อีกหนึ่งคำถามจากเด็กขี้สงสัยอีกเช่นเคย ที่ยึดถือตามคำสอนของคุณครูที่บอกว่า "ถ้าสงสัยอะไรควรถาม"
กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดนอกจากความสงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ร้ายหรือว่ากล่าวผู้ใด หรือกลุ่มใด และไม่ได้เหมารวมทั้งหมด ความเหมือนหรือความสอดคล้องกับเหตุการณ์อื่นใดคือความบังเอิญเท่านั้น
เนื่องจากดิฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นผู้ชาย ซึ่งสนิทสนมกันมานานหลายปีแล้ว ปกติเขาเป็นคนซื่อตรง พูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่เคยปิดบังเรื่องอะไร อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกจิตตก และต้องการระบายความทุกข์ใจ เขาจึงเข้ามาเล่าเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาดังนี้
ในสมัยก่อนที่เขาเป็นเด็กเขาถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตและมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่ชั้น ป.5 ถึง ม.3 (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "เด็กหอ") เขาสารภาพกับดิฉันว่าโดยปกติสมัยที่เขาอยู่กับครอบครัวเขาเป็นเด็กที่ดีและซื่อมากๆ และไม่เคยกระทำความผิดใดๆ แต่เมื่อในขณะที่เขาอยู่ในโรงเรียนประจำเขาได้กระทำความผิดร้ายแรงเยอะมาก ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเสียใจมาจนทุกวันนี้
สภาพสังคม และชีวิตในโรงเรียนประจำแห่งนั้น (จากปากคำบอกเล่าของเขา - ขอย้ำว่าไม่ได้เหมารวมทุกที่)
1. เรือนนอนมีลักษณะคล้ายๆของค่ายทหาร นอนห้องรวม อายบน้ำห้องรวม กินโรงอาหารรวม
2. การใช้ชีวิตทุกอย่างต้องดำเนินไปตามระเบียบวินัยที่เข้มงวด กิน, นอน, เล่น, พร้อมๆกันอย่างเป็นเวลา ก่อนจะไปไหนต้องรวมแถว และอื่นๆ
3. ครูผู้คุมหอมีห้องพักต่างหากไม่รวมกับเด็ก
4. เด็กหอมีการตั้งตัวเองเป็นแก๊งหรือกลุ่มย่อยๆและมีเด็กที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่มเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ทุกคนในกลุ่มยอมทำตามคำสั่ง (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "หัวหน้า" กับ "ลิ่วล้อ") ซึ่งเป็นการตั้งขึ้นมากันเองโดยครูไม่ได้มีส่วนร่วม เด็กที่อ่อนแอจะพากันไปเข้าเป็นลิ่วล้อติดตามหัวหน้าคนใดคนหนึ่งเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง เพื่อกลุ่มอื่นๆจะได้ไม่มาทำร้ายหรือรังแก เด็กที่อ่อนแอและไม่มีกลุ่มมักถูกเอารัดเอาเปรียบ, รีดไถ, โดนรังแกต่างๆนา การเข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงสำคัญมากต่อสวัสดิภาพ
5. แต่ก็มีบางครั้งที่หัวหน้าทำร้ายลิ่วล้อของตัวเองเมื่อไม่พอใจ
6. การทำร้ายหรือการข่มเหงที่ว่านี้ได้แก่ ต่อย, เตะ, กระทืบ, ตบหัว, รีดไถเงินหรือขนม, บังคับให้ดื่มปัสวะสดๆเป็นแก้วๆของหัวหน้า ซึ่งมีให้เห็นทุกวันจนเป็นสิ่งที่ทุกคนชินตา และไม่มีใครกล้าฟ้องครูเพราะหลังจากนั้นจะโดนหนักกว่าเดิม
7. มีการร่วมเพศระหว่างเด็กชายกับเด็กชายเป็นจำนวนมาก และจนเป็นเรื่องธรรมดาในนั้น
8. มีการมั่วสุมสูบบุหรี่ และกัญชาภายในเรือนนอน บางครั้งมีการลักลอบสุราเข้ามาด้วย แต่ที่พบบ่อยคือบุหรี่
9. มีการลักขโมยของและเงินกันเองในหมู่เด็กหอ โดยการงัดตู้, เลื่อยกุญแจ, ถอดรหัส, ขโมยลูกกุญแจ ฯลฯ
10. มีการนัดแนะกันไปปีนห้องน้ำแอบดูครูผู้หญิงอาบน้ำ
11. มีการนัดแนะกันปีนรั้วออกไปหนีเที่ยว
12. มีการดมกาวและสารระเหยภายในโรงเรียน
เพื่อนดิฉันคนนี้เล่าให้ฟังอีกว่าเด็กหอส่วนใหญ่ที่นั่นล้วนแต่เป็นลูกคนรวยหรือคนใหญ่คนโตที่มาจากทั่วทุกจังหวัด เพราะค่าเทอมแพงมาก คนจนๆหรือคนชั้นกลางทั่วๆไปคงไม่สามารถจ่ายได้ และแน่นอนบรรดาผู้ปกครองหรือพ่อแม่คงไม่มีวันรู้ว่าลูกของตัวเองเข้ามาเป็นใครและมีชีวิตอย่างไรในนั้น
เขายอมรับว่าตัวของเขาเองก็ได้กระทำความผิดตามข้อต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นหลายข้อที่ยังคงรู้สึกเสียใจมาจวบจนทุกวันนี้ และคิดว่าถ้าเขามีลูกจะไม่มีวันส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ หรือฝากคนอื่นเลี้ยง (เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ) และเขาได้เพียงแต่หวังว่าขอให้รุ่นของเขาเป็นรุ่นสุดท้ายที่เจอสภาพชีวิตแบบนั้นในโรงเรียน
จริงหรือคะ ที่เด็กๆเมื่ออยู่ไกลจากครอบครัวแล้วจะเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ขนาดนั้น ?
จริงหรือที่เด็กวัยรุ่นเมื่ออยู่กับเพื่อนจะมีนิสัยไม่เหมือนกับตอนอยู่กับครอบครัว เหมือนเป็นคนละคน
กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดนอกจากความสงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ร้ายหรือว่ากล่าวผู้ใด หรือกลุ่มใด และไม่ได้เหมารวมทั้งหมด ความเหมือนหรือความสอดคล้องกับเหตุการณ์อื่นใดคือความบังเอิญเท่านั้น
เนื่องจากดิฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นผู้ชาย ซึ่งสนิทสนมกันมานานหลายปีแล้ว ปกติเขาเป็นคนซื่อตรง พูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่เคยปิดบังเรื่องอะไร อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกจิตตก และต้องการระบายความทุกข์ใจ เขาจึงเข้ามาเล่าเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาดังนี้
ในสมัยก่อนที่เขาเป็นเด็กเขาถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตและมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่ชั้น ป.5 ถึง ม.3 (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "เด็กหอ") เขาสารภาพกับดิฉันว่าโดยปกติสมัยที่เขาอยู่กับครอบครัวเขาเป็นเด็กที่ดีและซื่อมากๆ และไม่เคยกระทำความผิดใดๆ แต่เมื่อในขณะที่เขาอยู่ในโรงเรียนประจำเขาได้กระทำความผิดร้ายแรงเยอะมาก ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเสียใจมาจนทุกวันนี้
สภาพสังคม และชีวิตในโรงเรียนประจำแห่งนั้น (จากปากคำบอกเล่าของเขา - ขอย้ำว่าไม่ได้เหมารวมทุกที่)
1. เรือนนอนมีลักษณะคล้ายๆของค่ายทหาร นอนห้องรวม อายบน้ำห้องรวม กินโรงอาหารรวม
2. การใช้ชีวิตทุกอย่างต้องดำเนินไปตามระเบียบวินัยที่เข้มงวด กิน, นอน, เล่น, พร้อมๆกันอย่างเป็นเวลา ก่อนจะไปไหนต้องรวมแถว และอื่นๆ
3. ครูผู้คุมหอมีห้องพักต่างหากไม่รวมกับเด็ก
4. เด็กหอมีการตั้งตัวเองเป็นแก๊งหรือกลุ่มย่อยๆและมีเด็กที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่มเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ทุกคนในกลุ่มยอมทำตามคำสั่ง (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "หัวหน้า" กับ "ลิ่วล้อ") ซึ่งเป็นการตั้งขึ้นมากันเองโดยครูไม่ได้มีส่วนร่วม เด็กที่อ่อนแอจะพากันไปเข้าเป็นลิ่วล้อติดตามหัวหน้าคนใดคนหนึ่งเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง เพื่อกลุ่มอื่นๆจะได้ไม่มาทำร้ายหรือรังแก เด็กที่อ่อนแอและไม่มีกลุ่มมักถูกเอารัดเอาเปรียบ, รีดไถ, โดนรังแกต่างๆนา การเข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงสำคัญมากต่อสวัสดิภาพ
5. แต่ก็มีบางครั้งที่หัวหน้าทำร้ายลิ่วล้อของตัวเองเมื่อไม่พอใจ
6. การทำร้ายหรือการข่มเหงที่ว่านี้ได้แก่ ต่อย, เตะ, กระทืบ, ตบหัว, รีดไถเงินหรือขนม, บังคับให้ดื่มปัสวะสดๆเป็นแก้วๆของหัวหน้า ซึ่งมีให้เห็นทุกวันจนเป็นสิ่งที่ทุกคนชินตา และไม่มีใครกล้าฟ้องครูเพราะหลังจากนั้นจะโดนหนักกว่าเดิม
7. มีการร่วมเพศระหว่างเด็กชายกับเด็กชายเป็นจำนวนมาก และจนเป็นเรื่องธรรมดาในนั้น
8. มีการมั่วสุมสูบบุหรี่ และกัญชาภายในเรือนนอน บางครั้งมีการลักลอบสุราเข้ามาด้วย แต่ที่พบบ่อยคือบุหรี่
9. มีการลักขโมยของและเงินกันเองในหมู่เด็กหอ โดยการงัดตู้, เลื่อยกุญแจ, ถอดรหัส, ขโมยลูกกุญแจ ฯลฯ
10. มีการนัดแนะกันไปปีนห้องน้ำแอบดูครูผู้หญิงอาบน้ำ
11. มีการนัดแนะกันปีนรั้วออกไปหนีเที่ยว
12. มีการดมกาวและสารระเหยภายในโรงเรียน
เพื่อนดิฉันคนนี้เล่าให้ฟังอีกว่าเด็กหอส่วนใหญ่ที่นั่นล้วนแต่เป็นลูกคนรวยหรือคนใหญ่คนโตที่มาจากทั่วทุกจังหวัด เพราะค่าเทอมแพงมาก คนจนๆหรือคนชั้นกลางทั่วๆไปคงไม่สามารถจ่ายได้ และแน่นอนบรรดาผู้ปกครองหรือพ่อแม่คงไม่มีวันรู้ว่าลูกของตัวเองเข้ามาเป็นใครและมีชีวิตอย่างไรในนั้น
เขายอมรับว่าตัวของเขาเองก็ได้กระทำความผิดตามข้อต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นหลายข้อที่ยังคงรู้สึกเสียใจมาจวบจนทุกวันนี้ และคิดว่าถ้าเขามีลูกจะไม่มีวันส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ หรือฝากคนอื่นเลี้ยง (เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ) และเขาได้เพียงแต่หวังว่าขอให้รุ่นของเขาเป็นรุ่นสุดท้ายที่เจอสภาพชีวิตแบบนั้นในโรงเรียน
จริงหรือคะ ที่เด็กๆเมื่ออยู่ไกลจากครอบครัวแล้วจะเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ขนาดนั้น ?