สำหรับคนที่อยากอ่านของวันที่ 1 และ 2 นะครับ
วันที่ 1
https://ppantip.com/topic/37115732
วันที่ 2
https://ppantip.com/topic/37121694
วันที่สาม .. ได้เจอกันสักที อู่อีซาน (Wuyishan)
ขอย้อนไปที่โจทย์ของการเดินทางมาในทริปนี้นะครับ นั่นคือ การเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติ Wuyishan ซึ่งเป็น 1 ในมรดกโลก และชาวต่างชาติยกย่องว่า ต้องมาให้ได้ครั้งนึงในชีวิต !! นั่นไง .. ผมก็เลยต้องไป
วิธีการเดินทางมาที่ Wuyisahn นั้นทำได้หลายวิธี เท่าที่ผมอ่านมา เช่น นั่งเครื่องบินภายในประเทศไปลงใกล้ ๆ หรือนั่งรถไฟไป สำหรับผมซึ่งเคยมีโอกาสได้นั่งรถไฟหัวจรวดความเร็วสูงของจีน 1 ครั้ง เมื่อตอนเดินทางมาทำงานครั้งก่อน และประทับใจมาก เพราะมันสะดวก เร็ว สะอาด และได้ดูวิวเมืองสวย ๆ ด้วย จึง.. ตัดสินใจเดินทางโดยรถไฟ
การจองตั๋วรถไฟที่จีนสำหรับนักท่องเที่ยวนั้น สามารถทำได้หลายวิธีนะครับ ข้อมูลเพิ่มเติมแนะนำว่า Google ดีกว่าครับ น่าจะบอกได้ละเอียดกว่าผม แต่ที่ผมแนะนำคือ จองผ่านเวป Ctrip.com นั่นเอง เพราะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
แต่สำหรับผม และเพื่อน การที่เราจะไปถึงหุบเขา Wuyishan ให้ได้ โดยพูดภาษาจีนไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียวนั้นมันยากมาก ก็เลยตัดสินใจซื้อแพคเกจทัวร์มาก่อนเลยโดยอีเมล์ให้ที่โรงแรมเป็นคนประสานติดต่อให้ ซึ่งแพคเกจจะรวมราคาค่าที่พัก อาหาร ค่าตั๋วรถไฟไป-กลับ ค่าเข้าอุทยานฯ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมด ยกเว้น ค่ากินนอกเหนือจากอาหารที่ทางทัวร์เตรียมไว้ให้ และค่าซื้อของฝาก ของที่ระลึกของเรา แค่นั้นครับ
มาเล่าเรื่องการเดินทางกันครับ จากโรงแรม ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเดินทางไปที่สถานีรถไฟ Xiamen Railway Station ซึ่งมีสองฝั่งนะครับ ด้วยความที่เมืองใหญ่มีสถานีฝั่งเหนือ ฝั่งใต้ ฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก ซึ่งความแตกต่างในแต่ละฝั่งนั้น ก็เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่มาก แต่เค้าทำรถไฟความเร็วสูงให้เข้าถึงทุกเมืองทั้งหมด ดังนั้น ถ้าเราเดินทางจากเมืองหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่ง เราจำเป็นต้องรู้ว่าเมืองที่เราจะไปนั้นอยู่ส่วนไหนของประเทศ ยกตัวอย่าง ผมเดินทางจากสถานี Xiamenbei (อ่านว่า เชียเหมินเป่ย ผมฟังเค้าประกาศที่สถานี) ไปปลายทาง Wuyishandong (อู่อีซานดง ขออ่านประมาณนี้นะครับ) ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองเซี้ยะเหมิน ดูแผนที่ประกอบละกันนะครับ เครดิตภาพตามลายน้ำเลยครับ
ผมตื่นตี 5 แต่กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ และทำ check-out ออกจากโรงแรม 2 วัน เพราะเดี๋ยวต้องกลับมานอนโรงแรมเดิมอีกครั้งในคืนสุดท้ายของทริป ก็ได้ออกจากหน้าโรงแรมตอนหกโมงเลท ๆ นิดหน่อย จากโรงแรมไปสถานีรถไฟ Xiamenbei ผมใช้ Taxi นะครับ เพราะคิดว่าง่ายที่สุดแล้ว วิธีการเรียกก็ง่ายมากครับ เอาชื่อให้เค้าดู แล้วก็บอก โก ๆ ๆ แค่นั้น ก็ไปแล้ว
เดินทางประมาณ 30 - 40 นาที เพราะค่อนข้างไกล ต้องข้ามทะเล ข้ามสะพาน ผ่านเมืองเก่า เมืองใหม่ ย่านสำคัญ ๆ ของเซี้ยะเหมิน จนในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟ Xiamenbei ซึ่งเป็นสถานีที่ใหม่ และใหญ่ที่สุดของเมืองเซี้ยะเหมิน ตอนที่เห็นครั้งแรก ร้องว้าววว ดังมาก ! เพราะนึกว่าสนามบิน นี่สถานีรถไฟนะครับทุกคน ...
มาถึงผมก็ Wechat ไปหาเจ้าหน้าที่บริษัทฯ ทัวร์ก่อนเลย ว่าตอนนี้เราถึงแล้วนะ อยู่ตรงนั้น ตรงนี้ โชคดีที่เค้าพอเข้าใจภาษาอังกฤษนะครับ เมื่อเจอเจ้าหน้าที่ก็รับตั๋วรถไฟ และเตรียมเข้าไปในสถานี และแท่น แทน แท้นนน ! นี่ภายในสถานีรถไฟนะครับ ใหญ่โต เย็นสบาย กว้างขวาง ดูทันสมัย และปลอดภัยมาก มีระบบรักษาความปลอดภัยประหนึ่งว่าเป็นสนามบิน ต้องตรวจสัมภาระ ตรวจเช็ค passport ก่อนเข้าในที่รับรองผู้โดยสาย และด้วยความที่เป็นรถไฟเที่ยวเช้ามาก คนเลยค่อนข้างเยอะพอสมควร
ผมตื่นมา ไม่ทันได้กินข้าวที่โรงแรมเพราะต้องรีบกลัวมาขึ้นรถไฟไม่ทัน ก็เลยต้องหาอะไรรองท้องสักหน่อยที่สถานีรถไฟ เห็นร้านนี้ดูเข้าตาที่สุดแล้ว เพราะไม่มี fast food เช่น McDonald เหมือนกับสนามบิน และสิ่งที่ผมสั่งไปนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ก็ได้แต่ชี้ ๆ ภาพไป สักพักพนักงานเรียกไปรับอาหารที่หน้าเคาเตอร์ และนี่คือ อาหารที่ผมกินในเช้าวันนั้น มันคือ ก๋วยเตี๋ยวสาหร่ายไข่ดาว (มีคนบอกว่ามันคืออาหารเช้าของไต้หวัน) อันนี้จริงมั้ย ? ไม่ทราบนะครับ
รสชาติโดยรวมไม่แย่เหมือนหน้าตา อร่อยดี หรือหิวก็ไม่รู้ ราคา xx บาท ถือว่า ก็ตอบโจทย์ อิ่มเลยทีเดียว ผมชอบอาหารที่จีนอย่างนึงนะ คือ เค้าให้อาหารคุ้มกับราคามาก ราคาต่อจานอาจจะสูงกว่าเมืองไทย แต่กินอิ่มแบบแบ่งกัน 2 คนได้เลย
หลังจากนั้น ไม่นาน ผมเดินถ่ายนั่น ถ่ายนี่ในสนามบิน ได้เวลาเตรียมตัวขึ้นรถไฟ โดยอ่านจากป้ายเท่านั้นนะครับ ความสนุกคือ บางขบวนไม่มีภาษาอังกฤษ ก็ต้องดูเวลา ดูตัวหนังสือ ดูความใกล้เคียงเอา ตลกดี !
พอตรวจตั๋วเสร็จปุ๊ป ก็ลงมาที่ชานชาลาแล้วครับ อิจฉา ! ชานชาลาสวยจัง และที่จอดรถอยู่นั้นเป็นรถไฟขบวนอื่นนะครับ ไม่ใช่ขบวนที่ผมจะไป เค้ามาถึงสถานีนี้พอดี ซึ่งสถานี Xiamenbei เป็นสถานีใหญ่ รถไฟเข้าชานชาลาได้พร้อมกันประมาณ 5 ขบวน และเป็นเหมือน hub ทางใต้ของจีนที่แยกไปเมืองต่าง ๆ ผมมารอไม่เกิน 10 นาที รถไฟก็มาครับ ตรงเวลามาก เวลาบนหน้าตั๋ว 08.00 น. รถไฟมาถึง 07.59 น. และออกตอน 08.00 น. พอดีครับ ! เชื่อว่าคงเป็นระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่คำนวณมาเป็นอย่างดี อยากให้ รฟท. เป็นแบบนี้บ้าง ไปไหนมาไหนจะได้นั่งรถไฟแทนเครื่องบิน 555
รถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟหัวจรวดที่จีนมีทุกอย่างที่รถไฟบ้านเราไม่มี ทั้งความหรูหรา และความรู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่บนเครื่องบินมากกว่ารถไฟ เบาะนั่งสบาย ปรับได้ มีถาดวางรองอาหารแบบพับเก็บได้ มีม่านหน้าต่างบังแดด พร้อมกระจกขนาดใหญ่ และมีสำคัญมีปลั๊กไฟครับคุณผู้ชม !! อ่อ ผมลืมบอก ผมนั่งรถไฟชั้นธรรมดานะครับ เบาะก็จะเป็นแบบ 2-3 ซึ่งครั้งก่อนผมเคยนั่งจากปักกิ่งมาเมืองนานจิง เป็นแบบ VIP เบาะแดง ความรู้สึกแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ความเป็นส่วนตัวของ VIP จะมากกว่าครับ เพราะคนไม่เยอะเท่าชั้นประหยัด ราคาตั๋วรถไฟชั้น VIP ผมจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แต่ชั้นประหยัดราคา 188 หยวน/เที่ยวนะครับ
เอาภาพบรรยากาศสองข้างทางมาให้ชมนะครับ ประเทศจีนถือเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติสวยงามมาก และยังคงสภาพป่าไว้ได้เยอะมาก วิวสองข้างทางก็สวยอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ผ่านทั้งเมืองอุตสาหกรรม ป่า แม่น้ำ ทะเล เป็นการนั่งรถไฟที่เพลินมาก อีกอย่างที่นี่เค้าเจาะอุโมงค์เก่งมากนะครับ คือภูเขาที่ขวางทางรถไฟ เค้าเจาะอุโมงค์ลอดผ่านหมดเลย บางอุโมงค์ก็ยาวหลายกิโลเมตร นับร้อยอุโมงค์ตลอดการเดินทาง
เนื่องจากต้องเดินทางบนรถไฟนานกว่า 4 ชั่วโมง ผมก็เลยขั้นเวลาและไม่รู้จะทำอะไรด้วยการเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานก็แล้ว(เพราะตรงกับวันจันทร์พอดี แอบเคลียงานนิดหน่อย) และมาจบทีดูเมนเทอร์ลูกเกดในรายการ The Face Men จบไป 1 Ep. ก็ยังไม่ถึงสักที
สุดท้ายเกือบ 4 ชั่วโมงผ่านไป ผมก็มาถึงสถานี Wuyishadong ในที่สุด บรรยากาศโดยรอบเหมือนสถานีรถไฟในต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ดูสะอาด และเป็นระบบระเบียบมากกว่า
สังเกตตรงหัวต่อแต่ละขบวนนะครับ จะเป็นหัวจรวดแม่เหล็กต่อกัน นั่นหมายถึง ถ้าเราบังเอิญขึ้นผิดโบกี้ เราก็ไม่สามารถเดินไปอีกโบ้กี้ข้างหลัง หรือข้างหน้าได้ เพราะมันไม่มีทางเชื่อมนะครับ
ออกจากสถานีรถไฟมา ผมก็เจอกับไกด์ และลูกทัวร์ท่านอื่นประมาณ 8 คนที่รอผมอยู่ ซึ่งเป็นคนจีนทั้งหมด และเค้าเองก็สื่อสารกับผมไม่ได้ พูดภาษาอังกฤษได้แค่ ไม่เกิน 3 คำ เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เลย ก็ได้แต่เก็บตัวเงียบ ๆ กับเพื่อนสองคน และถ่ายรูปรอบ ๆ ส่วนเค้าจะพาไปไหน อันนี้ก็แล้วแต่ไกด์แล้วแหละครับ จากนั้นเราก็เดินทางจากสถานีรถไฟ ไปอุทยานอู่อีซานด้วยรถตู้ ที่มีแต่อาจุมม่า และคุณลุงชาวจีนเต็มรถ และทั้งหมดนี้ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย และพวกเค้าก็ไม่รู้ด้วยว่าผมเป็นคนประเทศอะไร หรือมาจากไหน ตอนนั้นใจนึงก็ตื่นเต้น อีกใจนึงก็กลัวนะครับ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ไหลตามเค้าไปละกัน
จากสถานีรถไฟ ขับเข้ามาในตัวเมืองอู่อีซาน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สิ่งแรกที่ทัวร์พาเราไปนั่นก็คือ กินข้าวครับ โดยเป็นการกินที่นั่งล้อมวงกับอาจุมม่า และอาเฮียทั้งโต๊ะ ทุกคนจับจ้องมาที่ผม และเพื่อน และงง ๆ ว่าเราสองคนเป็นคนเผ่าไหน พูดภาษาอะไรกัน บรรยากาศ มันก็จะเงียบ ๆ หน่อย ดังภาพครับ
เรื่องตลก แปลกประหลาด และผมเกือบอับอายก็คือ เห็นกระบอกน้ำนี่มั้ยครับ ? ผมก็นึกว่าน้ำชา เทใส่ถ้วยกำลังจะซดเลย หันไปเห็นลุงคนข้าง ๆ เค้าเอาล้างชาม แล้วเททิ้ง ก็เพิ่มถึงบางอ้อทีหลังว่า เค้าเอาไว้ล้างชาม ไม่ใช่เอาไว้กิน คือ มันคงเป็นกากของน้ำชา หรืออะไรสักอย่าง แต่เป็นธรรมเนียมของคนจีนตอนใต้ว่าก่อนกินข้าว ต้องล้างจานด้วยน้ำอันนี้ก่อนทุกครั้ง
ส่วนเมนูอาหารไม่ขอบรรยายเยอะนะครับ ตามภาพ อร่อยเกือบทุกเมนูโดยเฉพาะผัก ซึ่งคนจีนเค้าไม่ค่อยกินหมู กินเนื้อกันนะครับ เค้าเน้นกินผักกัน ผมกับเพื่อนเลยฟาดเรียบ เพราะเราเป็นคนไทย 55555 วิธีการกินอาหารแบบกรุ๊ปทัวร์คือ อย่าช้า ไม่งั้นหมด ! กินไว้ก่อน ในสิ่งที่กินได้ เพราะไม่รู้ว่ามื้อหน้าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
หลังกินข้าวร่วมโต๊ะแชร์เรียบร้อย ไกด์ก็ให้ผมกับเพื่อนทิ้งกระเป๋าลากใบใหญ่ไว้ที่ร้าน คนอื่น ๆ ก็ต้องทิ้งด้วยเหมือนกันนะครับ แล้วเตรียมขึ้นรถเพราะเราจะไปภูเขากันแล้ว สิ่งที่ผมตกใจคือ เพิ่งกินข้าวอิ่ม และแดดร้อนเปรี้ยง แต่ต้องไปปีนเขา ! แต่ทำไงได้ กลับไม่ได้ งอแง ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ
จากร้านอาหาร ไม่เกิน 5 นาที เราก็มาถึงสำนักงานของอุทยาน ใหญ่โตอีกแล้วครับที่นี่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวอุทยานต้องมาดรอปตรงนี้ และมีจุดอื่น ๆ จากฝั่งอื่น ๆ ของอุทยานด้วย แต่ผมก็ไม่ค่อยชัวร์ตรงนี้เท่าไหร่นะ เหมือนเดิมครับ ทำการบ้านกับ Google ก่อนมานะครับ
พูดจีนไม่ได้สักคำ แต่.. ลากกระเป๋าเที่ยวจีนเองได้ตั้ง 5 วัน !! ( รีวิวยาวเหยียดละเอียดยิบ วันที่ 3 )
วันที่ 1 https://ppantip.com/topic/37115732
วันที่ 2 https://ppantip.com/topic/37121694
วันที่สาม .. ได้เจอกันสักที อู่อีซาน (Wuyishan)
ขอย้อนไปที่โจทย์ของการเดินทางมาในทริปนี้นะครับ นั่นคือ การเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติ Wuyishan ซึ่งเป็น 1 ในมรดกโลก และชาวต่างชาติยกย่องว่า ต้องมาให้ได้ครั้งนึงในชีวิต !! นั่นไง .. ผมก็เลยต้องไป
วิธีการเดินทางมาที่ Wuyisahn นั้นทำได้หลายวิธี เท่าที่ผมอ่านมา เช่น นั่งเครื่องบินภายในประเทศไปลงใกล้ ๆ หรือนั่งรถไฟไป สำหรับผมซึ่งเคยมีโอกาสได้นั่งรถไฟหัวจรวดความเร็วสูงของจีน 1 ครั้ง เมื่อตอนเดินทางมาทำงานครั้งก่อน และประทับใจมาก เพราะมันสะดวก เร็ว สะอาด และได้ดูวิวเมืองสวย ๆ ด้วย จึง.. ตัดสินใจเดินทางโดยรถไฟ
การจองตั๋วรถไฟที่จีนสำหรับนักท่องเที่ยวนั้น สามารถทำได้หลายวิธีนะครับ ข้อมูลเพิ่มเติมแนะนำว่า Google ดีกว่าครับ น่าจะบอกได้ละเอียดกว่าผม แต่ที่ผมแนะนำคือ จองผ่านเวป Ctrip.com นั่นเอง เพราะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
แต่สำหรับผม และเพื่อน การที่เราจะไปถึงหุบเขา Wuyishan ให้ได้ โดยพูดภาษาจีนไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียวนั้นมันยากมาก ก็เลยตัดสินใจซื้อแพคเกจทัวร์มาก่อนเลยโดยอีเมล์ให้ที่โรงแรมเป็นคนประสานติดต่อให้ ซึ่งแพคเกจจะรวมราคาค่าที่พัก อาหาร ค่าตั๋วรถไฟไป-กลับ ค่าเข้าอุทยานฯ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมด ยกเว้น ค่ากินนอกเหนือจากอาหารที่ทางทัวร์เตรียมไว้ให้ และค่าซื้อของฝาก ของที่ระลึกของเรา แค่นั้นครับ
มาเล่าเรื่องการเดินทางกันครับ จากโรงแรม ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเดินทางไปที่สถานีรถไฟ Xiamen Railway Station ซึ่งมีสองฝั่งนะครับ ด้วยความที่เมืองใหญ่มีสถานีฝั่งเหนือ ฝั่งใต้ ฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก ซึ่งความแตกต่างในแต่ละฝั่งนั้น ก็เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่มาก แต่เค้าทำรถไฟความเร็วสูงให้เข้าถึงทุกเมืองทั้งหมด ดังนั้น ถ้าเราเดินทางจากเมืองหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่ง เราจำเป็นต้องรู้ว่าเมืองที่เราจะไปนั้นอยู่ส่วนไหนของประเทศ ยกตัวอย่าง ผมเดินทางจากสถานี Xiamenbei (อ่านว่า เชียเหมินเป่ย ผมฟังเค้าประกาศที่สถานี) ไปปลายทาง Wuyishandong (อู่อีซานดง ขออ่านประมาณนี้นะครับ) ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองเซี้ยะเหมิน ดูแผนที่ประกอบละกันนะครับ เครดิตภาพตามลายน้ำเลยครับ
ผมตื่นตี 5 แต่กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ และทำ check-out ออกจากโรงแรม 2 วัน เพราะเดี๋ยวต้องกลับมานอนโรงแรมเดิมอีกครั้งในคืนสุดท้ายของทริป ก็ได้ออกจากหน้าโรงแรมตอนหกโมงเลท ๆ นิดหน่อย จากโรงแรมไปสถานีรถไฟ Xiamenbei ผมใช้ Taxi นะครับ เพราะคิดว่าง่ายที่สุดแล้ว วิธีการเรียกก็ง่ายมากครับ เอาชื่อให้เค้าดู แล้วก็บอก โก ๆ ๆ แค่นั้น ก็ไปแล้ว
เดินทางประมาณ 30 - 40 นาที เพราะค่อนข้างไกล ต้องข้ามทะเล ข้ามสะพาน ผ่านเมืองเก่า เมืองใหม่ ย่านสำคัญ ๆ ของเซี้ยะเหมิน จนในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟ Xiamenbei ซึ่งเป็นสถานีที่ใหม่ และใหญ่ที่สุดของเมืองเซี้ยะเหมิน ตอนที่เห็นครั้งแรก ร้องว้าววว ดังมาก ! เพราะนึกว่าสนามบิน นี่สถานีรถไฟนะครับทุกคน ...
มาถึงผมก็ Wechat ไปหาเจ้าหน้าที่บริษัทฯ ทัวร์ก่อนเลย ว่าตอนนี้เราถึงแล้วนะ อยู่ตรงนั้น ตรงนี้ โชคดีที่เค้าพอเข้าใจภาษาอังกฤษนะครับ เมื่อเจอเจ้าหน้าที่ก็รับตั๋วรถไฟ และเตรียมเข้าไปในสถานี และแท่น แทน แท้นนน ! นี่ภายในสถานีรถไฟนะครับ ใหญ่โต เย็นสบาย กว้างขวาง ดูทันสมัย และปลอดภัยมาก มีระบบรักษาความปลอดภัยประหนึ่งว่าเป็นสนามบิน ต้องตรวจสัมภาระ ตรวจเช็ค passport ก่อนเข้าในที่รับรองผู้โดยสาย และด้วยความที่เป็นรถไฟเที่ยวเช้ามาก คนเลยค่อนข้างเยอะพอสมควร
ผมตื่นมา ไม่ทันได้กินข้าวที่โรงแรมเพราะต้องรีบกลัวมาขึ้นรถไฟไม่ทัน ก็เลยต้องหาอะไรรองท้องสักหน่อยที่สถานีรถไฟ เห็นร้านนี้ดูเข้าตาที่สุดแล้ว เพราะไม่มี fast food เช่น McDonald เหมือนกับสนามบิน และสิ่งที่ผมสั่งไปนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ก็ได้แต่ชี้ ๆ ภาพไป สักพักพนักงานเรียกไปรับอาหารที่หน้าเคาเตอร์ และนี่คือ อาหารที่ผมกินในเช้าวันนั้น มันคือ ก๋วยเตี๋ยวสาหร่ายไข่ดาว (มีคนบอกว่ามันคืออาหารเช้าของไต้หวัน) อันนี้จริงมั้ย ? ไม่ทราบนะครับ
รสชาติโดยรวมไม่แย่เหมือนหน้าตา อร่อยดี หรือหิวก็ไม่รู้ ราคา xx บาท ถือว่า ก็ตอบโจทย์ อิ่มเลยทีเดียว ผมชอบอาหารที่จีนอย่างนึงนะ คือ เค้าให้อาหารคุ้มกับราคามาก ราคาต่อจานอาจจะสูงกว่าเมืองไทย แต่กินอิ่มแบบแบ่งกัน 2 คนได้เลย
หลังจากนั้น ไม่นาน ผมเดินถ่ายนั่น ถ่ายนี่ในสนามบิน ได้เวลาเตรียมตัวขึ้นรถไฟ โดยอ่านจากป้ายเท่านั้นนะครับ ความสนุกคือ บางขบวนไม่มีภาษาอังกฤษ ก็ต้องดูเวลา ดูตัวหนังสือ ดูความใกล้เคียงเอา ตลกดี !
พอตรวจตั๋วเสร็จปุ๊ป ก็ลงมาที่ชานชาลาแล้วครับ อิจฉา ! ชานชาลาสวยจัง และที่จอดรถอยู่นั้นเป็นรถไฟขบวนอื่นนะครับ ไม่ใช่ขบวนที่ผมจะไป เค้ามาถึงสถานีนี้พอดี ซึ่งสถานี Xiamenbei เป็นสถานีใหญ่ รถไฟเข้าชานชาลาได้พร้อมกันประมาณ 5 ขบวน และเป็นเหมือน hub ทางใต้ของจีนที่แยกไปเมืองต่าง ๆ ผมมารอไม่เกิน 10 นาที รถไฟก็มาครับ ตรงเวลามาก เวลาบนหน้าตั๋ว 08.00 น. รถไฟมาถึง 07.59 น. และออกตอน 08.00 น. พอดีครับ ! เชื่อว่าคงเป็นระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่คำนวณมาเป็นอย่างดี อยากให้ รฟท. เป็นแบบนี้บ้าง ไปไหนมาไหนจะได้นั่งรถไฟแทนเครื่องบิน 555
รถไฟความเร็วสูง หรือรถไฟหัวจรวดที่จีนมีทุกอย่างที่รถไฟบ้านเราไม่มี ทั้งความหรูหรา และความรู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่บนเครื่องบินมากกว่ารถไฟ เบาะนั่งสบาย ปรับได้ มีถาดวางรองอาหารแบบพับเก็บได้ มีม่านหน้าต่างบังแดด พร้อมกระจกขนาดใหญ่ และมีสำคัญมีปลั๊กไฟครับคุณผู้ชม !! อ่อ ผมลืมบอก ผมนั่งรถไฟชั้นธรรมดานะครับ เบาะก็จะเป็นแบบ 2-3 ซึ่งครั้งก่อนผมเคยนั่งจากปักกิ่งมาเมืองนานจิง เป็นแบบ VIP เบาะแดง ความรู้สึกแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ความเป็นส่วนตัวของ VIP จะมากกว่าครับ เพราะคนไม่เยอะเท่าชั้นประหยัด ราคาตั๋วรถไฟชั้น VIP ผมจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ แต่ชั้นประหยัดราคา 188 หยวน/เที่ยวนะครับ
เอาภาพบรรยากาศสองข้างทางมาให้ชมนะครับ ประเทศจีนถือเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติสวยงามมาก และยังคงสภาพป่าไว้ได้เยอะมาก วิวสองข้างทางก็สวยอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ผ่านทั้งเมืองอุตสาหกรรม ป่า แม่น้ำ ทะเล เป็นการนั่งรถไฟที่เพลินมาก อีกอย่างที่นี่เค้าเจาะอุโมงค์เก่งมากนะครับ คือภูเขาที่ขวางทางรถไฟ เค้าเจาะอุโมงค์ลอดผ่านหมดเลย บางอุโมงค์ก็ยาวหลายกิโลเมตร นับร้อยอุโมงค์ตลอดการเดินทาง
เนื่องจากต้องเดินทางบนรถไฟนานกว่า 4 ชั่วโมง ผมก็เลยขั้นเวลาและไม่รู้จะทำอะไรด้วยการเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานก็แล้ว(เพราะตรงกับวันจันทร์พอดี แอบเคลียงานนิดหน่อย) และมาจบทีดูเมนเทอร์ลูกเกดในรายการ The Face Men จบไป 1 Ep. ก็ยังไม่ถึงสักที
สุดท้ายเกือบ 4 ชั่วโมงผ่านไป ผมก็มาถึงสถานี Wuyishadong ในที่สุด บรรยากาศโดยรอบเหมือนสถานีรถไฟในต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ดูสะอาด และเป็นระบบระเบียบมากกว่า
สังเกตตรงหัวต่อแต่ละขบวนนะครับ จะเป็นหัวจรวดแม่เหล็กต่อกัน นั่นหมายถึง ถ้าเราบังเอิญขึ้นผิดโบกี้ เราก็ไม่สามารถเดินไปอีกโบ้กี้ข้างหลัง หรือข้างหน้าได้ เพราะมันไม่มีทางเชื่อมนะครับ
ออกจากสถานีรถไฟมา ผมก็เจอกับไกด์ และลูกทัวร์ท่านอื่นประมาณ 8 คนที่รอผมอยู่ ซึ่งเป็นคนจีนทั้งหมด และเค้าเองก็สื่อสารกับผมไม่ได้ พูดภาษาอังกฤษได้แค่ ไม่เกิน 3 คำ เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เลย ก็ได้แต่เก็บตัวเงียบ ๆ กับเพื่อนสองคน และถ่ายรูปรอบ ๆ ส่วนเค้าจะพาไปไหน อันนี้ก็แล้วแต่ไกด์แล้วแหละครับ จากนั้นเราก็เดินทางจากสถานีรถไฟ ไปอุทยานอู่อีซานด้วยรถตู้ ที่มีแต่อาจุมม่า และคุณลุงชาวจีนเต็มรถ และทั้งหมดนี้ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย และพวกเค้าก็ไม่รู้ด้วยว่าผมเป็นคนประเทศอะไร หรือมาจากไหน ตอนนั้นใจนึงก็ตื่นเต้น อีกใจนึงก็กลัวนะครับ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ไหลตามเค้าไปละกัน
จากสถานีรถไฟ ขับเข้ามาในตัวเมืองอู่อีซาน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สิ่งแรกที่ทัวร์พาเราไปนั่นก็คือ กินข้าวครับ โดยเป็นการกินที่นั่งล้อมวงกับอาจุมม่า และอาเฮียทั้งโต๊ะ ทุกคนจับจ้องมาที่ผม และเพื่อน และงง ๆ ว่าเราสองคนเป็นคนเผ่าไหน พูดภาษาอะไรกัน บรรยากาศ มันก็จะเงียบ ๆ หน่อย ดังภาพครับ
เรื่องตลก แปลกประหลาด และผมเกือบอับอายก็คือ เห็นกระบอกน้ำนี่มั้ยครับ ? ผมก็นึกว่าน้ำชา เทใส่ถ้วยกำลังจะซดเลย หันไปเห็นลุงคนข้าง ๆ เค้าเอาล้างชาม แล้วเททิ้ง ก็เพิ่มถึงบางอ้อทีหลังว่า เค้าเอาไว้ล้างชาม ไม่ใช่เอาไว้กิน คือ มันคงเป็นกากของน้ำชา หรืออะไรสักอย่าง แต่เป็นธรรมเนียมของคนจีนตอนใต้ว่าก่อนกินข้าว ต้องล้างจานด้วยน้ำอันนี้ก่อนทุกครั้ง
ส่วนเมนูอาหารไม่ขอบรรยายเยอะนะครับ ตามภาพ อร่อยเกือบทุกเมนูโดยเฉพาะผัก ซึ่งคนจีนเค้าไม่ค่อยกินหมู กินเนื้อกันนะครับ เค้าเน้นกินผักกัน ผมกับเพื่อนเลยฟาดเรียบ เพราะเราเป็นคนไทย 55555 วิธีการกินอาหารแบบกรุ๊ปทัวร์คือ อย่าช้า ไม่งั้นหมด ! กินไว้ก่อน ในสิ่งที่กินได้ เพราะไม่รู้ว่ามื้อหน้าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
หลังกินข้าวร่วมโต๊ะแชร์เรียบร้อย ไกด์ก็ให้ผมกับเพื่อนทิ้งกระเป๋าลากใบใหญ่ไว้ที่ร้าน คนอื่น ๆ ก็ต้องทิ้งด้วยเหมือนกันนะครับ แล้วเตรียมขึ้นรถเพราะเราจะไปภูเขากันแล้ว สิ่งที่ผมตกใจคือ เพิ่งกินข้าวอิ่ม และแดดร้อนเปรี้ยง แต่ต้องไปปีนเขา ! แต่ทำไงได้ กลับไม่ได้ งอแง ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ
จากร้านอาหาร ไม่เกิน 5 นาที เราก็มาถึงสำนักงานของอุทยาน ใหญ่โตอีกแล้วครับที่นี่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวอุทยานต้องมาดรอปตรงนี้ และมีจุดอื่น ๆ จากฝั่งอื่น ๆ ของอุทยานด้วย แต่ผมก็ไม่ค่อยชัวร์ตรงนี้เท่าไหร่นะ เหมือนเดิมครับ ทำการบ้านกับ Google ก่อนมานะครับ