือครับ ?"

"มีสิคะ...กัปตัน ลองอ่านต่อข้างท้ายค่ะ"

เขาจึงเลื่อนอ่านลงไปเรื่อยๆ และพอถึงเนื้อความช่วงท้ายก็ต้องอึ้ง

"ฮิตเลอร์ไม่ตาย!"

"ค่ะ กัปตัน"

ข่าวช่วงท้ายนั้นคือ ฮิตเลอร์ ทำการลวงผู้คนว่าตนฆ่าตัวตาย และเผาทำลายศพตัวเอง แต่ที่แท้ เขาไม่ตาย และหลบหนีออกจากกรุงเบอร์ลินไปแล้ว ก่อนหน้าที่กองกำลังฝายสัมพันธมิตรจะบุกเข้าถึงกลางกรุงเบอร์ลิน! เขาและบริวารจำนวนหนึ่งซึ่งมีไม่กี่คน เดินทางไปอเมริกาใต้ โดยไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา ก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศบราซิล ในเมืองชื่อว่า นอสซ่า เซ็นโฮร่า เดอ ลิบราเมนโต้ เขาเปลี่ยนชื่อเป็น อดอล์ฟ ไลป์ซิก ซึ่งเป็นชื่อที่ทุกคนในเมืองนั้นรู้จักกันดี และแต่งงานกับหญิงชาวบราซิลเลี่ยนคนหนึ่งชื่อว่า คูตินก้า และอาศัยอยู่ด้วยกัน เขามีอายุยืนยาวถึง 95 ปี เลยทีเดียว ก่อนจะเสียชีวิตในปี 1984!

"ฮิตเลอร์ลอยนวล!" กัปตันอุทาน

"แถมอายุยืนอีกต่างหาก อยู่จนถึง 95 ปี เหลือเชื่อจริงๆ" แซมเอ่ยหลังจากเข้ามาอ่านกับเจ้านาย

"ตามจัดการก็แสนยากเข็ญ รอดพ้นไปทุกครั้ง อย่างกะมีเทพผู้พิทักษ์คอยปกป้อง" เอกกล่าวขึ้นมาบ้าง

"เทพบ้าอะไรเล่า มารหรือซาตานมากกว่าอะ ที่ช่วยให้เขารอดพ้นอันตรายไปทุกครั้ง" สาวเล็กกล่าวแย้ง

"แต่คราวนี้ เราต้องไม่ยอมให้เขาลอยนวลไปสบายๆ อย่างนั้น!" กัปตันขบกรามกล่าว "มันไม่ยุติธรรมเลย เขาสมควรได้รับโทษทัณฑ์ ควรมีชะตากรรมในตอนท้าย เหมือนอย่างที่ มุสโสลินี ของอิตาลี เพื่อนฝ่ายอักษะของเขาได้รับ"

"นึกว่าจะกล้าหาญยอมฆ่าตัวตายจริงๆ ที่แท้ก็ขี้ขลาดตาขาว ดั้นด้นหนีสุดชีวิต!" แซมอดด่าออกมาไม่ได้

"ชาวโลกเรานี่ โดนหลอกหลายเรื่องจริงๆ..." กัปตันรำพึง

"ใช่ครับ เยอะ หลายเรื่องหลายราว" เอกพยักหน้ากล่าวหนุน

"เอาละ...ถ้างั้น" กัปตันตัดสินใจ "ในเมื่อ พวกเรา ไม่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่โดยกำจัดเขาได้ สงครามโลกมันจำต้องเกิด ก็ปล่อยมันเกิดไป แต่เราจะไม่ปล่อยให้เขาลอยนวล ไปเสพสุขในบั้นปลายของชีวิต"

เขายกข้อมือซึ่งใส่นาฬิกาจั๊มเปอร์ขึ้นมา และกดตั้งเวลาปลายทางที่หมาย

"พวกเรา ตั้งเวลาจั๊มเปอร์ ไปที่ 16 เมษายน 1945"

"ครึ่งเดือน ก่อนมีข่าวว่าฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายในบังเกอร์" แซมกล่าว

"ใช่แล้วแซม" กัปตันพยักหน้า "เราไปในเวลาตอนนั้น แล้วสืบหาให้ได้ว่าเขาหนีออกจากเยอรมนีทางไหน หรือไม่งั้นก็ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปดักรอเขาล่วงหน้า ที่อาร์เจนตินา หรือไม่ก็บราซิล"

"ถ้าเราเจอตัวเขา เราจะทำยังไงกับเขาคะ กัปตัน ?" สาวจอยถาม

"จับตัวเขา ส่งให้ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรน่ะสิครับ อเมริกาน่าจะสะดวกที่สุด เพราะอยู่ใกล้ๆกัน" กัปตันตอบ แล้วตั้งค่าต่างๆบนนาฬิกาจั๊มเปอร์จนเสร็จ

"ผมตั้งนาฬิกาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกคุณตั้งกันให้เสร็จนะ เราจะไปกันเลย"

"ครับ/ค่ะ กัปตัน"

ทุกคนตั้งนาฬิกาตามที่เจ้านายบอก

"เรียบร้อยกันทุกคนนะครับ ?"

ทุกคนพยักหน้า

"ผมว่า เอาชัวร์ๆว่าจะได้เจอตัวเขาแน่ๆ เราไปที่เมืองปลายทางที่เขาไปใช้ชีวิตอยู่เลยดีไหมครับ เมืองในบราซิลนั้นน่ะครับ ชื่อเมืองอะไรนะคุณจอย ?" เอกกล่าวเสนอแนะความเห็นแล้วหันมาถามสาวจอย

"นอสซ่า เซ็นโฮร่า เดอ ลิบราเมนโต้"

"ชื่อจำยากจัง" เขาทำปากเบะ

"โอเค ก็ได้ครับ ดีเหมือนกัน ไปดักรอในเมืองนั้นเลย คำนวณระยะทางใหม่ จากที่นี่ โปแลนด์ ไปบราซิล" กัปตันยกนาฬิกาขึ้นมาตั้งระยะทางใหม่

"6 พัน 2 ร้อย กับอีก 9 ไมล์"

"เกือบหมื่นกิโลค่ะ ขาดอีกแค่ 7 กิโลเอง" สาวเล็กช่วยคำนวณอีกคน

"โอเคครับ งั้นตั้งระยะทางตามนั้นเลย 6,209 ไมล์ เวลาคือ 16 เมษายน 1945 เหมือนเดิม"

ทุกคนตั้งระยะทางตามนั้น

"กัปตันครับ" แซมร้องเรียกเจ้านาย

"ว่าไงครับแซม ?"

"ตกลง เราไม่ต้องติดต่อกับคุณ ออสก้าร์ ชินดเลอร์ แล้วสินะครับ ?"

"เออ...จริงสินะ" กัปตันเอ่ยขึ้นมา

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งถึงเขา บอกว่าพวกเราคือส่วนหนึ่งของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้ช่วยจัดการย้ายขบวนรถไฟนาซีซึ่งต้อนชาวยิวเอาไว้ไปอังกฤษ แทนที่จะไปค่ายเอาสวิทช์ แล้วบอกให้เขารู้ล่วงหน้าว่า จะมีขบวนรถไฟ 1 ขบวนซึ่งขนชาวยิวที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของเขาไปที่ค่ายเอาสวิทช์ แทนที่จะไปบ้านเกิดของเขา ซึ่งมันเกิดจากการส่งเอกสารผิดพลาด เขาจะได้ป้องกันเหตุการณ์นั้นไม่ให้เกิด และส่งชาวยิวเหล่านั้นไปบ้านเกิดของเขาได้ครบหมดทุกคน"

"แล้วเขาจะเชื่อเราหรือคะ กัปตัน ?" สาวจอยถาม

"เขาจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เขาก็แล้วกัน คุณจอย ถ้าเขาเชื่อและทำตามที่ผมบอก เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาและเสียทรัพย์สมบัติเพิ่ม เพื่อขอแลกเอาชาวยิวเหล่านั้นกลับขึ้นขบวนรถไฟจากเอาสวิทช์ไปบ้านเกิดของเขา ซึ่งก็ไม่ใช่จะได้กลับคืนหมดทุกคน คนส่วนหนึ่งจะหายไป ถูกส่งไปตาย! ส่วนใหญ่ในห้องรมแก๊สพิษ และทุกคนเป็นผู้หญิง! เขาต้องคำนึงถึงข้อนี้!"

"อ้อ...เข้าใจแล้วค่ะ"

"โอเค...ผมจะเขียนจดหมายเดี๋ยวนี้ และส่งที่ไปรษณีย์วันพรุ่งนี้เช้า จากนั้น พวกเราก็ไปกันเลย แซม" เขาหันมาหาลูกน้องหนุ่มลูกครึ่ง

"ครับผม"

"พรุ่งนี้เช้า ไปส่งจดหมายให้ผมนะ"

"ได้ครับ กัปตัน"

"แต๊งกิ้วล่วงหน้า...เอาละ ตอนนี้ ทุกคนพักผ่อนนอนหลับกันได้แล้ว ผมจะนั่งเขียนจดหมายก่อน"

ทุกคนกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเจ้านาย ก่อนแยกย้ายกันไปนอน

กัปตันวันชนะ เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสุภาพบุรุษผู้อารีย์ชาวเยอรมัน เขาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการคิดเรียบเรียงถ้อยคำและลงมือเขียน เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพับแผ่นกระดาษใส่ซองผนึกไว้

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่