พูดจีนไม่ได้สักคำ แต่.. ลากกระเป๋าเที่ยวจีนเองได้ตั้ง 5 วัน !! ( รีวิวยาวเหยียดละเอียดยิบ วันที่ 4 )

สำหรับคนที่อยากอ่านของวันที่ 1 นะครับ
https://ppantip.com/topic/37115732

วันที่ 2
https://ppantip.com/topic/37121694

วันที่ 3
https://ppantip.com/topic/37134014

วันที่ 4 ร่างกายไม่ไหว แต่ใจสู้มาก !

เช้าวันที่ 4 ไกด์นัดทานอาหารเช้าตั้งแต่ 6 โมงเช้า ! ปกติอยู่เมืองไทย ไม่เคยกินข้าวเช้าไวขนาดนี้มาก่อน เหตุผลที่วันนี้ไกด์นัดลูกทัวร์ทุกคนแต่เช้าเพราะว่าเราต้องไปล่องแพกันครับ โดยเวลาที่ดีที่สุดในการล่องแพ ควรจะเริ่มตั้งแต่ไม่เกิน 8 โมงเช้าเพราะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการล่องไปตามลำธารรอบ ๆ อุทยานอู๋อี๋ซาน ดังนั้น ถ้าไปสายอาจจะร้อนได้นะครับ แต่ปกติถ้าซื้อทัวร์ไป ไกด์จะจัดการเวลาตรงนี้ให้อยู่แล้วครับ เพราะหลังจากล่องแพเสร็จเราต้องเดินทางกลับมาเมืองเซี้ยะเหมินให้ทันรถไฟเที่ยวเย็นพอดี

เริ่มต้นจากอาหารเช้านะครับ ที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอาหารเช้าแนวไหนดี เพราะมันดูไม่เข้ากันเลย และไม่ถูกปากเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เส้นผัดถั่วงอก ผัดผักบุ้ง ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ที่ไม่มีน้ำตาลหรือรสชาติใดใดเลย จืดสนิท !


หลังจากนั้นไม่นานไกด์ก็เรียกพวกเราขึ้นรถ และพากลับไปที่อุทยานอู่อี๋ซานอีกครั้ง เพื่อไปล่องแพ โดยต้องผ่านประตู ตรวจ passport ปกติ แต่ครั้งนี้นั่งรถอ้อมไปอีกทางนึงเพื่อจะไปยังจุดขึ้นแพ ซึ่งทำดีมาก สะอาด และเป็นระเบียบ โดยคิวของกลุ่มผมเริ่มลงแพตั้งแต่ 08.00 น. เช้า พอมาถึงก็ถือว่าคนเยอะเลยทีเดียว เพราะทุกคนอย่างล่องแพตอนเช้าทั้งหมด เนื่องจากอากาศไม่ร้อน และแสงสวยเหมาะกับการถ่ายรูปด้วยครับ





แพค่อนข้างมีขนาดใหญ่นะครับ ยาวประมาณ 5-6 เมตร/ลำ โดยสารได้ 6 คน และต้องแบ่งฝั่งการนั่งให้ดี เพราะอาจจะคว่ำได้ บนแพจะมีเก้าอี้ที่วางไว้เฉย ๆ หมายถึงเลื่อนได้ ซึ่งผมคิดว่าไม่ค่อนปลอดภัยเท่าไหร่ แต่เค้ามีชูชีพให้ทุกคนนะครับ และบังคับใส่ชูชีพเท่านั้น ไม่ใส่ไม่ได้ แนะนำว่าอย่าเอาขาวางไว้ที่พื้นไม่ไผ่ เพราะในระหว่างล่องนั้นน้ำจะเข้ามาท่วมพื้นได้ และทำให้รองเท้าเปียก ผมแนะนำให้เอาเท้าวางไว้บนที่วางเท้าที่เป็นแกนล้อคเก้าอี้ข้างหน้าเอาไว้จะดีกว่านะครับ





แพแต่ละลำจะมีคนช่วยกันถ่อ 2 คน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าแพ คนนึงอยู่ข้างหลังแพ เค้าไม่ใช้วิธีการพายเหมือนเรือนะครับ ใช้การถ่อเอา เลยแอบถ่ายหน้าตาคนถ่อแพมาด้วย ซึ่งเค้าเก่งนะครับ บังคับ ท่อ ใช้แรงไม่รู้วันละกี่เที่ยวแต่ก็คุ้มนะครับ เพราะพอขึ้นแพมาแล้ว ไกด์จะไม่ค่อยพูดอะไรเยอะ เพราะ.. ถ้าเราอยากให้เค้าบรรยายระหว่างทาง เค้าจะเก็บค่าทิปเพิ่มอีกคนละ 20 หยวน/คน ซึ่งทุกคนที่มาก็ยอมจ่ายนะครับ แต่ผมสองคนโชคดีมาก เพราะกรุ๊ปจีนที่มาด้วยเค้าบอกไม่ต้องจ่าย เพราะเค้าคงรู้ว่าผมฟังไม่รู้เรื่อง สรุปลำผมไกด์ได้ไปแค่ 4 คน ผมกับเพื่อนก็นั่งฟังสบาย แต่ถามว่ารู้เรื่องไม่ ไม่รู้ครับ !



จุดนี้เป็นอีกจุดที่สวยมากนะครับ นั่นคือ บริเวณสะพาน ที่วันก่อนหน้านี้ผมมองลงมาแล้วเห็นคนล่องแพอยู่ เป็นอีกจุดที่มีสิ่งก่อสร้างมาผสมเข้ากับธรรมชาติและดูสวยดี บริเวณใต้สะพานนี้ปลาตัวใหญ่ ๆ ว่ายทวนน้ำอยู่หลายสิบตัว



อีก 1 จุดถ่ายรูปที่สำคัญของการล่องแพคือ ภูเขา Jade Woman สัญลักษณ์สำคัญของเมืองอู่อีซาน และคือยอดเขาเดียวกันกับที่ถูกใช้เป็นฉากเบื้องหลังการแสดง 360 องศาที่ผมเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ด้วย สวยงามจนเพิ่มร่วมทริปที่ไปด้วยกันอดใจไม่ไหว ต้องขอไปโพสท่าเป็นคนถ่อเรือ ผมก็อยากลุกไปนะครับ แต่ไม่รู้จะบอกเค้าว่าอะไร เสียใจ T_T



ผมไม่แน่ใจว่าระยะทางทั้งหมดเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็มาจบที่จุดขึ้นจากแพจุดนี้ ซึ่งเป็นอีกจุดที่สวยจริง ๆ ครับ เพราะมีต้นไม้ที่โค้งเข้ามารับกัน


เดินต่อมาจากจุดขึ้นแพนิดนึงก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และพิพิธภัณฑ์ของอู่อีซาน ตรงนี้เหมาะกับการเดินจิบกาแฟ และถ่ายรูปเล่นมากครับ




พูดถึงกาแฟแล้วแอบเจ็บใจนิดนึง เพราะผมเป็นคนไม่กินกาแฟ แต่เดินเข้าไปในร้านกาแฟ แล้วสั่งโกโก้ สิ่งที่ได้คือ โกโก้ปั่น แต่ไม่มีน้ำแข็ง เพราะที่นั่นเค้าไม่นิยมกินน้ำแข็ง หน้าตามันเลยออกมาเหมือนซื้อโกโก้มาแล้วลืมกิน แล้วปล่อยให้ละลายแบบนี้แหละครับ


อีกจุดหนึ่งที่อยู่ในเขตอุทยานอู่อี๋ซานเหมือนกัน คือ ไร่ชา และอุโมงค์ลอดใต้ถนนไปยังจุดชมวิวเขาJade Woman เดินชมวิวขอบหน้าผาด้วย อีก 1 ไฮไลท์คือ รูปปั้นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ริมหน้าผา แต่ผมชอบตรงทางเดินลอดอุโมงค์ใต้ถนนสุดแล้วครับ








หลังจากทัวร์อุทยานจนครบแล้ว ก็ถึงเวลาทานอาหารซึ่งตั้งแต่มาผมกินร้านเดิมตลอดเลย จนมื้อสุดท้ายนี่แหละที่ไกด์พาเปลี่ยนร้านไปกินร้านใหม่ และนี่เป็นอาหารจากไกด์ที่อร่อยที่สุดตั้งแต่มาถึง Wuyishan



หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็เข้าสู่โหมดของฝากแล้วครับ ถ้าใครมาที่อู่อีซาน แล้วไม่ได้ซื้อชากลับบ้านนี่ถือว่ามาไม่ถึงนะครับ เพราะเมืองอู่อีซานก็เป็นเมืองที่โด่งดังเรื่องการปลูกชามากด้วยเช่นกัน ก็ตามสไตล์ทัวร์นะครับ พาแวะดูของฝาก สาธิตวิธีการทำชา และซื้อของที่ระลึกกลับบ้าน



จากนั้นก็พาพวกเราไปส่งที่สถานีรถไฟ Yushidong เพื่อเดินทางกลับเมืองเซี้ยะเหมินอีก 4 ชั่วโมงโดยผมได้รถเที่ยว 17.40 น. ซึ่งจะถึงเมืองเซี้ยะเหมิน ตอนสามทุ่มกว่า ตอนนั้นผมไม่พูดไม่จากับใครแล้วครับ ขึ้นรถไฟขากลับแล้วหลับเลย แต่ก็มีแอบหิวระหว่างทางก็เลยลองสั่งอาหารบนรถไฟมากินกับเพื่อน ราคาโหดนะครับ 75 หยวน/กล่อง รถชาติก็กันหิวได้ในระดับหนึ่งครับ




4 ชั่วโมงผ่านไป ผมก็มาถึงเมืองเซี้ยะเหมิน แบบงัวเงียนิดนึง ก็เลยหยุดถ่ายรูปบรรยากาศภายในสถานีรถไฟมาให้ดูนะครับ นี่ถ้าไม่เห็นกับตา นึกว่าสนามบินนะเนี่ยะ แถมรูปพนักงานงานต้อนรับบนรถไฟมาให้ด้วย ซึ่งพนักงงานต้องรับบนรถไฟของจีนนั้น ก็มีสีชุดที่แตกต่างกันนะครับ เช่น First Class เป็นชุดสีแดง เป็นต้น


ผมเดินทางจากสนามบินเพื่อจะกลับโรงแรมเดิมที่เคยพักด้วยรถ BRT เพราะเมืองเซี้ยะเหมินตอนที่ผมไปนี่เหมือนรถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่เปิดให้ใช้งานนะครับ เห็นเป็นแค่ป้ายสถานีทำไว้รอเฉยๆ  ระบบขนส่งมวลชนที่มีมีแค่ 3 อย่างเท่านั้น ก็คือ BRT, รถเมล์, และรถ Taxi ก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกสำหรับคนที่ตั้งใจนั่งเครื่องบินไปลงที่เมืองอื่น แล้วคิดจะต่อรถขนส่งมวลชนจากสถานีรถไฟเพื่อเข้าเมืองนะครับ (*อัพเดทล่าสุด รถไฟฟ้าใต้ดินจะเปิดให้ใช้บริการได้สิ้นปีนี้ เพราะฉะนั้นใครที่ไปหลังจากผมน่าจะสะดวกสบายขึ้นมากๆเลยทีเดียว)



เหตุการณ์ระทึกขวัญของทริปนี้อยู่ตรงที่การจะขึ้น BRT นั้นจะต้องตรวจสัมภาระ และตรวจกระเป๋าก่อน ปรากฏว่าผมโดนตรวจไม่ให้ผ่าน และพยายามสื่อสารกันว่าเค้าตรวจผมทำไม ทักขำ ทั้งเครียดเพราะผมและเพื่อนพูดกับเค้าไม่รู้เรื่อง เค้าเองก็ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง สรุป น้ำดื่มที่พกขึ้นเพื่อไปดื่มบนรถ BRT นั้น จะต้องผ่านการทดสอบด้วยการให้เจ้าของน้ำนั้นดื่มโชว์ก่อนว่าน้ำนั้นไม่ใช่ยาพิษ !!! เรื่องมันก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ขอต่อที่ภาพบนรถ BRT เลยละกันนะครับ สิ่งที่แปลกอีกอย่างคือ เค้าไม่เปิดไฟบนรถนะครับ เหตุผลไม่รู้ทำไม ?



ไหน ๆ ก็ผิด ก็มั่วมาตลอดทั้งทริปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมทำพลากจนนาทีสุดท้ายคือ การลงจาก BRT ผิดป้าย เพราะตัวหนังสือมันคล้ายกันไปหมด ผมกับเพื่อนก็เลยเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการแวะเดินเล่นในซุปเปอร์มาเก็ตแถวนั้น ซึ่งบรรยากาศเหมือนร้านทุกอย่าง 20 บาทบ้านเรามา






แล้วเริ่มเดินลึกขึ้นเข้าไปในถนนที่ไม่รู้จัก แล้วก็ไปเจอกับร้านขายอุปกรณ์ครัว และเครื่องปรุงร้านนึงลักษณะเหมือนร้านขายของชำที่เมืองไทย สิ่งที่ผมต้องการคือ พริกป่นหมาล่า ผมก็เปิดภาพให้เค้าดู สุดท้ายก็ได้มาครับ



ผมและเพื่อนเจรจาบอกทาง taxi อยู่อีกเกือบ 10 นาที แล้วหอบร่างกลับมา check-in เกือบเที่ยงคืนที่โรงแรมเดิม โชคดีที่เจอพนักงานหน้าเดิม ๆ เลยคุยกันง่ายหน่อย ขอจบวันที่ 4 ด้วยความเหนื่อยล้าจากการปีนเขา เดินทาง และจัดกระเป๋า ทุกคนเข้านอนด้วยความไว เพราะวันรุ่งขึ้นต้องบินกลับประเทศไทยแล้ว !
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่