⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-4 "ขัดขวางอนาคตท่านผู้นำ ตอนที่ 2"⚡️💦⚡️

กระทู้สนทนา


ก่อนวันเปิดตัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ณ ที่ทำการพรรคกรรมกรเยอรมัน...

แซม หนุ่มลูกครึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงฝรั่ง เตรียมตัวปฏิบัติภารกิจสำคัญ คือการเข้าร่วมการประชุมพรรคซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคมข้างหน้า เขาขอให้จอย สาวน้อยผมบ๊อบซึ่งเดิมกัดสีผมเป็นสีแสดแสบตา แต่ตอนนี้คืนสภาพสีธรรมชาติแล้วเพิ่อมิให้โดดเด่นผิดสังเกต ช่วยติวภาษาเยอรมันให้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งสาวจอยก็ช่วยติวให้เขาด้วยความเต็มใจ โดยทั้งสองคนจะพูดคุยกันด้วยภาษาเยอรมันตลอดในช่วงเวลานี้ และการติวของเธอช่วยให้แซมพัฒนาภาษามากขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก

ถึงเช้าวันที่ 16 กัปตันวันชนะมอบ "ปากกาวิเศษ" คือเครื่องเทเลพอเทเตอร์คืนให้แซม หลังจากได้ดัดแปลงโครงสร้างภายนอกให้ดูเหมือนปากกาหมึกซึมเรียบร้อยแล้ว

"เมื่อคุณเห็นฮิตเลอร์ปรากฏตัวแล้ว อย่ายิงแสงเทเลพอร์ตพลาดเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดไปโดนคนอื่นหรือสิ่งอื่น คนนั้นหรือสิ่งนั้นจะถูกส่งไปที่ไหนก็ไม่รู้ และความวุ่นวายโกลาหลก็จะเกิดขึ้น" กัปตันสั่งกำชับ "และอีกอย่าง มันจะยิงได้ครั้งเดียว แล้วต้องรอชาร์จพลังงานอีกตั้งสองชั่วโมงจึงจะยิงได้อีกครั้ง"

"รับทราบครับผม" แซมพยักหน้ารับรองเป็นมั่นเหมาะ "ผมจะไม่ให้พลาดเด็ดขาดครับ"

"ตั้งระยะทางไปให้ไกลสุดเลยนะ"

"ครับผม สูงสุดได้ 2 พันไมล์ครับ!"

"ดี! แม้ว่าไม่สามารถฆ่าเขาได้ แต่อย่างน้อย การส่งไปไกลๆ ก็จะช่วยชะลอความก้าวหน้าของเขาได้ แล้วเราก็รอฟังข่าวต่อไปว่า เขาจะไปตก ณ ที่ใด และจะกลับมาได้เมื่อไร"

"ครับผม กัปตัน"

"ตอนนี้ ภาษาเยอรมันของคุณรุดหน้าไปถึงไหนแล้ว ?"

"ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยครับผม ต้องขอบคุณคุณจอยที่ช่วยเป็นติวเตอร์ให้ผมครับ" แซมกล่าวพลางหันไปมองคนที่พูดถึงอย่างชื่นชมปนเปด้วยความรู้สึกเริ่มหลงรัก

"เข้าท่านี่หว่า มีติวเตอร์พิเศษนี่เอง...แบบนี้ ต้องให้เค้าติวให้บ่อยๆนะ" กัปตันพูดแล้วขยิบตาให้

แซมหัวเราะ แล้วเอามือกุมหัวอย่างเขินๆ

"เริ่ม 'หยอด' อะไรให้เค้าบ้างหรือยังล่ะ ?" กัปตันกระซิบถามยิ้มๆ

"โฮย....ยังหรอกครับกัปตัน ผมเพิ่งจะเริ่มรู้สึกชอบตอนนี้เอง"

"ดี! งั้นถ้าผมมีโอกาส จะช่วยยุให้เธอชอบนาย!"

"โธ๋...กัปตัน ผมว่า คุณเธอน่าจะหลงรักกัปตันมากกว่ากระมังครับผม ?"

"เอาน่า...ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นนี่หว่า สำหรับทั้งเธอ และเล็กอีกคน ก็เหมือนน้องสาวผมเท่านั้น"

"ครับผม" แซมตอบรับเจ้านาย และแววตาฉายประกายแห่งความหวัง

"ไปคุยภาษาเยอรมันกับเธอต่อเถอะไป! แล้วเตรียมตัวให้ดี ก่อนจะไปที่ทำการพรรคกรรมกร ไปตอนเย็นใช่ไหม ?"

"ใช่ครับผม เวลาสองทุ่มครับ"

"อืม...โอเค ไปหานางเอกของนายได้แล้ว! พยายามเอาใจเค้าก็แล้วกัน"

"ครับผม" เขากล่าวปนหัวเราะ "งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"

"โอเค....ดิสมิส !"

แซมยกมือวันทยาหัตถ์เจ้านาย แล้วกลับหลังหัน เดินไปหาสาวจอยซึ่งกำลังเปิดคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่บนเก้าอี้โซฟายาว...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ภายในห้องประชุมสมาชิกพรรคกรรมกรเยอรมัน ณ เวลาใกล้จะสองทุ่ม...

แซม ในชุดเสื้อโค้ตยาวสีน้ำตาลเข้ม เข้ามานั่งในที่ประชุมพร้อมกับเหล่าสมาชิกพรรคกรรมกรหลายสิบคน ซึ่งต่อไปภายหน้าจะกลายเป็นสมาชิกพรรคนาซีอันเกรียงไกร รอเวลาสำคัญ...เวลาที่บุรุษว่าที่อาชญากรสงครามจะปรากฏตัว

สองทุ่มตรง อันทอน เดร็กซ์เลอร์ หัวหน้าพรรค ออกไปยืนข้างหน้า กล่าวทักทายสมาชิกพรรค และเรื่องในวาระการประชุมสองสามเรื่อง เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง แล้วเวลาสำคัญซึ่งแซมรอคอยก็มาถึง!

เดร็กซ์เลอร์ ผู้เป็นหัวหน้าพรรค กล่าวแนะนำบุคคลคนหนึ่งซึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่ที่โต๊ะทางซ้ายมือของเขา

"สุภาพบุรุษทุกท่าน บัดนี้ ผมขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับนักพูดรับเชิญ หลายท่านอาจจำเขาได้จากการประชุมครั้งล่าสุด สมาชิกใหม่ของเราซึ่งเพิ่ีงเข้ามาในพรรคเมื่อไม่นานมานี้ นี่คือ..." เขาผายมือไปยังชายคนที่ตนกำลังพูดถึง "สมาชิกพรรคกรรมกรเยอรมันคนที่ 55 อดอล์ฟ...อดอล์ฟ ฮิตเลอร์!"

กล่าวจบ เดร็กซ์เลอร์ก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ค่อยๆลุกขึ้นเดินมาเผชิญหน้ากับบรรดาสมาชิกพรรคอย่างช้าๆ ด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเปิดปากกล่าวสุนทรพจน์ด้วยเสียงซึ่งไม่ดังมากนัก

"ตอนเป็นเด็ก...ผม เคยได้ยิน...เรื่อง เอ้อ..."

"พูดดังๆหน่อย!" เดร็กซเลอร์ตะโกนสั่ง

ฮิตเลอร์ตกประหม่าไปชั่วครู่ แล้วค่อยๆรวบรวมความกล้า พูดเสียงดังกังวานกว่าเดิมชัดถ้อยชัดคำ

"ผมเคยได้ยินเรื่อง จอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์!"

บางคนเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองเขา แต่อีกหลายคนยังไม่ให้ความสนใจมากนัก นั่งหลับบ้าง นั่งจิบเบียร์บ้าง ซุบซิบคุยกันบ้าง

"ผู้คนที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะได้พบจอกนั้น"

ดูเหมือนการอารัมภบทของเขา ไม่ค่อยดึงดูดใจคนฟังเท่าที่ควร เขาจึงเริ่มกล่าวถึงประเทศเยอรมัน

"อันที่จริง ในประเทศนี้ ก็มีเรื่องเล่าคล้ายกันนี้..."

สมาชิกหลายคนเริ่มตั้งใจฟัง ทันทีที่เขาเอ่ยคำว่า "ประเทศนี้"

"เรากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก กำลังทหารของพวกเรา อ่อนปวกเปียก และเศรษฐกิจในชาติของเราก็ล่มสลาย" ฮิตเลอร์กล่าวต่อไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงเบาบ้างหนักบ้าง พลางมองผู้ฟังทั่วทั้งห้องประชุม "แต่ หาใช่ความยากจนข้นแค้น หรือความอ่อนแอเท่านั้นไม่ ที่เป็นปัญหาสำหรับเรา...แต่มันคือความเพิกเฉยต่างหาก..."

สายตาของเขามองกวาดไปทั่ว และพบว่าสมาชิกหลายคนไม่ตั้งใจฟัง เขาจึงตะโกนเต็มเสียงลั่นห้องปลุกทุกคนให้หตื่นตัวและมองมาที่ตน

"ฟังกันอยู่หรือเปล่าวะ !!!"

สมาชิกแทบทั้งห้องมีปฏิกริยาตอบสนอง พากันจ้องมองเขาและรอฟังคำพูดต่อไปทันทีหลังจากนั้น

"นี่คือปัญหา ใช่ไหม ? ไม่มีใครใส่ใจเลย! ไม่น่าแปลกใจเลย ที่พวกเรากำลังจะสิ้นชาติ!!"

น้ำเสียงของเขาเข้มข้นมีพลังดึงดูดใจมากขึ้น และเขาเริ่มออกท่าออกทางทีละน้อยๆ ทั้งน้ำเสียงและลีลาท่าทางเหมือนมีมนต์สะกดผู้ฟังให้สะท้านสะเทือนใจ และคั่งแค้นใจ!

และหลายคนรู้สึกพลุ่งพล่าน บ้างก็น้ำตาไหล เมื่อเขาพูดในช่วงท้ายก่อนจะจบ

"ทำไมเยอรมันต้องยอมแพ้สงคราม ? ทำไมยอมเสียศักดิ์ศรี ในเมื่อชาติของเราสูงส่งเหนือกว่าชาติใดๆ! นี่เป็นเพราะกองทัพของเราเองอ่อนแอ ไร้ความสามารถ! โง่เง่า! แล้วดูสิว่าผลลัพธ์คืออะไร ? ความพินาศของเศรษฐกิจ! พวกเขาคือผู้ทรยศต่อชาติเรา! มิหนำซ้ำ ยังปล่อยให้คนต่างชาติผู้น่ารังเกียจ ชาวยิว! เข้ามาแย่งทำมาหากิน แย่งงานพวกเรา ขูดรีดขูดเนื้อพวกเรา! ประเทศนี้จำเป็นต้องมีการแก้ไขและต้องเปลี่ยนแปลง! โดยพวกเรา! และสักวันหนึ่งข้างหน้า ในไม่ช้า พวกเราจะมีเสียงข้างมากในสภา! และจะจัดการเปลี่ยนแปลงให้เยอรมันเป็นมหาอำนาจ พร้อมทั้งกำจัดพวกคนยิวซึ่งน่าขยะแขยง และชัยชนะ จะต้องเป็นของเรา !!!"

เขาจบประโยคสุดท้ายด้วยการยกแขนขวาตั้งฉาก ชูสองนิ้วประกบกัน และประโยคสุดท้าย "และชัยชนะ จะต้องเป็นของเรา" นั้น เขาตะโกนก้องอย่างดุดัน!

และเขาได้รับเสียงปรบมือและการโห่ร้องกึกก้องอื้ออึงทั่วห้องประชุมจากบรรดาสมาชิกซึ่งพากันตื้นตันในหัวอกอย่างเอ่อล้น! หลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ลุกขึ้นยืนปรบมือด้วยน้ำตานองหน้า!

ฮิตเลอร์แจ้งเกิดอย่างสวยสดงดงามด้วยการแสดงสุนทรพจน์ครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือนทุกคำพูดในช่วงท้ายๆ มีมนต์ขลังสะกดคนฟังทุกคนให้เคลิบเคลิ้มและมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามเขาไปหมด...

ไม่เว้น แม้แต่ตัวของแซมเอง!

เขาเผลอซาบซึ้งใจในถ้อยคำของว่าที่ท่านผู้นำ จนลืมไปเสียสนิท ว่าตนเองมาที่นี่ เพื่อทำอะไร !!

และกว่าจะรู้ตัว ได้สติดั้งเดิมกลับคืนมา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็จากไปเสียแล้ว!

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


แซมกลับมาถึงบ้านเช่าอย่างอ่อนระโหยโรยแรงในเวลาเกือบห้าทุ่ม ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของกัปตันและเพื่อนๆ

"เป็นยังไงบ้าง แซม ?" กัปตันวันชนะเอ่ยถามเป็นคนแรก "กลับมาดึกเชียว แล้วทำไมทำท่าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างนั้น ?"

หนุ่มลูกครึ่งส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วเดินไปหยิบวิสกี้ที่ตู้เทใส่แก้วดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โซฟา แล้วถอนหายใจ

"แย่จังเลยครับ กัปตัน...ผมต้องขอโทษด้วยครับ ที่ปฏิบัติการล้มเหลว!"

"อ้าว! ทำไมเป็นยังงั้น ?" กัปตันถามอย่างงงๆ

"เป็นเพราะผม...เผลอตัว ฟังฮิตเลอร์กล่าวสุนทรพจน์ แล้วเคลิ้มไปกับคำพูดกินใจของเขาครับ จนลืมไปหมดเลยว่าจะต้องทำอะไร"

"เฮ้ย!" กัปตันอุทาน และคนอื่นๆก็พากันฮือฮากันโดยทั่วหน้า

"จริงๆนะครับ กัปตัน" แซมกล่าวยืนยัน "คำพูดของเขาเหมือนมีอำนาจสะกดคนฟัง ผมไม่เคยเจอนักพูดคนไหนเป็นแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทุกคนในห้องประชุมคล้อยตามเขาหมด ตอนนี้ ผมไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่า เขากลายเป็นผู้นำได้ยังไง"

"เวร!" กัปตันสบถออกมาดังๆ และส่ายหน้า

"ขอโทษด้วยครับผม ที่ทำให้กัปตันผิดหวัง" แซมกล่าวขอโทษเสียงอ่อยๆ

"ไม่ๆๆ เปล่าหรอก" ผู้เป็นเจ้านายโบกไม้โบกมือว่อน "ผมไม่ได้นึกตำหนิหรอกนะแซม อย่าเข้าใจผิด...ที่ผมสบถก็เพราะผมรู้สึกเซ็งเท่านั้นเอง และไม่ใช่เซ็งเพราะแซมทำพลาด แต่เซ็งเพราะรู้สึกว่ามันยากจริงๆที่จะจัดการกับอาชญากรสงครามคนนี้!" กล่าวพลางตบบ่าลูกน้องเป็นการปลอบใจ

"กัปตันไม่ได้ตำหนิคุณนะคะ แซม ไม่ต้องคิดมากนะคะ" สาวจอยกล่าวปลอบใจ และนั่นทำให้หัวใจของหนุ่มลูกครึ่งแช่มชื่นขึ้น

"ขอบคุณครับ คุณจอย" เขากล่าวขอบคุณอย่างเศร้าๆ "แต่ผมก็ยังรู้สึกเซ็งตัวเองอยู่ดี"

"ไม่ต้องเซ็งหรอกแซม ผมว่า ไม่ว่าใครๆ ถ้าได้ตั้งใจฟังฮิตเลอร์พูด ก็คงโดนอำนาจสะกดครอบงำเหมือนกันหมดแหละ" กัปตันช่วยปลอบใจอีกครั้ง

"แล้วจะมีการประชุมครั้งต่อไปอีกเมื่อไรคะ แซม ?"  จอบถามต่อ

"ช่วงนี้คงหยุดไปนาน เพราะต้องเตรียมการวางแผนในการสมัครรับเลือกตั้งกัน ถ้าจะมีการประชุมกันก็จะมีเฉพาะในระดับแกนนำ ซึ่งฮิตเลอร์ก็คงได้ร่วมด้วยแน่นอน การประชุมใหญ่จะมีอีกครั้ง ในเดือนมีนาคม ปีหน้า 1920 ครับ"

"โอ้โห........" สาวเล็กอ้าปากหวอ "อีกตั้งเกือบปีแน่ะ!"

"เราจะเอายังไงกันต่อดีครับ กัปตัน ?" เอกเอ่ยถาม "เราจะจั๊มพ์ข้ามช่วงนี้ไปไหม ? หรือจะอยู่กันต่อที่นี่เพื่อหาโอกาสจัดการกับฮิตเลอร์ต่อไป ?"

"คงต้องอดทนรอ...อยู่ที่นี่กันต่อไปนะเอก" กัปตันหันมาตอบ "ตอนนี้ นาฬิกาจั๊มเปอร์ของพวกเราสถานะพร้อมเต็มร้อยเปอรเซ็นต์ ซึ่งถ้าเราจั๊มพ์ มันอาจจะพาเราหลุดไปไกล คงไม่ได้กลับมาเยอรมันในช่วงนี้แน่ๆ สังเกตจากการจั๊มพ์ครั้งแรกจากอเมริกาหลังการช่วยประธานาธิบดีลินคอล์นสิ"

"จริงด้วยค่ะ" จอยเห็นด้วย "เราจะไปสู่ยุคไหนอีกก็ไม่รู้ และจะหมดโอกาสจัดการกำจัดฮิตเลอร์เพื่อป้องกันไม่ให้มีสงครามโลกครั้งที่สองทันที"

"อย่างนั้น คงต้องช่วยกันทำการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัวให้คุณป้ามาเรียกันอีกนานละครับ!" เอกกล่าวยิ้มๆ

"ดีค่ะ!" จอยสนับสนุน "เพราะจอยรักคุณป้าเสียแล้วหละ อยากอยู่กับแกไปนานๆ"

"ไม่รู้ว่า ถ้าสมมติว่าเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง และสุดท้ายเยอรมันแพ้สงคราม ประเทศถูกแบ่งแยกเป็นตะวันออกกับตะวันตก บ้านคุณป้ามาเรียจะอยู่ฝั่งไหนนะเนี่ย ? และไม่รู้ว่าถึงตอนนั้น แกจะเป็นยังไงบ้าง..." เล็กตั้งข้อสงสัยในอนาคต

"ง่า...จอยเป็นห่วงคุณป้าอ่า...สงสารแกแย่เลย"

"ถึงตอนนั้น ถ้าคุณป้าได้อยู่เยอรมันตะวันออกละก็ ต้องลำบากแน่ๆ แต่ถ้าได้อยู่ฝั่งตะวันตกก็คงสบายหน่อย" แซมคาดเดาอนาคตทั้งสองทาง

"พอจะคิดคำนวณได้อยู่นะ ว่าบ้านในบริเวณนี้จะตกฝั่งไหน เปรียบเทียบพิกัดตอนนี้ กับแผนที่หลังสงครามโลกหลังจากมีกำแพงเบอร์ลิน เดี๋ยวผมจะลองคำนวณดู" กัปตันกล่าวแล้วหยิบคอมพิวเตอร์แทบเล็ตขึ้นมาเปิด ใช้เวลาครู่หนึ่งในการคำนวณเปรียบเทียบพิกัดสองแผนที่สองกาลเวลา แล้วก็ได้คำตอบที่แน่ชัด และเป็นคำตอบที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่ทุกคน

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่