ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (เมืองที่หนึ่ง: @ Roma) :
http://ppantip.com/topic/37029344
ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (เมืองที่สอง: @ Florence) :
http://ppantip.com/topic/37042080
===================================================
วันที่เจ็ด --ไรอ่ะ หนึ่งสัปดาห์แล้วเหรอ @ Venice
วันนี้คือวันต้องลาจากเมืองฟลอเรนซ์กัน เวลารถไฟออกจากเมืองอยู่ที่ประมาณ 11 โมงครึ่งเหมือนเดิม เราเก็บของกันตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นกินลมชมวิวที่ริมแม่น้ำเป็นครั้งสุดท้ายของเมืองนี้ ค่อนข้างอาวรณ์ใช้ได้เพราะเมืองนี้ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งน่าทึ่งในเรื่องศิลปวัฒนธรรมของเมืองเก่า ทั้งบรรยากาศที่ค่อนข้างเป็นมิตร อีกทั้งหนุ่มก็ยังหล่อโฮก //ผิด//
เราอ้อยอิ่งชื่นชมบรรยากาศริมน้ำสักพัก ถ่ายรูปจนพอใจจนลมหนาวเริ่มแทรกเข้ามาในตัวจนเริ่มตัวสั่น เราจึงแวะไปในร้านกาแฟซึ่งเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้
ไม่ผิดหวังจริงๆ กาแฟที่นี่ดีงาม สนนราคาอยู่ที่ 1.6 ยูโรต่อแก้ว (ลาเต้นะ)
กลับมาเอาของแล้วโบกมือลาเจ้าของหล่อแซ่บ เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมไป (อ้อ ลืมบอกไป เราอยู่ประมาณชั้นสี่ มีลิฟท์แบบเก่าที่เราไม่ค่อยเคยชินเท่าไร คือ มีประตูเลื่อนอยู่ด้านนอก แล้วมีประตูลิฟท์อีกที แต่ให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่ดีเหมือนกันนะ) แต่ยังมีเวลาก่อนรถไฟออกประมาณ 1 ชั่วโมง ในระหว่างรอก็เสร็จร้านขายของตรงสถานี
ในร้านดูจะเป็นร้านขายของฝากอยู่แล้ว เต็มไปด้วยซอสที่ไว้ใส่พาสต้า เยอะเว่อร์วังอลังการมาก เข้าไปเห็นแล้วละลานตาไปหมด ดูเป็นของดีประจำ Toscany มากมายค่ะ ของโอท็อปทั้งนั้น แต่ราคาไม่ถูกเท่าไรนัก ตอนไปที่เมืองเซียน่า เจอของถูกกว่าเยอะ เลยทำใจซื้อไม่ค่อยได้สักเท่าไรค่ะ สุดท้ายเลยมีติดกระเป๋ามาแค่สองอย่างแค่นั้น อันแรกเป็นทรัฟเฟิลใส่พาเมซาน กับอีกอันเพสโต้ทรัฟเฟิล
ตอนที่คุยกับพนักงานร้าน (แน่นอนว่าชาย และหล่อแซ่บเช่นกัน 555) คิดว่าเขาคงไม่ได้ทำอาหารนะ ถามอะไรตอบได้ดุจอับดุล แต่แนะนำอะไรไม่ได้เลยค่ะ เราจึงต้องช่วยเหลือตัวเองโดยการมโนเอาเองว่ากรรมวิธีในการใช้และรสชาติน่าจะเป็นยังไง แต่ถึงอย่างนั้น เรารู้สึกว่าเวลาที่เข้าร้านแล้วพบคนพื้นเมืองมักเข้า เปิด google translate เรียนภาษาไปเรื่อยๆ (หนังสือพกไม่ไหว) บางร้านพูดไม่ได้ เลยพูดสเปนเข้านัว มั่วแบบพอกล้อมแกล้มไปได้
รู้สึกไปเองไหมไม่รู้ เวลาพยายามสื่อสารกับเขาด้วยอิตาเลียน ดูเขาเต็มใจช่วย เต็มใจอธิบายมากกว่าเดิมนะคะ
บ๊ายบายฟลอเรนซ์...เราจะคิดถึงนายนะ
รถไฟพาเราข้ามทะเลมาถึงเวนิสกันตอนบ่ายสองจากที่จริงๆ ควรถึงบ่ายครึ่ง (รถไฟชนควายไป 20 นาที cr: พี่สาว) เส้นทางมาเวนิสไม่สวยเลยค่ะ คือ เราเริ่มจากใต้ขึ้นเหนือ อากาศทางตอนเหนือจึงยังหนาวอยู่มาก ต้นไม้โกร๋น ดูแห้งแล้งไปหมด ท้องฟ้าอึมครึมด้วย ดูแล้วเหมือนเมืองถูกสาปโดยแม่มดในเทพนิยายยังไงยังงั้น
โรงแรมเราอยู่ห่างจากสถานีรถไฟจึงต้องโดยสารเรือ ค่าเรือที่นี่แพงมาก 7.5 ยูโรต่อคนแน่ะ แล่นไปสองป้ายก็ถึงแล้ว ป้ายที่เราลงคือ สะพานริอัลโต้ซึ่งเป็นสะพานสัญลักษณ์ของเวนิส ด้วยความที่เป็นตรอกซอกซอยทำให้ลากกระเป๋าลำบากมาก และสะพานข้ามคลองเล็กๆ มีมหาศาล เราแบกกระเป๋าขึ้นลงสะพานกันหลายรอบ (ขึ้นสักหกขั้นได้มั้ง) หนักจิ๊บ แถมแบกขึ้น อพาร์ทเม้นท์ชั้นสี่...แทบแย่ค่ะ
วิวจากห้องพักค่ะ แป๊บๆ ก็จะมีคนพายกอนโดล่าผ่าน
พอจัดการวางของอะไรในห้องพักเสร็จสรรพ เราก็จัดการสำรวจว่าเราต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง แน่นอนว่า สถานที่ที่เราใช้ตั้งหลักกันก่อนนั่นคือ ซุปเปอร์ฯ สถานที่อันเป็นแหล่งอาหารของเรา น้ำที่นี่มีตระกันอีกแล้ว เลยต้องหาน้ำขวดด้วย โชคดีที่เราไปเจอน้ำขวดในราคาไม่แพง ก็แบกกลับกันมาวาง แล้วค่อยออกมาใหม่
พื้นที่เริ่มต้นของการท่องเที่ยวแห่งแรกคือ สะพานริอัลโต้ซึ่งอยู่ใกล้ห้องพักของเราที่สุด เดินผ่านตรอกซอกซอยร้านต่างๆ วนไปมา แล้วไปเดินเล่นที่จัตุรัสซานมาร์โคซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง ตรงใกล้ๆ จัตุรัสจะมี Bridge of Sighs เป็นสะพานที่นักโทษประหารเดินผ่าน แต่ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามป็นครั้งสุดท้าย แล้วทอดถอนใจก่อนจะไม่ได้เห็นอีกตลอดกาล
คนมหาศาลที่สะพานริอัลโต้
อากาศเย็นลงมากแล้ว เราเลยกลับมาทำข้าวเย็นกินกันเอง เนื่องจากห้องพักที่นี่เป็นของคนไทย จึงเป็นมื้อแรกของการเดินทางที่เราได้หุงข้าวกินกัน (เอาจริงๆ ไม่ค่อยเดือดร้อนค่ะ ปกติตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่ค่อยกินข้าวอยู่แล้ว) แต่ประเด็นคือ เอาหมูหยองมาด้วย กินหมูหยองไปเยอะมากอ่ะ ข้าวเฉยๆ แต่ปลื้มหมูหยอง 555
ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง เวลาเย็นแบบนี้เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวตื่นเต็มร้อยแล้ว ทุกอย่างคึกคักมาก เราเชื่อว่าธรรมดาคนมาเที่ยวเวนิสก็เยอะอยู่แล้ว แต่พรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลคาร์นิวาลของที่นี่ แถมเป็นช่วงสุดสัปอีกต่างหาก คนเลยยิ่งมหาศาลเลยค่ะ
ตรอกซอยในเวนิสทำให้เรารู้สึกเหมือนเนื้อรมควันบุหรี่ มึนมากมาย นักท่องเที่ยวที่นี่สูบบุหรี่จัดมากจริงๆ แถมซอยเล็กๆ ไม่มีที่ระบายอากาศ รู้สึกติดอยู่ในนรกเลยค่ะ
ตอนแรกเราคิดว่าจะกลับแล้ว ไม่ไหวแล้ว แต่พอดีพี่สาวอยากหาร้านกาแฟหลบควัน โชคดีมากที่ก่อนออกมาหาข้างนอก เรามีการหาร้านกาแฟทิ้งไว้ใน google แต่มันไกลเลยไม่สนใจ ตอนนี้ดันเด้งขึ้นมาในแผนที่อากู๋ของเราแบบซะงั้น ซึ่งเป็นร้านแนะนำอันดับต้นๆ ของเวบไซต์ดังเพื่อแนะนำคนเดินทาง เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เลยแข็งใจฮึดฝ่าควันบุหรี่ดั้นด้นไปหา
หลังจากมองแผนที่อย่างแน่ใจแล้วว่ามันต้องการให้เรามาที่นี่จริงๆ สิ่งแรกที่เราได้เห็นคือ ตรอกแคบที่ไม่มีคนผ่านสักคน ทั้งซอยเห็นมีร่มตั้งอยู่ไกลๆ แค่ร้านเดียวจนไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ เราสองคนมองหน้ากัน สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไป คิดแค่ว่าไม่ใช่ก็แค่เดินออก (ตอนนั้นสภาพเราสองคนแทบตายแล้ว หายใจไม่ออกเพราะควันบุหรี่ ตรอกไร้ผู้คนแบบนี้อาจพอมีออกซิเจนให้เราได้บ้าง)
เห็นร่มไหมคะ ตรงนั้นแหละร้านกาแฟ
แต่แน่นอนว่าก็พยายามไม่สุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปหรอกค่ะ ยังไงก็เป็นนักท่องเที่ยวผู้หญิงเนอะ ถ้าเป็นซอยแคบลักษณะนี้ จะถือร่มเตรียมในลักษณะพร้อมกางค่ะ คือ อย่างน้อยที่สุด เวลาเกิดปัญหา ร่มที่กางในพื้นที่คับแคบจะช่วยถ่วงเวลาให้เราไม่ถูกประชิดตัวได้ง่ายเกินไป (ถ้ามีปืนก็ซวย) ขอแค่อีกฝ่ายชะงักไปได้ครู่หนึ่ง เราจะมีเวลาประเมินสถานการณ์ให้กับตัวเองว่าจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดอย่างที่นึกกังวล เราเดินไปจนถึงหน้าร้านที่มีร่มกางแบบไม่ตั้งความหวังใดๆ นัก
ตอนเห็นนอกร้านยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูแล้วเป็นร้านที่เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟ ตอนเดินผ่านพยายามเมียงๆ มองๆ แล้วพบว่าลูกค้าเยอะอลังการ (อิซอยขโมยดักปล้นที่ไม่มีใครผ่านไปมาเนี่ยนะ!) กลิ่นหอมมาก เปิดเมนูนี่หลากหลายจนตาลาย ดูเป็นร้านที่เต็มที่กับกาแฟมาก ทั้งทริปนอกจาก illy ที่โรมแล้ว ร้านนี้ไม่น้อยหน้าเลย แถมไม่ใช่กาแฟจำพวก Chain อีกต่างหาก
อุปกรณ์ดูมืออาชีพด้านกาแฟมากอ่ะ
ให้ดูเมนูของร้านค่ะ
ละลานตาจนอยากจะมีเวลาสักเดือนแล้วมาชิมกาแฟร้านนี้ทุกวัน
สมแล้วที่มีแต่คนแนะนำและติดอันดับร้านกาแฟต้นๆ ที่ได้คะแนนท่วมท้น มันเริ่ดมาก เจ๋งค่อดๆ คอกาแฟที่มาที่นี่ไม่ควรพลาด ถึงมันไม่เชิงอยู่ในถนนหลักในจุดท่องเที่ยวหรอกค่ะ อาจต้องควานหาสักหน่อย แต่รับประกันเลยว่าคุ้มกับการดั้นด้นเข้ามา ประทับใจมากๆ
เรากินกาแฟไม่เก่ง เลยขอมีครีมหน่อย ละลายความข้นของกาแฟ
อ้อ ตอนวางแผนเที่ยว เราตั้งใจให้หาทางลงในช่วงเทศกาลคาร์นิวาลที่นี่ให้ได้ เส้นทางถึงได้เป็นใต้ไปเหนือเผื่อได้กินบรรยากาศการแต่งตัวบ้าง
พรุ่งนี้จะพยายามตื่นเช้าตรู่ หวังว่าเราจะได้ไปเที่ยวกิน บรรยากาศในเมืองตอนที่คนน้อยกว่านี้ และหวังว่าจะได้เจอคนที่มันเริ่มใส่หน้ากากกันต้อนรับเทศกาลคาร์นิวาลกัน
ขอให้วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ดีไม่พบกับอุปสรรคต่างๆ และได้พบสิ่งที่เราหวังว่าจะเห็นโดยไม่ต้องเผชิญฝนนะ
ปล.1 แน่นอนว่าเราไม่คิดจะซื้อหน้ากาก ชื่นชมแบบไม่เสียตังค์น่าจะดีที่สุด
ปล.2 กลับมาก็ไม่วายซักผ้าต่อไปค่ะ เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องไปนอนโรงแรมที่ไม่มีเครื่องซักผ้าแล้ว เพิ่งเคยตากผ้าในอากาศเย็นยะเยือกที่ห้าองศานอกระเบียงโรงแรมแบบไร้เสื้อกันหนาว ประสบการณ์ตากผ้าที่ไม่รู้ลืม
ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (จบการเดินทาง เมืองที่สามและสี่: @ Venice & Milan)
ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (เมืองที่สอง: @ Florence) : http://ppantip.com/topic/37042080
===================================================
วันที่เจ็ด --ไรอ่ะ หนึ่งสัปดาห์แล้วเหรอ @ Venice
วันนี้คือวันต้องลาจากเมืองฟลอเรนซ์กัน เวลารถไฟออกจากเมืองอยู่ที่ประมาณ 11 โมงครึ่งเหมือนเดิม เราเก็บของกันตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นกินลมชมวิวที่ริมแม่น้ำเป็นครั้งสุดท้ายของเมืองนี้ ค่อนข้างอาวรณ์ใช้ได้เพราะเมืองนี้ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งน่าทึ่งในเรื่องศิลปวัฒนธรรมของเมืองเก่า ทั้งบรรยากาศที่ค่อนข้างเป็นมิตร อีกทั้งหนุ่มก็ยังหล่อโฮก //ผิด//
เราอ้อยอิ่งชื่นชมบรรยากาศริมน้ำสักพัก ถ่ายรูปจนพอใจจนลมหนาวเริ่มแทรกเข้ามาในตัวจนเริ่มตัวสั่น เราจึงแวะไปในร้านกาแฟซึ่งเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้
ไม่ผิดหวังจริงๆ กาแฟที่นี่ดีงาม สนนราคาอยู่ที่ 1.6 ยูโรต่อแก้ว (ลาเต้นะ)
กลับมาเอาของแล้วโบกมือลาเจ้าของหล่อแซ่บ เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมไป (อ้อ ลืมบอกไป เราอยู่ประมาณชั้นสี่ มีลิฟท์แบบเก่าที่เราไม่ค่อยเคยชินเท่าไร คือ มีประตูเลื่อนอยู่ด้านนอก แล้วมีประตูลิฟท์อีกที แต่ให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่ดีเหมือนกันนะ) แต่ยังมีเวลาก่อนรถไฟออกประมาณ 1 ชั่วโมง ในระหว่างรอก็เสร็จร้านขายของตรงสถานี
ในร้านดูจะเป็นร้านขายของฝากอยู่แล้ว เต็มไปด้วยซอสที่ไว้ใส่พาสต้า เยอะเว่อร์วังอลังการมาก เข้าไปเห็นแล้วละลานตาไปหมด ดูเป็นของดีประจำ Toscany มากมายค่ะ ของโอท็อปทั้งนั้น แต่ราคาไม่ถูกเท่าไรนัก ตอนไปที่เมืองเซียน่า เจอของถูกกว่าเยอะ เลยทำใจซื้อไม่ค่อยได้สักเท่าไรค่ะ สุดท้ายเลยมีติดกระเป๋ามาแค่สองอย่างแค่นั้น อันแรกเป็นทรัฟเฟิลใส่พาเมซาน กับอีกอันเพสโต้ทรัฟเฟิล
ตอนที่คุยกับพนักงานร้าน (แน่นอนว่าชาย และหล่อแซ่บเช่นกัน 555) คิดว่าเขาคงไม่ได้ทำอาหารนะ ถามอะไรตอบได้ดุจอับดุล แต่แนะนำอะไรไม่ได้เลยค่ะ เราจึงต้องช่วยเหลือตัวเองโดยการมโนเอาเองว่ากรรมวิธีในการใช้และรสชาติน่าจะเป็นยังไง แต่ถึงอย่างนั้น เรารู้สึกว่าเวลาที่เข้าร้านแล้วพบคนพื้นเมืองมักเข้า เปิด google translate เรียนภาษาไปเรื่อยๆ (หนังสือพกไม่ไหว) บางร้านพูดไม่ได้ เลยพูดสเปนเข้านัว มั่วแบบพอกล้อมแกล้มไปได้
รู้สึกไปเองไหมไม่รู้ เวลาพยายามสื่อสารกับเขาด้วยอิตาเลียน ดูเขาเต็มใจช่วย เต็มใจอธิบายมากกว่าเดิมนะคะ
บ๊ายบายฟลอเรนซ์...เราจะคิดถึงนายนะ
รถไฟพาเราข้ามทะเลมาถึงเวนิสกันตอนบ่ายสองจากที่จริงๆ ควรถึงบ่ายครึ่ง (รถไฟชนควายไป 20 นาที cr: พี่สาว) เส้นทางมาเวนิสไม่สวยเลยค่ะ คือ เราเริ่มจากใต้ขึ้นเหนือ อากาศทางตอนเหนือจึงยังหนาวอยู่มาก ต้นไม้โกร๋น ดูแห้งแล้งไปหมด ท้องฟ้าอึมครึมด้วย ดูแล้วเหมือนเมืองถูกสาปโดยแม่มดในเทพนิยายยังไงยังงั้น
โรงแรมเราอยู่ห่างจากสถานีรถไฟจึงต้องโดยสารเรือ ค่าเรือที่นี่แพงมาก 7.5 ยูโรต่อคนแน่ะ แล่นไปสองป้ายก็ถึงแล้ว ป้ายที่เราลงคือ สะพานริอัลโต้ซึ่งเป็นสะพานสัญลักษณ์ของเวนิส ด้วยความที่เป็นตรอกซอกซอยทำให้ลากกระเป๋าลำบากมาก และสะพานข้ามคลองเล็กๆ มีมหาศาล เราแบกกระเป๋าขึ้นลงสะพานกันหลายรอบ (ขึ้นสักหกขั้นได้มั้ง) หนักจิ๊บ แถมแบกขึ้น อพาร์ทเม้นท์ชั้นสี่...แทบแย่ค่ะ
พอจัดการวางของอะไรในห้องพักเสร็จสรรพ เราก็จัดการสำรวจว่าเราต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง แน่นอนว่า สถานที่ที่เราใช้ตั้งหลักกันก่อนนั่นคือ ซุปเปอร์ฯ สถานที่อันเป็นแหล่งอาหารของเรา น้ำที่นี่มีตระกันอีกแล้ว เลยต้องหาน้ำขวดด้วย โชคดีที่เราไปเจอน้ำขวดในราคาไม่แพง ก็แบกกลับกันมาวาง แล้วค่อยออกมาใหม่
พื้นที่เริ่มต้นของการท่องเที่ยวแห่งแรกคือ สะพานริอัลโต้ซึ่งอยู่ใกล้ห้องพักของเราที่สุด เดินผ่านตรอกซอกซอยร้านต่างๆ วนไปมา แล้วไปเดินเล่นที่จัตุรัสซานมาร์โคซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง ตรงใกล้ๆ จัตุรัสจะมี Bridge of Sighs เป็นสะพานที่นักโทษประหารเดินผ่าน แต่ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามป็นครั้งสุดท้าย แล้วทอดถอนใจก่อนจะไม่ได้เห็นอีกตลอดกาล
อากาศเย็นลงมากแล้ว เราเลยกลับมาทำข้าวเย็นกินกันเอง เนื่องจากห้องพักที่นี่เป็นของคนไทย จึงเป็นมื้อแรกของการเดินทางที่เราได้หุงข้าวกินกัน (เอาจริงๆ ไม่ค่อยเดือดร้อนค่ะ ปกติตอนอยู่เมืองไทยก็ไม่ค่อยกินข้าวอยู่แล้ว) แต่ประเด็นคือ เอาหมูหยองมาด้วย กินหมูหยองไปเยอะมากอ่ะ ข้าวเฉยๆ แต่ปลื้มหมูหยอง 555
ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง เวลาเย็นแบบนี้เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวตื่นเต็มร้อยแล้ว ทุกอย่างคึกคักมาก เราเชื่อว่าธรรมดาคนมาเที่ยวเวนิสก็เยอะอยู่แล้ว แต่พรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลคาร์นิวาลของที่นี่ แถมเป็นช่วงสุดสัปอีกต่างหาก คนเลยยิ่งมหาศาลเลยค่ะ
ตรอกซอยในเวนิสทำให้เรารู้สึกเหมือนเนื้อรมควันบุหรี่ มึนมากมาย นักท่องเที่ยวที่นี่สูบบุหรี่จัดมากจริงๆ แถมซอยเล็กๆ ไม่มีที่ระบายอากาศ รู้สึกติดอยู่ในนรกเลยค่ะ
ตอนแรกเราคิดว่าจะกลับแล้ว ไม่ไหวแล้ว แต่พอดีพี่สาวอยากหาร้านกาแฟหลบควัน โชคดีมากที่ก่อนออกมาหาข้างนอก เรามีการหาร้านกาแฟทิ้งไว้ใน google แต่มันไกลเลยไม่สนใจ ตอนนี้ดันเด้งขึ้นมาในแผนที่อากู๋ของเราแบบซะงั้น ซึ่งเป็นร้านแนะนำอันดับต้นๆ ของเวบไซต์ดังเพื่อแนะนำคนเดินทาง เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เลยแข็งใจฮึดฝ่าควันบุหรี่ดั้นด้นไปหา
หลังจากมองแผนที่อย่างแน่ใจแล้วว่ามันต้องการให้เรามาที่นี่จริงๆ สิ่งแรกที่เราได้เห็นคือ ตรอกแคบที่ไม่มีคนผ่านสักคน ทั้งซอยเห็นมีร่มตั้งอยู่ไกลๆ แค่ร้านเดียวจนไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ เราสองคนมองหน้ากัน สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไป คิดแค่ว่าไม่ใช่ก็แค่เดินออก (ตอนนั้นสภาพเราสองคนแทบตายแล้ว หายใจไม่ออกเพราะควันบุหรี่ ตรอกไร้ผู้คนแบบนี้อาจพอมีออกซิเจนให้เราได้บ้าง)
แต่แน่นอนว่าก็พยายามไม่สุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปหรอกค่ะ ยังไงก็เป็นนักท่องเที่ยวผู้หญิงเนอะ ถ้าเป็นซอยแคบลักษณะนี้ จะถือร่มเตรียมในลักษณะพร้อมกางค่ะ คือ อย่างน้อยที่สุด เวลาเกิดปัญหา ร่มที่กางในพื้นที่คับแคบจะช่วยถ่วงเวลาให้เราไม่ถูกประชิดตัวได้ง่ายเกินไป (ถ้ามีปืนก็ซวย) ขอแค่อีกฝ่ายชะงักไปได้ครู่หนึ่ง เราจะมีเวลาประเมินสถานการณ์ให้กับตัวเองว่าจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดอย่างที่นึกกังวล เราเดินไปจนถึงหน้าร้านที่มีร่มกางแบบไม่ตั้งความหวังใดๆ นัก
ตอนเห็นนอกร้านยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูแล้วเป็นร้านที่เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟ ตอนเดินผ่านพยายามเมียงๆ มองๆ แล้วพบว่าลูกค้าเยอะอลังการ (อิซอยขโมยดักปล้นที่ไม่มีใครผ่านไปมาเนี่ยนะ!) กลิ่นหอมมาก เปิดเมนูนี่หลากหลายจนตาลาย ดูเป็นร้านที่เต็มที่กับกาแฟมาก ทั้งทริปนอกจาก illy ที่โรมแล้ว ร้านนี้ไม่น้อยหน้าเลย แถมไม่ใช่กาแฟจำพวก Chain อีกต่างหาก
ให้ดูเมนูของร้านค่ะ
สมแล้วที่มีแต่คนแนะนำและติดอันดับร้านกาแฟต้นๆ ที่ได้คะแนนท่วมท้น มันเริ่ดมาก เจ๋งค่อดๆ คอกาแฟที่มาที่นี่ไม่ควรพลาด ถึงมันไม่เชิงอยู่ในถนนหลักในจุดท่องเที่ยวหรอกค่ะ อาจต้องควานหาสักหน่อย แต่รับประกันเลยว่าคุ้มกับการดั้นด้นเข้ามา ประทับใจมากๆ
อ้อ ตอนวางแผนเที่ยว เราตั้งใจให้หาทางลงในช่วงเทศกาลคาร์นิวาลที่นี่ให้ได้ เส้นทางถึงได้เป็นใต้ไปเหนือเผื่อได้กินบรรยากาศการแต่งตัวบ้าง
พรุ่งนี้จะพยายามตื่นเช้าตรู่ หวังว่าเราจะได้ไปเที่ยวกิน บรรยากาศในเมืองตอนที่คนน้อยกว่านี้ และหวังว่าจะได้เจอคนที่มันเริ่มใส่หน้ากากกันต้อนรับเทศกาลคาร์นิวาลกัน
ขอให้วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ดีไม่พบกับอุปสรรคต่างๆ และได้พบสิ่งที่เราหวังว่าจะเห็นโดยไม่ต้องเผชิญฝนนะ
ปล.1 แน่นอนว่าเราไม่คิดจะซื้อหน้ากาก ชื่นชมแบบไม่เสียตังค์น่าจะดีที่สุด
ปล.2 กลับมาก็ไม่วายซักผ้าต่อไปค่ะ เพราะพรุ่งนี้เราจะต้องไปนอนโรงแรมที่ไม่มีเครื่องซักผ้าแล้ว เพิ่งเคยตากผ้าในอากาศเย็นยะเยือกที่ห้าองศานอกระเบียงโรงแรมแบบไร้เสื้อกันหนาว ประสบการณ์ตากผ้าที่ไม่รู้ลืม