เรื่องสั้นที่จะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนของผมเขียนขึ้น ผมชอบมาก และอยากแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่าน จึงขออนุญาตเจ้าตัวเพื่อทำการเผยแพร่
หวังว่าทุกคนจะชอบครับ...
อยากได้ยินเสียงระฆัง....อีกครั้ง...
(จารุวรรณ)
“แง็ง! แง็ง ! แง็ง !” เสียงระฆังดังขึ้น ทำให้ผมและเพื่อนๆรีบวิ่งขึ้นอาคารเรียน ซึ่งเป็นอาคารไม้หลังเก่า 2 ชั้น สภาพเหมือนผ่านแดดผ่านฝนมาหลายสิบปี ไม้บางส่วนก็ถูกปลวกกัดกินจนผุพัง ชั้นแรกเป็นห้องเรียน ป.1-ป.3 ส่วนชั้นสองเป็นห้อง ป.4-ป.6 แต่ละห้องถูกกั้นด้วยไม้กระดานเก่าๆ หน้าประตูห้องมีป้ายชื่อของครูประจำชั้นแขวนอยู่ ซึ่งถ้าเรามองไปทุกป้ายจะมีลักษณะเหมือนกันหมด แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งที่นอกจากป้ายชื่อเก่าๆ แล้วยังมีระฆังเล็กๆอันนึงแขวนอยู่ด้วย
ผมรู้สึกเบื่อมากที่ทุกวันจะได้ยินเสียงของมัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงระฆังดังขึ้น เมื่อนั้นผมต้องหยุดเล่นทุกอย่างแล้ววิ่งขึ้นอาคาร รีบไปนั่งที่โต๊ะเรียน ห้ามพูด ห้ามคุย ห้ามขยับเขยื้อน จากนั้นก็จะมีผู้หญิงแก่ๆ อายุประมาณห้าสิบกว่าปีเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เธอก้าวเข้ามา หัวหน้าก็จะสั่ง “นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ” ต่อจากนั้นอีก 4 ชั่วโมงคือผมต้องนั่งฟัง นั่งจดอย่างเดียว
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมไม่ชอบเสียงระฆังนั่น มันเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าเวลาแห่งความสุขสนุกสนานของเราได้หมดลงแล้ว คุณพอจะนึกออกมั้ยครับว่าเวลาหมดสนุกเรารู้สึกยังไง มันก็เหมือนกันกับเวลาที่เรานั่งดูการ์ตูนเทเลทับบี้กำลังเคลิ้มๆอยู่ แล้วมีพระอาทิตย์หน้าเด็กอะไรนั่นโผล่ขึ้นมาแล้วพูดว่า “หมดเวลาสนุกแล้วซี หมดเวลาสนุกแล้วซี” นั่นแหละ ผมแทบอยากจะถอนหายใจออกมายาวๆด้วยความเซ็ง! แต่ก็อย่างว่าแหละ เซ็งแค่ไหนก็ต้องทน
ปีนี้ผมอยู่ชั้น ป.4 แล้ว อีกสองปีผมก็จะจบ จะได้ไม่ต้องมาทนฟังเสียงระฆังง้องแง้งอะไรนี่อีก ห้องของผมมีเพื่อนทั้งหมด 15 คน ผู้หญิง 10 ผู้ชาย 3 กระเทย 2 มีครูประจำชั้นชื่อวรรณี คงเดาไม่ยากใช่มั้ยครับว่าเป็นใคร
ก็คนที่ตีระฆัง ”แง็ง! แง็ง!” ทุกวันนั่นแหละครับ เป็นครูที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุด เจ้าระเบียบที่สุดและก็ตีเจ็บที่สุด กลุ่มของผมนี่โดนเป็นประจำ เพราะผมชอบไปปีนต้นมะม่วงหลังอาคารเรียนกับไอ้จ้อยและไอ้จอบ ครูวรรณีก็จะตามไปฟาดก้นคนละสามที ส่วนพวกผู้หญิงที่ผมยุ่งรุงรังเหมาะแก่การเพาะพันธุ์เหาก็จะถูกครูวรรณีหนีบเลยติ่งหูเป็นทรงกะโป๋หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทรงกะลา ผมกับเพื่อนๆจึงรวมหัวกันตั้งฉายาให้ครูวรรณีอยู่หลายฉายาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วรรณีมือสังหาร วรรณีบาร์เบอร์ วรรณีเสียงแปดหลอด แต่ยังมีอีกฉายานึงที่ ทุกคนในโรงเรียนร่วมใจกันตั้ง นั่นก็คือ “วรรณีระฆังแตก” ผมว่าฉายานี้เป็นฉายาที่เหมาะที่สุด เพราะไม่มีวันไหนที่ครูจะลืมตีระฆังนรกนั่น ตีทีไร ดังไปไกลถึงอำเภอ
อ้อ! ผมลืมไป นอกจากครูวรรณีแล้วโรงเรียนเรายังมีครูคนอื่นอีก 4 คน หมดทั้งโรงเรียนจึงมีครูอยู่แค่ 5 คน รวม ผอ. อีกคนนึงก็เป็น 6 คน แบ่งกันสอนคนละชั้น ครูสุดาสอน ป.1 แต่ละวันเท่าที่ผมสังเกตเห็น ครูสุดาจะชอบไปกับครูมาลี ซึ่งเป็นครู ประจำชั้น ป. 2 แล้วพากันนั่งกินส้มตำและนินทาครูคนอื่น มีอยู่ครั้งหนึ่งครูสุดาใช้ให้ผมไปเช็ดตู้เก็บเอกสารให้ ผมแอบได้ยินครูสุดากับ ครูมาลีนินทา ผอ. ว่าไม่ดูแลนักเรียน วันๆมาโรงเรียนเดี๋ยวเดียวแล้วก็ขี่รถไปเล่นไก่ชน ส่วนครูชาติชายก็ไม่สอน วันๆเอาแต่สั่งงานให้เด็กนั่งทำในห้อง พอหมดเวลาก็ปล่อย ผมนี่ฟังไป เช็ดตู้ไป และกลั้นหัวเราะไป
แต่คนที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงหรือนินทาก็จะมีแต่ครูวรรณีนี่แหละ แต่ละวันผมเห็นครูวรรณีจ้องแต่จะตีระฆัง แล้วรีบขึ้นมาสอนพวกเรา วันไหนที่นักเรียนคนใดคนหนึ่งหายไปครูจะรู้ทันทีและจะไล่ถามจนรู้สาเหตุ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผม ไอ้จ้อย และไอ้จอบพากันแอบไปปีนต้นมะม่วงหลังอาคาร ครูวรรณีรู้เข้าก็ไปตามแล้วบอกให้พวกเราลงมา ทีแรกพวกเราก็ไม่กล้าลง แต่พอครูขู่ว่าถ้าพวกเราไม่ลง ครูจะปีนขึ้นไปลากลงมา เท่านั้นแหละครับ ผมกับเพื่อนนี่กระโดดลงจากต้นมะม่วงแล้ววิ่งขึ้นอาคารเรียนอย่างไม่กลัวตาย วันนั้นจึงโดนไม่เรียวไปคนละสามที พร้อมกับโดนสวดไปอีกครึ่งชั่วโมง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ครูวรรณียังสอนต่ออีกจนถึง 5 โมงเย็น นี่กะว่าจะไม่ปล่อยให้ชั่วโมงการเรียนการสอนหายไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
วันต่อมา ไอ้จ้อยมันคิดที่จะเอาคืนครูวรรณี สาเหตุก็เพราะมันโกรธที่ครูวรรณีฟาดก้นมันไปเมื่อวาน
“เฮ้ย! กูคิดออกแล้วว่าจะเอาคืนครูวรรณียังไง”
“ยังไงวะ”
“กูจะขโมยระฆังนรกนั่นไปซ่อน ดูซิว่าถ้าครูวรรณีไม่เห็นระฆังนรกนั่น ครูจะทำหน้ายังไง กูว่าครูต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแหงๆ ฮ่าๆๆๆ”
“เฮ้ย! ถ้าครูจับได้จะทำยังไง นั่นมันเท่ากับการฆ่าตัวตายเลยนะเว่ย”
“ถ้าพวกไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ มา! ไปดูต้นทางให้กู กูจะลงมือเอง”
จากนั้นผมกับไอ้จอบก็ไปดูต้นทางให้มัน
“นี่! ได้แล้ว กูเก่งมั้ย ทีนี้แหละ กูจะเอามันไปซ่อนในที่ที่ทุกคนต้องหามันไม่เจอ”
“ที่ไหนวะ”
“ก็ต้นมะม่วงที่เราชอบไปปีนเล่นไง ลืมไปแล้วเหรอวะ นอกจากกูกับพวกแล้วก็ไม่มีใครไปยุ่งกะมัน” หลังจากนั้นพวกเราก็พากันไปที่ต้นมะม่วง ไอ้จ้อยมันอาสาเป็นคนปีนเอาระฆังขึ้นไปซ่อนเอง แต่ขณะที่มันปีนขึ้นไป
มือข้างนึงมันถือระฆังจึงทำให้จับต้นมะม่วงไม่ถนัด ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียง “ตุ๊บ!”
“ ไอ้จ้อย!” ผมกับไอ้จอบร้องออกมาด้วยความตกใจที่เห็นไอ้จ้อยมันนอนขดอยู่กับโคนต้นมะม่วง
“เป็นไรมั้ยวะ”
“กะ กะ กะ กู จุก!” แล้วมันก็นอนขดอยู่อย่างนั้น สักพักมันก็ลุกขึ้นได้ ทำท่าปัดตูดอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่! พวกเธอทำอะไรกัน” เสียงครูวรรณีดังมาจากด้านหลังของผม ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง
จากนั้นผม ไอ้จ้อย ไอ้จอบ รู้หน้าที่ดีว่าต้องทำยังไง เราสามคนยืนเอามือกอดอก เรียงแถวหน้ากระดานให้ครูฟาดไปสามทีตามระเบียบ ส่วนไอ้จ้อยนอกจากโดนไม้เรียวแล้ว มันยังโดนระฆังแขวนคอทั้งวันอย่างกับไอ้ทุยลุยท้องนา เดินไปไหนมาไหนคนทั้งโรงเรียนมองกันเป็นแถบ ทำให้มันอายมาก วันนั้นพอถึงคาบบ่ายมันจึงไปเขียนข้อความตัวใหญ่ๆบนกระดานว่า “กูเกลียดครูวรรณี”
ผมกับเพื่อนในห้องตกใจกับสิ่งที่มันทำ และพอครูวรรณีเดินเข้ามาในห้องเท่านั้นแหละ ครูมองไปที่ข้อความตัวใหญ่ๆบนกระดาน บรรยากาศในห้องเงียบกริบแทบจะยินเสียงลมหายใจของเพื่อนๆทุกคน แต่ที่เสียงดังกว่าเสียงลมหายใจก็คงจะเป็นเสียงหัวใจผมนี่แหละ มันเต้นตุบๆแทบจะทะลุออกมาจากอก เหตุการณ์ต่อจากนี้ผมคิดว่าต้องเกิดพายุทอร์นาโดถล่มแน่ๆ
“ใครเป็นคนเขียน” ครูวรรณีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อย่างกับพยายามสกัดกั้นอารมณ์บางอย่างไว้
พวกเราทุกคนกวาดสายตาไปที่คนคนเดียวกันนั่นก็คือไอ้จ้อย
“ เด็กชายจ้อย ออกมาลบกระดาน”
ไอ้จ้อยนั่งนิ่ง ทำอย่างกับไม่ได้ยินในสิ่งที่ครูพูด พร้อมกับทำท่าเมินเฉย
ผมคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าทำไมมันถึงกล้าขัดคำสั่ง แถมยังทำท่าทำทางกวนตีน วันนั้นครูวรรณีหยุดพูดแล้วครูก็ลบกระดานเอง จากนั้นก็สอนพวกเราต่อ ผมกับเพื่อนๆนั่งงงกันใหญ่เพราะคาดไม่ถึงอีกเหมือนกันว่าทำไมครูไม่ทำโทษมัน
แต่สิ่งที่งงกว่านั้นคือ วันรุ่งขึ้นไอ้จ้อยพาพ่อมันมาโรงเรียน ผอ.สั่งให้ครูทุกคนเข้าพบ หนึ่งในนั้นก็คือครูวรรณี ผมสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เพราะพ่อไอ้จ้อยเป็นนักเลงประจำหมู่บ้าน ถ้ารู้ว่าใครมาทำอะไรลูกก็คงไม่มีทางยอม
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครูวรรณีเดินก้มหน้าออกมาจากห้องพัก ผอ. ด้วยสีหน้าซึมๆ ผมไม่เคยเห็นครูเป็นเช่นนี้มาก่อน แม้ครูจะเดินก้มหน้าแต่ก็ไม่อาจซ่อนน้ำตาที่มันไหลออกมาคลอเบ้าได้ จากนั้นพ่อไอ้จ้อยก็เดินตามออกมา
ด้วยท่าทางฟึดฟัดอย่างกับถูกผีสิง ส่วนไอ้จ้อยก็เดินตามหลังพ่อมัน ผมรีบวิ่งไปลากมือไอ้จ้อยออกมาห่างๆจากผู้คน
“กูถามจริงๆ ทำอะไรวะ”
“ตอนแรกกูว่าจะให้พ่อกูมาคุยกับครูวรรณีแค่คนเดียว กูไม่คิดว่าพ่อจะโกรธขนาดนั้น กูแค่บอกพ่อว่าครูวรรณีตีกู เห็นมั้ย! ทั้งก้นทั้งหลังกูเขียวไปหมด”
“เฮ้ย! แต่มันก็เป็นเพราะตกต้นมะม่วงนี่หว่า ไม่เกี่ยวกับครูวรรณีซักหน่อย”
“ช่างปะไร! ก็กูบอกพ่อแบบนั้นแล้วนี่ แล้วพ่อก็ไปบอก ผอ.แล้วด้วย จะให้กูทำยังไง”
“แบบนี้ครูวรรณีก็แย่สิวะ”
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกยังไง จะรู้สึกสะใจหรือรู้สึกสงสารครูวรรณี เพราะที่ผ่านมาครูลงโทษพวกเราครูก็มีเหตุผลเสมอ แต่ทำไมวิธีเอาคืนของไอ้จ้อยมันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ทุกครั้งที่ครูลงโทษพวกเรา ครูไม่ได้มีสีหน้าสะใจหรือมีความสุขเลยแม้แต่น้อย ผมเห็นครูแอบกลั้นน้ำตาไว้ด้วยซ้ำไปเวลาที่เห็นพวกเราร้องไห้เพราะถูกครูตี แม้บางครั้งเราจะดื้อจะซน แต่ครูก็ไม่เคยทิ้งพวกเรา ยังสละเวลาสอนให้อ่านสอนให้เขียนไม่รู้สึกรังเกียจเด็กบ้านนอก เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าสกปรกอย่างพวกเรา บางวันเราเลิกโรงเรียนแล้วแต่ครูก็ยังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ทำไมผมเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้นะ แต่ก็เอาเถอะ! คิดได้ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป นับแต่นี้ต่อไปผมจะตั้งใจเรียน จะไม่ดื้อ ไม่ซนให้ครูคอยเหนื่อยคอยตาม
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมอยากมาโรงเรียน ผมรีบตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวมาถึงโรงเรียนก่อนเพื่อนๆ ผมคิดว่าผมมาเช้าที่สุดแล้วนะ แต่ก็ต้องเอะใจเมื่อเห็นคนเยอะแยะมุงดูอะไรอยู่หน้าห้องเรียนของผม นี่ยังมีคนมาเช้ากว่าผมอยู่อีกเหรอ
“หลีกทางหน่อยครับ! หลีกทางหน่อย! ” เสียงชาวบ้านคนนึงตะโกน พร้อมกับอุ้มร่างผู้หญิงแก่ๆมาขึ้นท้ายรถกระบะคันเก่าๆที่จอดอยู่หน้าอาคาร ผมเหลือบไปเห็นในมือของเธอกำชอล์กไว้แน่น อย่างกับว่าสิ่งๆนั้นเป็นสิ่งที่เธอรัก และเธอก็พร้อมจะทำหน้าที่นั้นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ผมยืนมองร่างที่ถูกอุ้มขึ้นท้ายรถกระบะ เสียงชาวบ้านดังแว่วเข้ามาในหูว่าครูวรรณีถูกลอบยิง มันเหมือนกับหัวใจของผมหยุดเต้นชั่วขณะ ผมไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และเหมือนสมองสั่งงานให้น้ำตาผมไหลออกมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ใครกันนะที่มันทำร้ายครู ทำไมมันใจดำอำมหิตทำกับครูแก่ๆที่ไม่มีทางสู้ได้ ลำพังเพียงแค่ชอล์กที่ถืออยู่ในมือหรือจะสู้กระสุนปืน คราวนี้ผมยืนร้องไห้ดังลั่นอย่างไม่อายใคร ยืนมองรถกระบะที่เคลื่อนออกไปตรงหน้าอย่างมีความหวัง หวังว่าครูจะปลอดภัย และจะต้องกลับมา...
นับตั้งแต่เกิดเรื่องครูวรรณีถูกลอบยิง โรงเรียนของผมก็กลายเป็นโรงเรียนที่เงียบเหงาเหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง และนี่ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วที่ผมมายืนคอยครูวรรณีอยู่ที่เดิม ไม่มีวี่แววว่าครูจะกลับมา สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาจัดการชุดที่ผิดระเบียบของพวกเรา สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาตามเวลาพวกเราโดดเรียน สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาตัดผมเวลาผมยาว สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาบังคับให้ทำการบ้านส่ง และก็สามเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ยินเสียงระฆัง
แต่ก็แปลกเหมือนกัน ผมควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่ผมไม่ได้ยินเสียงระฆังนั่น ที่บัดนี้มันถูกฝุ่นเกาะเต็มไปหมด สภาพของมันดูเก่าๆหมองๆเหมือนกับรอคอยให้เจ้าของกลับมาดูแล เมื่อก่อนนั้นไม่มีใครสนใจมัน แต่วันนี้ เด็กๆทุกคนนั้นเฝ้ามองมันด้วยความรู้สึกที่คิดถึงเจ้าของของมันอย่างสุดหัวใจ เพราะมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวของครูวรรณีที่เหลืออยู่ เพราะของทุกอย่างนั้นถูกขนออกจนหมด แม้แต่ป้ายชื่อยังถูกเปลี่ยนเป็นชื่อครูคนใหม่ เหลือไว้แต่ระฆังนี่แหละ ที่ไม่มีใครกล้าปลดออกเพราะมันเป็นเหมือนตัวแทนของครูที่ทิ้งไว้ให้ดูเวลาคิดถึง
สายลมพัดมากระทบระฆังอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้เกิดเสียงได้ แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน เด็กๆทุกคนก็ยังคงมองมันอยู่ทุกวัน มองมันด้วยความหวัง หวังว่าสักวันมันจะดังขึ้น อีกครั้ง...
อยากได้ยินเสียงระฆัง...อีกครั้ง
หวังว่าทุกคนจะชอบครับ...
(จารุวรรณ)
“แง็ง! แง็ง ! แง็ง !” เสียงระฆังดังขึ้น ทำให้ผมและเพื่อนๆรีบวิ่งขึ้นอาคารเรียน ซึ่งเป็นอาคารไม้หลังเก่า 2 ชั้น สภาพเหมือนผ่านแดดผ่านฝนมาหลายสิบปี ไม้บางส่วนก็ถูกปลวกกัดกินจนผุพัง ชั้นแรกเป็นห้องเรียน ป.1-ป.3 ส่วนชั้นสองเป็นห้อง ป.4-ป.6 แต่ละห้องถูกกั้นด้วยไม้กระดานเก่าๆ หน้าประตูห้องมีป้ายชื่อของครูประจำชั้นแขวนอยู่ ซึ่งถ้าเรามองไปทุกป้ายจะมีลักษณะเหมือนกันหมด แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งที่นอกจากป้ายชื่อเก่าๆ แล้วยังมีระฆังเล็กๆอันนึงแขวนอยู่ด้วย
ผมรู้สึกเบื่อมากที่ทุกวันจะได้ยินเสียงของมัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงระฆังดังขึ้น เมื่อนั้นผมต้องหยุดเล่นทุกอย่างแล้ววิ่งขึ้นอาคาร รีบไปนั่งที่โต๊ะเรียน ห้ามพูด ห้ามคุย ห้ามขยับเขยื้อน จากนั้นก็จะมีผู้หญิงแก่ๆ อายุประมาณห้าสิบกว่าปีเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เธอก้าวเข้ามา หัวหน้าก็จะสั่ง “นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ” ต่อจากนั้นอีก 4 ชั่วโมงคือผมต้องนั่งฟัง นั่งจดอย่างเดียว
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมไม่ชอบเสียงระฆังนั่น มันเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าเวลาแห่งความสุขสนุกสนานของเราได้หมดลงแล้ว คุณพอจะนึกออกมั้ยครับว่าเวลาหมดสนุกเรารู้สึกยังไง มันก็เหมือนกันกับเวลาที่เรานั่งดูการ์ตูนเทเลทับบี้กำลังเคลิ้มๆอยู่ แล้วมีพระอาทิตย์หน้าเด็กอะไรนั่นโผล่ขึ้นมาแล้วพูดว่า “หมดเวลาสนุกแล้วซี หมดเวลาสนุกแล้วซี” นั่นแหละ ผมแทบอยากจะถอนหายใจออกมายาวๆด้วยความเซ็ง! แต่ก็อย่างว่าแหละ เซ็งแค่ไหนก็ต้องทน
ปีนี้ผมอยู่ชั้น ป.4 แล้ว อีกสองปีผมก็จะจบ จะได้ไม่ต้องมาทนฟังเสียงระฆังง้องแง้งอะไรนี่อีก ห้องของผมมีเพื่อนทั้งหมด 15 คน ผู้หญิง 10 ผู้ชาย 3 กระเทย 2 มีครูประจำชั้นชื่อวรรณี คงเดาไม่ยากใช่มั้ยครับว่าเป็นใคร
ก็คนที่ตีระฆัง ”แง็ง! แง็ง!” ทุกวันนั่นแหละครับ เป็นครูที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุด เจ้าระเบียบที่สุดและก็ตีเจ็บที่สุด กลุ่มของผมนี่โดนเป็นประจำ เพราะผมชอบไปปีนต้นมะม่วงหลังอาคารเรียนกับไอ้จ้อยและไอ้จอบ ครูวรรณีก็จะตามไปฟาดก้นคนละสามที ส่วนพวกผู้หญิงที่ผมยุ่งรุงรังเหมาะแก่การเพาะพันธุ์เหาก็จะถูกครูวรรณีหนีบเลยติ่งหูเป็นทรงกะโป๋หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทรงกะลา ผมกับเพื่อนๆจึงรวมหัวกันตั้งฉายาให้ครูวรรณีอยู่หลายฉายาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วรรณีมือสังหาร วรรณีบาร์เบอร์ วรรณีเสียงแปดหลอด แต่ยังมีอีกฉายานึงที่ ทุกคนในโรงเรียนร่วมใจกันตั้ง นั่นก็คือ “วรรณีระฆังแตก” ผมว่าฉายานี้เป็นฉายาที่เหมาะที่สุด เพราะไม่มีวันไหนที่ครูจะลืมตีระฆังนรกนั่น ตีทีไร ดังไปไกลถึงอำเภอ
อ้อ! ผมลืมไป นอกจากครูวรรณีแล้วโรงเรียนเรายังมีครูคนอื่นอีก 4 คน หมดทั้งโรงเรียนจึงมีครูอยู่แค่ 5 คน รวม ผอ. อีกคนนึงก็เป็น 6 คน แบ่งกันสอนคนละชั้น ครูสุดาสอน ป.1 แต่ละวันเท่าที่ผมสังเกตเห็น ครูสุดาจะชอบไปกับครูมาลี ซึ่งเป็นครู ประจำชั้น ป. 2 แล้วพากันนั่งกินส้มตำและนินทาครูคนอื่น มีอยู่ครั้งหนึ่งครูสุดาใช้ให้ผมไปเช็ดตู้เก็บเอกสารให้ ผมแอบได้ยินครูสุดากับ ครูมาลีนินทา ผอ. ว่าไม่ดูแลนักเรียน วันๆมาโรงเรียนเดี๋ยวเดียวแล้วก็ขี่รถไปเล่นไก่ชน ส่วนครูชาติชายก็ไม่สอน วันๆเอาแต่สั่งงานให้เด็กนั่งทำในห้อง พอหมดเวลาก็ปล่อย ผมนี่ฟังไป เช็ดตู้ไป และกลั้นหัวเราะไป
แต่คนที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงหรือนินทาก็จะมีแต่ครูวรรณีนี่แหละ แต่ละวันผมเห็นครูวรรณีจ้องแต่จะตีระฆัง แล้วรีบขึ้นมาสอนพวกเรา วันไหนที่นักเรียนคนใดคนหนึ่งหายไปครูจะรู้ทันทีและจะไล่ถามจนรู้สาเหตุ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผม ไอ้จ้อย และไอ้จอบพากันแอบไปปีนต้นมะม่วงหลังอาคาร ครูวรรณีรู้เข้าก็ไปตามแล้วบอกให้พวกเราลงมา ทีแรกพวกเราก็ไม่กล้าลง แต่พอครูขู่ว่าถ้าพวกเราไม่ลง ครูจะปีนขึ้นไปลากลงมา เท่านั้นแหละครับ ผมกับเพื่อนนี่กระโดดลงจากต้นมะม่วงแล้ววิ่งขึ้นอาคารเรียนอย่างไม่กลัวตาย วันนั้นจึงโดนไม่เรียวไปคนละสามที พร้อมกับโดนสวดไปอีกครึ่งชั่วโมง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ครูวรรณียังสอนต่ออีกจนถึง 5 โมงเย็น นี่กะว่าจะไม่ปล่อยให้ชั่วโมงการเรียนการสอนหายไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
วันต่อมา ไอ้จ้อยมันคิดที่จะเอาคืนครูวรรณี สาเหตุก็เพราะมันโกรธที่ครูวรรณีฟาดก้นมันไปเมื่อวาน
“เฮ้ย! กูคิดออกแล้วว่าจะเอาคืนครูวรรณียังไง”
“ยังไงวะ”
“กูจะขโมยระฆังนรกนั่นไปซ่อน ดูซิว่าถ้าครูวรรณีไม่เห็นระฆังนรกนั่น ครูจะทำหน้ายังไง กูว่าครูต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแหงๆ ฮ่าๆๆๆ”
“เฮ้ย! ถ้าครูจับได้จะทำยังไง นั่นมันเท่ากับการฆ่าตัวตายเลยนะเว่ย”
“ถ้าพวกไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ มา! ไปดูต้นทางให้กู กูจะลงมือเอง”
จากนั้นผมกับไอ้จอบก็ไปดูต้นทางให้มัน
“นี่! ได้แล้ว กูเก่งมั้ย ทีนี้แหละ กูจะเอามันไปซ่อนในที่ที่ทุกคนต้องหามันไม่เจอ”
“ที่ไหนวะ”
“ก็ต้นมะม่วงที่เราชอบไปปีนเล่นไง ลืมไปแล้วเหรอวะ นอกจากกูกับพวกแล้วก็ไม่มีใครไปยุ่งกะมัน” หลังจากนั้นพวกเราก็พากันไปที่ต้นมะม่วง ไอ้จ้อยมันอาสาเป็นคนปีนเอาระฆังขึ้นไปซ่อนเอง แต่ขณะที่มันปีนขึ้นไป
มือข้างนึงมันถือระฆังจึงทำให้จับต้นมะม่วงไม่ถนัด ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียง “ตุ๊บ!”
“ ไอ้จ้อย!” ผมกับไอ้จอบร้องออกมาด้วยความตกใจที่เห็นไอ้จ้อยมันนอนขดอยู่กับโคนต้นมะม่วง
“เป็นไรมั้ยวะ”
“กะ กะ กะ กู จุก!” แล้วมันก็นอนขดอยู่อย่างนั้น สักพักมันก็ลุกขึ้นได้ ทำท่าปัดตูดอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่! พวกเธอทำอะไรกัน” เสียงครูวรรณีดังมาจากด้านหลังของผม ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง
จากนั้นผม ไอ้จ้อย ไอ้จอบ รู้หน้าที่ดีว่าต้องทำยังไง เราสามคนยืนเอามือกอดอก เรียงแถวหน้ากระดานให้ครูฟาดไปสามทีตามระเบียบ ส่วนไอ้จ้อยนอกจากโดนไม้เรียวแล้ว มันยังโดนระฆังแขวนคอทั้งวันอย่างกับไอ้ทุยลุยท้องนา เดินไปไหนมาไหนคนทั้งโรงเรียนมองกันเป็นแถบ ทำให้มันอายมาก วันนั้นพอถึงคาบบ่ายมันจึงไปเขียนข้อความตัวใหญ่ๆบนกระดานว่า “กูเกลียดครูวรรณี”
ผมกับเพื่อนในห้องตกใจกับสิ่งที่มันทำ และพอครูวรรณีเดินเข้ามาในห้องเท่านั้นแหละ ครูมองไปที่ข้อความตัวใหญ่ๆบนกระดาน บรรยากาศในห้องเงียบกริบแทบจะยินเสียงลมหายใจของเพื่อนๆทุกคน แต่ที่เสียงดังกว่าเสียงลมหายใจก็คงจะเป็นเสียงหัวใจผมนี่แหละ มันเต้นตุบๆแทบจะทะลุออกมาจากอก เหตุการณ์ต่อจากนี้ผมคิดว่าต้องเกิดพายุทอร์นาโดถล่มแน่ๆ
“ใครเป็นคนเขียน” ครูวรรณีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อย่างกับพยายามสกัดกั้นอารมณ์บางอย่างไว้
พวกเราทุกคนกวาดสายตาไปที่คนคนเดียวกันนั่นก็คือไอ้จ้อย
“ เด็กชายจ้อย ออกมาลบกระดาน”
ไอ้จ้อยนั่งนิ่ง ทำอย่างกับไม่ได้ยินในสิ่งที่ครูพูด พร้อมกับทำท่าเมินเฉย
ผมคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าทำไมมันถึงกล้าขัดคำสั่ง แถมยังทำท่าทำทางกวนตีน วันนั้นครูวรรณีหยุดพูดแล้วครูก็ลบกระดานเอง จากนั้นก็สอนพวกเราต่อ ผมกับเพื่อนๆนั่งงงกันใหญ่เพราะคาดไม่ถึงอีกเหมือนกันว่าทำไมครูไม่ทำโทษมัน
แต่สิ่งที่งงกว่านั้นคือ วันรุ่งขึ้นไอ้จ้อยพาพ่อมันมาโรงเรียน ผอ.สั่งให้ครูทุกคนเข้าพบ หนึ่งในนั้นก็คือครูวรรณี ผมสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เพราะพ่อไอ้จ้อยเป็นนักเลงประจำหมู่บ้าน ถ้ารู้ว่าใครมาทำอะไรลูกก็คงไม่มีทางยอม
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครูวรรณีเดินก้มหน้าออกมาจากห้องพัก ผอ. ด้วยสีหน้าซึมๆ ผมไม่เคยเห็นครูเป็นเช่นนี้มาก่อน แม้ครูจะเดินก้มหน้าแต่ก็ไม่อาจซ่อนน้ำตาที่มันไหลออกมาคลอเบ้าได้ จากนั้นพ่อไอ้จ้อยก็เดินตามออกมา
ด้วยท่าทางฟึดฟัดอย่างกับถูกผีสิง ส่วนไอ้จ้อยก็เดินตามหลังพ่อมัน ผมรีบวิ่งไปลากมือไอ้จ้อยออกมาห่างๆจากผู้คน
“กูถามจริงๆ ทำอะไรวะ”
“ตอนแรกกูว่าจะให้พ่อกูมาคุยกับครูวรรณีแค่คนเดียว กูไม่คิดว่าพ่อจะโกรธขนาดนั้น กูแค่บอกพ่อว่าครูวรรณีตีกู เห็นมั้ย! ทั้งก้นทั้งหลังกูเขียวไปหมด”
“เฮ้ย! แต่มันก็เป็นเพราะตกต้นมะม่วงนี่หว่า ไม่เกี่ยวกับครูวรรณีซักหน่อย”
“ช่างปะไร! ก็กูบอกพ่อแบบนั้นแล้วนี่ แล้วพ่อก็ไปบอก ผอ.แล้วด้วย จะให้กูทำยังไง”
“แบบนี้ครูวรรณีก็แย่สิวะ”
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกยังไง จะรู้สึกสะใจหรือรู้สึกสงสารครูวรรณี เพราะที่ผ่านมาครูลงโทษพวกเราครูก็มีเหตุผลเสมอ แต่ทำไมวิธีเอาคืนของไอ้จ้อยมันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ทุกครั้งที่ครูลงโทษพวกเรา ครูไม่ได้มีสีหน้าสะใจหรือมีความสุขเลยแม้แต่น้อย ผมเห็นครูแอบกลั้นน้ำตาไว้ด้วยซ้ำไปเวลาที่เห็นพวกเราร้องไห้เพราะถูกครูตี แม้บางครั้งเราจะดื้อจะซน แต่ครูก็ไม่เคยทิ้งพวกเรา ยังสละเวลาสอนให้อ่านสอนให้เขียนไม่รู้สึกรังเกียจเด็กบ้านนอก เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าสกปรกอย่างพวกเรา บางวันเราเลิกโรงเรียนแล้วแต่ครูก็ยังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ทำไมผมเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้นะ แต่ก็เอาเถอะ! คิดได้ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป นับแต่นี้ต่อไปผมจะตั้งใจเรียน จะไม่ดื้อ ไม่ซนให้ครูคอยเหนื่อยคอยตาม
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมอยากมาโรงเรียน ผมรีบตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวมาถึงโรงเรียนก่อนเพื่อนๆ ผมคิดว่าผมมาเช้าที่สุดแล้วนะ แต่ก็ต้องเอะใจเมื่อเห็นคนเยอะแยะมุงดูอะไรอยู่หน้าห้องเรียนของผม นี่ยังมีคนมาเช้ากว่าผมอยู่อีกเหรอ
“หลีกทางหน่อยครับ! หลีกทางหน่อย! ” เสียงชาวบ้านคนนึงตะโกน พร้อมกับอุ้มร่างผู้หญิงแก่ๆมาขึ้นท้ายรถกระบะคันเก่าๆที่จอดอยู่หน้าอาคาร ผมเหลือบไปเห็นในมือของเธอกำชอล์กไว้แน่น อย่างกับว่าสิ่งๆนั้นเป็นสิ่งที่เธอรัก และเธอก็พร้อมจะทำหน้าที่นั้นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ผมยืนมองร่างที่ถูกอุ้มขึ้นท้ายรถกระบะ เสียงชาวบ้านดังแว่วเข้ามาในหูว่าครูวรรณีถูกลอบยิง มันเหมือนกับหัวใจของผมหยุดเต้นชั่วขณะ ผมไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และเหมือนสมองสั่งงานให้น้ำตาผมไหลออกมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ใครกันนะที่มันทำร้ายครู ทำไมมันใจดำอำมหิตทำกับครูแก่ๆที่ไม่มีทางสู้ได้ ลำพังเพียงแค่ชอล์กที่ถืออยู่ในมือหรือจะสู้กระสุนปืน คราวนี้ผมยืนร้องไห้ดังลั่นอย่างไม่อายใคร ยืนมองรถกระบะที่เคลื่อนออกไปตรงหน้าอย่างมีความหวัง หวังว่าครูจะปลอดภัย และจะต้องกลับมา...
นับตั้งแต่เกิดเรื่องครูวรรณีถูกลอบยิง โรงเรียนของผมก็กลายเป็นโรงเรียนที่เงียบเหงาเหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง และนี่ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วที่ผมมายืนคอยครูวรรณีอยู่ที่เดิม ไม่มีวี่แววว่าครูจะกลับมา สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาจัดการชุดที่ผิดระเบียบของพวกเรา สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาตามเวลาพวกเราโดดเรียน สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาตัดผมเวลาผมยาว สามเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาบังคับให้ทำการบ้านส่ง และก็สามเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ยินเสียงระฆัง
แต่ก็แปลกเหมือนกัน ผมควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่ผมไม่ได้ยินเสียงระฆังนั่น ที่บัดนี้มันถูกฝุ่นเกาะเต็มไปหมด สภาพของมันดูเก่าๆหมองๆเหมือนกับรอคอยให้เจ้าของกลับมาดูแล เมื่อก่อนนั้นไม่มีใครสนใจมัน แต่วันนี้ เด็กๆทุกคนนั้นเฝ้ามองมันด้วยความรู้สึกที่คิดถึงเจ้าของของมันอย่างสุดหัวใจ เพราะมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวของครูวรรณีที่เหลืออยู่ เพราะของทุกอย่างนั้นถูกขนออกจนหมด แม้แต่ป้ายชื่อยังถูกเปลี่ยนเป็นชื่อครูคนใหม่ เหลือไว้แต่ระฆังนี่แหละ ที่ไม่มีใครกล้าปลดออกเพราะมันเป็นเหมือนตัวแทนของครูที่ทิ้งไว้ให้ดูเวลาคิดถึง
สายลมพัดมากระทบระฆังอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้เกิดเสียงได้ แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน เด็กๆทุกคนก็ยังคงมองมันอยู่ทุกวัน มองมันด้วยความหวัง หวังว่าสักวันมันจะดังขึ้น อีกครั้ง...