สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
แสดงว่าการรณรงค์ด้านสาธารณสุขของไทยได้ผล
ผมโตมารุ่นพ่อแม่ผมก็ไม่ใช้มือเปิบข้าวแล้ว มีแต่ตอนกินข้าวเหนียวเท่านั้น
ขอขยายความต่อ สมัยผมเป็นเด็ก โรงเรียนก็สอนเรื่องสุขอนามัยแล้ว เรื่องช้อนกลาง และให้ใช้ช้อนตักอาหาร คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชอนสั้น ช้อนส้อมค่อยๆ คืบคลานมาสมัยหลัง
ผมจำได้ว่ามีการรณรงค์เรื่องไม่ใช้มือเปิบอาหาร อย่างน้อยในอำเภอ/แถบโรงเรียนที่ผมอยู่ ตอนอยู่โรงเรียน(คริสต์) ครูชอบเล่าว่ามิชชันนารีที่มาสอนจะมีชุดรับประทานอาหารประจำตัว เพราะมักได้รับการบอกเล่าต่อกันมาว่าสุขอนามัยบ้านเราไม่ดีนัก การรักษาความสะอาดบ้านเราไม่ดีพอ ครูก็เลยให้ความสำคัญกับความสะอาดและสุขอนามัยเป็นพิเศษ
แต่ผมโตมาก็ไม่เห็นการเปิบด้วยมือแล้ว มีแต่รุ่นปู่ย่า พอหลังๆ คนรุ่นนั้นก็ปรับตัวหันมาใช้ช้อนแทน นี่คือการสังเกตที่ผมพบ
วัฒนธรรมการเปิบข้าวด้วยมือ ถ้าจะมองว่าเหมือนอินเดียทำไมเราไม่สานต่อ แต่อย่าลืมว่าเราคือเรา เราไม่ใช่อินเดีย สิ่งใดที่ไม่เหมาะควรก็ควรละทิ้งไป
วัฒนธรรมการกินน้ำร่วมแก้วนี่ เป็นอีกอย่างที่ผมอยากให้มันหายไป ผมมีแก้วของตัวเอง เหมือนที่ครูชอบเล่าให้ฟังว่าเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอีกคนจะเป็นพาหะอะไรหรือเปล่า
ผมโตมารุ่นพ่อแม่ผมก็ไม่ใช้มือเปิบข้าวแล้ว มีแต่ตอนกินข้าวเหนียวเท่านั้น
ขอขยายความต่อ สมัยผมเป็นเด็ก โรงเรียนก็สอนเรื่องสุขอนามัยแล้ว เรื่องช้อนกลาง และให้ใช้ช้อนตักอาหาร คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชอนสั้น ช้อนส้อมค่อยๆ คืบคลานมาสมัยหลัง
ผมจำได้ว่ามีการรณรงค์เรื่องไม่ใช้มือเปิบอาหาร อย่างน้อยในอำเภอ/แถบโรงเรียนที่ผมอยู่ ตอนอยู่โรงเรียน(คริสต์) ครูชอบเล่าว่ามิชชันนารีที่มาสอนจะมีชุดรับประทานอาหารประจำตัว เพราะมักได้รับการบอกเล่าต่อกันมาว่าสุขอนามัยบ้านเราไม่ดีนัก การรักษาความสะอาดบ้านเราไม่ดีพอ ครูก็เลยให้ความสำคัญกับความสะอาดและสุขอนามัยเป็นพิเศษ
แต่ผมโตมาก็ไม่เห็นการเปิบด้วยมือแล้ว มีแต่รุ่นปู่ย่า พอหลังๆ คนรุ่นนั้นก็ปรับตัวหันมาใช้ช้อนแทน นี่คือการสังเกตที่ผมพบ
วัฒนธรรมการเปิบข้าวด้วยมือ ถ้าจะมองว่าเหมือนอินเดียทำไมเราไม่สานต่อ แต่อย่าลืมว่าเราคือเรา เราไม่ใช่อินเดีย สิ่งใดที่ไม่เหมาะควรก็ควรละทิ้งไป
วัฒนธรรมการกินน้ำร่วมแก้วนี่ เป็นอีกอย่างที่ผมอยากให้มันหายไป ผมมีแก้วของตัวเอง เหมือนที่ครูชอบเล่าให้ฟังว่าเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอีกคนจะเป็นพาหะอะไรหรือเปล่า
ความคิดเห็นที่ 17
เมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก (ก่อนปี 2500)
ปู่ย่าตายาย ใช้มือเปิบข้าวเป็นปกติ จากจานชามของตน
แต่ไม่ได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่ได้เอามือลงมายุ่มย่ามในจานกับข้าว (มีช้อนกลาง)
ข้าพเจ้าก็หัดเปิบข้าวเหมือนผู้ใหญ่ ด้วยข้อห้ามต่างๆ :
- ตักกับข้าวด้วยช้อนกลาง ไม่เอาช้อนของตัวลงมาตักเด็ดขาด
- ไม่เอามือมาคุ้ยเขี่ยในจานกับข้าว จะหยิบอะไรก็หยิบออกไปเลยทั้งชิ้น
- ไม่เอามือเข้าไปในปาก ค่อยๆเปิบเข้าเพียงริมฝีปาก คำเล็กๆ พอดีคำ
- ไม่ให้มือเปื้อนเกินข้อนิ้วแรก
- ระวังไม่ให้อาหารร่วงหล่น เลอะเทอะออกนอกจานชาม
- ล้างมือให้สะอาด ทั้งก่อนและหลังกินอาหาร
การกินด้วยมือโดยตรงนั้น สะดวก และ สะอาด แถมอร่อยกว่าใช้ช้อนส้อม
แต่ข้าพเจ้า ก็มีช้อนส้อมเล็กๆส่วนตัว 1 คู่ (ที่รักมาก) ติดตัว ไม่เคยใช้ช้อนอื่นนอกบ้าน
จนกระทั่งหายไป ในโรงอาหารโรงเรียนมัธยม จึงเริ่มหัดใช้ช้อนอื่นๆได้
ปู่ย่าตายาย ใช้มือเปิบข้าวเป็นปกติ จากจานชามของตน
แต่ไม่ได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่ได้เอามือลงมายุ่มย่ามในจานกับข้าว (มีช้อนกลาง)
ข้าพเจ้าก็หัดเปิบข้าวเหมือนผู้ใหญ่ ด้วยข้อห้ามต่างๆ :
- ตักกับข้าวด้วยช้อนกลาง ไม่เอาช้อนของตัวลงมาตักเด็ดขาด
- ไม่เอามือมาคุ้ยเขี่ยในจานกับข้าว จะหยิบอะไรก็หยิบออกไปเลยทั้งชิ้น
- ไม่เอามือเข้าไปในปาก ค่อยๆเปิบเข้าเพียงริมฝีปาก คำเล็กๆ พอดีคำ
- ไม่ให้มือเปื้อนเกินข้อนิ้วแรก
- ระวังไม่ให้อาหารร่วงหล่น เลอะเทอะออกนอกจานชาม
- ล้างมือให้สะอาด ทั้งก่อนและหลังกินอาหาร
การกินด้วยมือโดยตรงนั้น สะดวก และ สะอาด แถมอร่อยกว่าใช้ช้อนส้อม
แต่ข้าพเจ้า ก็มีช้อนส้อมเล็กๆส่วนตัว 1 คู่ (ที่รักมาก) ติดตัว ไม่เคยใช้ช้อนอื่นนอกบ้าน
จนกระทั่งหายไป ในโรงอาหารโรงเรียนมัธยม จึงเริ่มหัดใช้ช้อนอื่นๆได้
ความคิดเห็นที่ 31
fork-and-spoon
เรื่อง : วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
อาจเป็นอุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ผู้คนในยุคปัจจุบันใช้ส้อมเพื่อเกลี่ยข้าวเข้าช้อน เพราะฟังก์ชั่นของส้อมในห้วงเวลานำเข้ามาในสังคมสยามสมัยรัชกาลที่ 4 ชนชั้นสูงยังคงมะงุมมะงาหราในการใช้ส้อม พวกเขาใช้ส้อมแทงหรือทิ่มอาหารส่งเข้าปาก พร้อมกับข้อสงสัยถึงประโยชน์ที่แท้ของส้อม ว่าส้อมอาจช่วยให้มือซ้ายไม่ต้องเปื้อนจากการใช้มือหยิบอาหาร!
แล้วตอนไหนที่เราใช้ส้อมเกลี่ยข้าวเข้าช้อน?
ในสังคมตะวันตกยุคกลางเป็นยุคเจริญรุ่งเรืองของการกินอาหารด้วยมือ พระราชาพระราชินีรวมถึงชาวไร่ชาวนาล้วนใช้มือกินอาหาร ชามซุปเป็นของส่วนกลางที่ผู้คนในวงข้าวต่างใช้ยกซดร่วมกัน หรือใช้ทัพพีหรือช้อน แต่ไม่ได้ใช้ในลักษณะช้อนกลางอย่างปัจจุบัน ถ้าลองนึกภาพวงข้าวในยุคกลาง การกินอาหารยุคกลางจึงค่อนข้างชุลมุน
บรรดาเครื่องมือการกินบนโต๊ะอาหาร ส้อมถือกำเนิดหลังสุด มีดเป็นเครื่องมือประกอบการกินที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ตะวันตก ส้อมไม่ปรากฏบนโต๊ะอาหารชาวกรีก ซึ่งประกอบด้วยช้อน มีด และมือของพวกเขา
ส้อมถูกผลิตขึ้นมาในช่วงคริสศตวรรษที่ 11 แต่กว่าจะถูกนำมาใช้งานบนโต๊ะอาหาร ก็ต้องรอจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และกลายเป็นแบบแผนการกินอันมีมารยาทของชาวตะวันตก
เมื่อดูจากลักษณะของส้อม ปลายแหลมของมันเป็นเหมือนเครื่องมือปลิดชีวิตมากกว่าเครื่องมือในการส่งอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ดุจจินตนาการความน่าสะพรึงกลัวในบทกวีที่ชื่อว่า ส้อม (The Fork) ของชาร์ลส์ ซีมิค (Charles Simic)
เจ้าสิ่งประหลาดนี้
มันต้องคืบคลานมาจากอเวจี
มันละล้ายคล้ายตีนนก
ที่พันอยู่รอบคอพวกกินซากศพ
เมื่อคุณถือมันไว้ในมือ
เมื่อคุณแทงเข้าไปชิ้นเนื้อ
ประหนึ่งภาพชิ้นส่วนที่เหลือของนกตัวนั้น
หัวของมันประหนึ่งราวกำปั้น
ทั้งใหญ่ ล้านเลี่ยน ไร้จะงอยปาก และตาบอด
antique_fork
ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 การยกซดซุปเริ่มเป็นกิริยาน่ารังเกียจ พวกเขาจะรินซุปใส่ชามตรงหน้าตัวเอง กติกามารยาทบนโต๊ะอาหารยังกำหนดให้เช็ดช้อนของตนให้สะอาดเสียก่อนที่จะตักซุปในชามกลางครั้งต่อไป นี่คือมาตรฐานที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนเกิดการแยกช้อมส้อมและถ้วยซุปของแต่ละคนออกจากกัน
แต่ถ้าเรามองการใช้ช้อนตักของเหลว ใช้ส้อมทิ่มอาหารของชาวตะวันตกเมื่อหลายศตวรรษก่อน ก็จะเกิดคำถามด้วยสำนึกคนสมัยปัจจุบัน ว่าทำไมเรื่องง่ายๆ สมเหตุสมผลอย่างนี้จึงใช้เวลาก่อตัวตั้งหลายศตวรรษ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ชนชั้นสูงชาวสยามเริ่มรับวัฒนธรรมการใช้ช้อนส้อมและมีดเข้ามาเป็นแบบแผนการกินอาหาร แต่ก่อนหน้านั้นในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏว่ามีการใช้ช้อนกันอยู่แล้ว ซึ่งจะใช้ตักอาหารที่เป็นของเหลว วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำช้อนมีทั้ง ช้อนตะกั่ว, ช้อนมุก, ช้อนถ้วย, ช้อนทอง และช้อนหอย
วัสดุที่แตกต่างกันทำหน้าที่สร้างความแตกต่างทางชนชั้น ชาวบ้านทั่วไปคงไม่สามารถใช้ช้อนมุกหรือช้อนทอง ในสมัยนั้นพระสงฆ์จะเป็นกลุ่มที่ใช้ช้อนมุก ซึ่งถูกยกให้อยู่สูงกว่าคนทั่วไป สำหรับช้อนหอยซึ่งทำจากเปลือกหอยก็ไม่มีความสวยงามเท่าช้อนมุก สามัญชนคนทั่วไปจึงใช้ช้อนหอยในวงกับข้าว
เมื่อสังคมเปลี่ยน การเลื่อนลงมาของวัสดุมีค่าสู่สามัญชนคนธรรมดาจึงเกิดขึ้น เมื่อปรากฏบันทึกที่ระบุว่า ชาวบ้านสามัญชนในสมัยรัชกาลที่ 3 เริ่มใช้ช้อนมุกกันแล้ว
แต่การใช้ช้อนในสมัยนั้นไม่ได้ใช้เป็นของส่วนตัวเหมือนวิวัฒนาการของสังคมตะวันตกช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในบันทึกของสังฆราชปาลเลกัวซ์ บรรพบุรุษชาวสยามของเรายังคงนั่งกินอาหารบนเสื่อหรือพรม ผู้คนไม่ใช่ช้อนส้อมหรือมีดโต๊ะ แต่พวกเขาใช้ช้อนมุกตักกับข้าว นอกจากนั้นก็ใช้นิ้วมือเปิบข้าว
การใช้ช้อนของผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการใช้ ‘ช้อนรวม’ ไม่ใช่ ‘ช้อนกลาง’ ลักษณะการใช้ช้อนรวมคือสามารถใช้ช้อนคันเดียวกันนี้ ตักน้ำแกงจากสำรับกลางแล้วตักเข้าปากได้เลย แล้วคนอื่นก็ทำเหมือนเรา
fork
การติดต่อสัมพันธ์ ธรรมเนียมการทูต และงานเลี้ยงแบบตะวันตกช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ค่อยๆ ฝึกฝนทักษะการใช้ช้อนส้อมและมีดของชนชั้นสูงให้มีมารยาทตามแบบแผนตะวันตก การฝึกฝนมารยาทการกินอาหารแบบชาวตะวันตกยังเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสยามเข้ามามีส่วนร่วมบนโต๊ะอาหาร ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผู้หญิงต้องรอให้สามีกินอิ่มเสียก่อน พวกเธอจึงจะสามารถกินข้าวได้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของชนชั้นสูง
และนั่นทำให้ผู้หญิงและเด็กๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 จำต้องฝึกฝนการกินอาหารด้วยช้อนส้อมและมีดแบบชาวตะวันตกไปด้วย การฝึกฝนกินอาหารด้วยช้อนส้อมและมีดไม่ได้เป็นไปอย่างสะดวกนัก มันค่อนข้างมีลักษณะมะงุมมะงาหรา
วัฒนธรรมการใช้เครื่องมือในการกินของสังคมสยาม แต่ไหนแต่ไรจะใช้นิ้วมือเปิบข้าว จะใช้ช้อนก็แต่ในวาระโอกาสที่ต้องการซดน้ำแกง เมื่อต้องกินอาหารด้วยช้อนส้อม ทำให้ต้องจัดระเบียบมือใหม่ ในระหว่างมื้ออาหาร มือขวาต้องถือช้อน มือซ้ายถือส้อมตลอดเวลาในการกิน ถ้าเป็นอาหารตะวันตก มือขวาจะถือมีด มือซ้ายถือส้อม
การฝึกฝนใช้ช้อนส้อมในแง่หนึ่งมันคือการสร้างความหมายให้แก่ชนชั้นตนเอง เพราะการใช้ช้อนส้อมในสมัยนั้นคือการแสดงถึงความศิวิไลซ์
ขึ้นชื่อว่าการฝึกฝนย่อมต้องลำบาก เพราะการใช้ส้อม 2 ง่าม 3 ง่าม หรือ 4 ง่าม ก็ขึ้นอยู่กับประเภทอาหาร การฝึกฝนใช้ช้อนส้อมของชนชั้นสูงก็พบปัญหา เราสามารถพบความประดักประเดิดต่อวัฒนธรรมใหม่ได้จากจดหมายของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่บรรยายถึงความไม่สะดวกในการใช้ส้อม 2 ง่าม
สำหรับการใช้ช้อนไม่ปรากฏเป็นปัญหาสำหรับกรมพระยาฯดำรง เพราะคุ้นเคยว่าใช้ตักของเหลว แต่ ‘ส้อมสำหรับจิ้มอะไร’ เพราะกับข้าวในจานก็สามารถใช้มือหยิบได้ทั้งนั้น ข้อสันนิษฐานถึงประโยชน์ของส้อมในความคิดของกรมพระยาฯดำรง ก็คือ
“คิดดูเห็นจะใช้ส้อมเมื่อประสงค์จะแยกกับข้าวออกเป็นหลายชิ้น เอามือซ้ายถือส้อมแทงอาหารไว้อยู่กับที่ เอามือขวาฉีกอาหารออกไปเป็นอีกชิ้นหนึ่ง คือใช้ส้อมไม่ให้มือซ้ายเปื้อนเท่านั้นเอง”
ชนชั้นนำค่อยๆ เรียนรู้ว่าส้อม 2 ง่ามเหมาะกับการใช้มีด ขณะที่ส้อม 4 ง่าม ซึ่งมีลักษณะแบนมากกว่า ควรใช้คู่กับช้อน การกินอาหารของคนไทยในยุคปัจจุบันใช้ส้อม 4 ง่ามเป็นหลัก (ถ้าเรากินอาหารไทย) และหน้าที่อย่างหนึ่งของส้อม 4 ง่ามคือ เกลี่ยข้าวเข้าช้อน
แล้วมันเป็นไปตั้งแต่ตอนไหน เรายังไม่พบบันทึกหรืองานศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งหากพิจารณาจากรูปลักษณ์ของส้อม มันน่าจะมีไว้ทิ่มอาหารมากกว่า แต่ด้านหลังของส้อมซึ่งมีลักษณะแบนกลับทำประโยชน์ทางอ้อมอย่างการเกลี่ยข้าวเข้าช้อนได้อย่างลงตัว หรือว่าการฝึกฝนการใช้ช้อนคู่กับส้อมที่สั่งสมมารุ่นต่อรุ่น ทำให้เกิดลักษณะการใช้งานอย่างทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเพียงการคาดเดาล้วนๆ
**************************************
อ้างอิงข้อมูลจาก :
– อาหาร: การสร้างมาตรฐานการกินกับอัตลักษณ์ทางชนชั้น โดย กมลทิพย์ จ่างกมล
– slate.com
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ Food republic นิตยสาร Way ฉบับ 71)
cr : https://waymagazine.org/forkspoon/
เรื่อง : วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
อาจเป็นอุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ผู้คนในยุคปัจจุบันใช้ส้อมเพื่อเกลี่ยข้าวเข้าช้อน เพราะฟังก์ชั่นของส้อมในห้วงเวลานำเข้ามาในสังคมสยามสมัยรัชกาลที่ 4 ชนชั้นสูงยังคงมะงุมมะงาหราในการใช้ส้อม พวกเขาใช้ส้อมแทงหรือทิ่มอาหารส่งเข้าปาก พร้อมกับข้อสงสัยถึงประโยชน์ที่แท้ของส้อม ว่าส้อมอาจช่วยให้มือซ้ายไม่ต้องเปื้อนจากการใช้มือหยิบอาหาร!
แล้วตอนไหนที่เราใช้ส้อมเกลี่ยข้าวเข้าช้อน?
ในสังคมตะวันตกยุคกลางเป็นยุคเจริญรุ่งเรืองของการกินอาหารด้วยมือ พระราชาพระราชินีรวมถึงชาวไร่ชาวนาล้วนใช้มือกินอาหาร ชามซุปเป็นของส่วนกลางที่ผู้คนในวงข้าวต่างใช้ยกซดร่วมกัน หรือใช้ทัพพีหรือช้อน แต่ไม่ได้ใช้ในลักษณะช้อนกลางอย่างปัจจุบัน ถ้าลองนึกภาพวงข้าวในยุคกลาง การกินอาหารยุคกลางจึงค่อนข้างชุลมุน
บรรดาเครื่องมือการกินบนโต๊ะอาหาร ส้อมถือกำเนิดหลังสุด มีดเป็นเครื่องมือประกอบการกินที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ตะวันตก ส้อมไม่ปรากฏบนโต๊ะอาหารชาวกรีก ซึ่งประกอบด้วยช้อน มีด และมือของพวกเขา
ส้อมถูกผลิตขึ้นมาในช่วงคริสศตวรรษที่ 11 แต่กว่าจะถูกนำมาใช้งานบนโต๊ะอาหาร ก็ต้องรอจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และกลายเป็นแบบแผนการกินอันมีมารยาทของชาวตะวันตก
เมื่อดูจากลักษณะของส้อม ปลายแหลมของมันเป็นเหมือนเครื่องมือปลิดชีวิตมากกว่าเครื่องมือในการส่งอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ดุจจินตนาการความน่าสะพรึงกลัวในบทกวีที่ชื่อว่า ส้อม (The Fork) ของชาร์ลส์ ซีมิค (Charles Simic)
เจ้าสิ่งประหลาดนี้
มันต้องคืบคลานมาจากอเวจี
มันละล้ายคล้ายตีนนก
ที่พันอยู่รอบคอพวกกินซากศพ
เมื่อคุณถือมันไว้ในมือ
เมื่อคุณแทงเข้าไปชิ้นเนื้อ
ประหนึ่งภาพชิ้นส่วนที่เหลือของนกตัวนั้น
หัวของมันประหนึ่งราวกำปั้น
ทั้งใหญ่ ล้านเลี่ยน ไร้จะงอยปาก และตาบอด
antique_fork
ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 การยกซดซุปเริ่มเป็นกิริยาน่ารังเกียจ พวกเขาจะรินซุปใส่ชามตรงหน้าตัวเอง กติกามารยาทบนโต๊ะอาหารยังกำหนดให้เช็ดช้อนของตนให้สะอาดเสียก่อนที่จะตักซุปในชามกลางครั้งต่อไป นี่คือมาตรฐานที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนเกิดการแยกช้อมส้อมและถ้วยซุปของแต่ละคนออกจากกัน
แต่ถ้าเรามองการใช้ช้อนตักของเหลว ใช้ส้อมทิ่มอาหารของชาวตะวันตกเมื่อหลายศตวรรษก่อน ก็จะเกิดคำถามด้วยสำนึกคนสมัยปัจจุบัน ว่าทำไมเรื่องง่ายๆ สมเหตุสมผลอย่างนี้จึงใช้เวลาก่อตัวตั้งหลายศตวรรษ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ชนชั้นสูงชาวสยามเริ่มรับวัฒนธรรมการใช้ช้อนส้อมและมีดเข้ามาเป็นแบบแผนการกินอาหาร แต่ก่อนหน้านั้นในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏว่ามีการใช้ช้อนกันอยู่แล้ว ซึ่งจะใช้ตักอาหารที่เป็นของเหลว วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำช้อนมีทั้ง ช้อนตะกั่ว, ช้อนมุก, ช้อนถ้วย, ช้อนทอง และช้อนหอย
วัสดุที่แตกต่างกันทำหน้าที่สร้างความแตกต่างทางชนชั้น ชาวบ้านทั่วไปคงไม่สามารถใช้ช้อนมุกหรือช้อนทอง ในสมัยนั้นพระสงฆ์จะเป็นกลุ่มที่ใช้ช้อนมุก ซึ่งถูกยกให้อยู่สูงกว่าคนทั่วไป สำหรับช้อนหอยซึ่งทำจากเปลือกหอยก็ไม่มีความสวยงามเท่าช้อนมุก สามัญชนคนทั่วไปจึงใช้ช้อนหอยในวงกับข้าว
เมื่อสังคมเปลี่ยน การเลื่อนลงมาของวัสดุมีค่าสู่สามัญชนคนธรรมดาจึงเกิดขึ้น เมื่อปรากฏบันทึกที่ระบุว่า ชาวบ้านสามัญชนในสมัยรัชกาลที่ 3 เริ่มใช้ช้อนมุกกันแล้ว
แต่การใช้ช้อนในสมัยนั้นไม่ได้ใช้เป็นของส่วนตัวเหมือนวิวัฒนาการของสังคมตะวันตกช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในบันทึกของสังฆราชปาลเลกัวซ์ บรรพบุรุษชาวสยามของเรายังคงนั่งกินอาหารบนเสื่อหรือพรม ผู้คนไม่ใช่ช้อนส้อมหรือมีดโต๊ะ แต่พวกเขาใช้ช้อนมุกตักกับข้าว นอกจากนั้นก็ใช้นิ้วมือเปิบข้าว
การใช้ช้อนของผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการใช้ ‘ช้อนรวม’ ไม่ใช่ ‘ช้อนกลาง’ ลักษณะการใช้ช้อนรวมคือสามารถใช้ช้อนคันเดียวกันนี้ ตักน้ำแกงจากสำรับกลางแล้วตักเข้าปากได้เลย แล้วคนอื่นก็ทำเหมือนเรา
fork
การติดต่อสัมพันธ์ ธรรมเนียมการทูต และงานเลี้ยงแบบตะวันตกช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ค่อยๆ ฝึกฝนทักษะการใช้ช้อนส้อมและมีดของชนชั้นสูงให้มีมารยาทตามแบบแผนตะวันตก การฝึกฝนมารยาทการกินอาหารแบบชาวตะวันตกยังเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสยามเข้ามามีส่วนร่วมบนโต๊ะอาหาร ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผู้หญิงต้องรอให้สามีกินอิ่มเสียก่อน พวกเธอจึงจะสามารถกินข้าวได้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของชนชั้นสูง
และนั่นทำให้ผู้หญิงและเด็กๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 จำต้องฝึกฝนการกินอาหารด้วยช้อนส้อมและมีดแบบชาวตะวันตกไปด้วย การฝึกฝนกินอาหารด้วยช้อนส้อมและมีดไม่ได้เป็นไปอย่างสะดวกนัก มันค่อนข้างมีลักษณะมะงุมมะงาหรา
วัฒนธรรมการใช้เครื่องมือในการกินของสังคมสยาม แต่ไหนแต่ไรจะใช้นิ้วมือเปิบข้าว จะใช้ช้อนก็แต่ในวาระโอกาสที่ต้องการซดน้ำแกง เมื่อต้องกินอาหารด้วยช้อนส้อม ทำให้ต้องจัดระเบียบมือใหม่ ในระหว่างมื้ออาหาร มือขวาต้องถือช้อน มือซ้ายถือส้อมตลอดเวลาในการกิน ถ้าเป็นอาหารตะวันตก มือขวาจะถือมีด มือซ้ายถือส้อม
การฝึกฝนใช้ช้อนส้อมในแง่หนึ่งมันคือการสร้างความหมายให้แก่ชนชั้นตนเอง เพราะการใช้ช้อนส้อมในสมัยนั้นคือการแสดงถึงความศิวิไลซ์
ขึ้นชื่อว่าการฝึกฝนย่อมต้องลำบาก เพราะการใช้ส้อม 2 ง่าม 3 ง่าม หรือ 4 ง่าม ก็ขึ้นอยู่กับประเภทอาหาร การฝึกฝนใช้ช้อนส้อมของชนชั้นสูงก็พบปัญหา เราสามารถพบความประดักประเดิดต่อวัฒนธรรมใหม่ได้จากจดหมายของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่บรรยายถึงความไม่สะดวกในการใช้ส้อม 2 ง่าม
สำหรับการใช้ช้อนไม่ปรากฏเป็นปัญหาสำหรับกรมพระยาฯดำรง เพราะคุ้นเคยว่าใช้ตักของเหลว แต่ ‘ส้อมสำหรับจิ้มอะไร’ เพราะกับข้าวในจานก็สามารถใช้มือหยิบได้ทั้งนั้น ข้อสันนิษฐานถึงประโยชน์ของส้อมในความคิดของกรมพระยาฯดำรง ก็คือ
“คิดดูเห็นจะใช้ส้อมเมื่อประสงค์จะแยกกับข้าวออกเป็นหลายชิ้น เอามือซ้ายถือส้อมแทงอาหารไว้อยู่กับที่ เอามือขวาฉีกอาหารออกไปเป็นอีกชิ้นหนึ่ง คือใช้ส้อมไม่ให้มือซ้ายเปื้อนเท่านั้นเอง”
ชนชั้นนำค่อยๆ เรียนรู้ว่าส้อม 2 ง่ามเหมาะกับการใช้มีด ขณะที่ส้อม 4 ง่าม ซึ่งมีลักษณะแบนมากกว่า ควรใช้คู่กับช้อน การกินอาหารของคนไทยในยุคปัจจุบันใช้ส้อม 4 ง่ามเป็นหลัก (ถ้าเรากินอาหารไทย) และหน้าที่อย่างหนึ่งของส้อม 4 ง่ามคือ เกลี่ยข้าวเข้าช้อน
แล้วมันเป็นไปตั้งแต่ตอนไหน เรายังไม่พบบันทึกหรืองานศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งหากพิจารณาจากรูปลักษณ์ของส้อม มันน่าจะมีไว้ทิ่มอาหารมากกว่า แต่ด้านหลังของส้อมซึ่งมีลักษณะแบนกลับทำประโยชน์ทางอ้อมอย่างการเกลี่ยข้าวเข้าช้อนได้อย่างลงตัว หรือว่าการฝึกฝนการใช้ช้อนคู่กับส้อมที่สั่งสมมารุ่นต่อรุ่น ทำให้เกิดลักษณะการใช้งานอย่างทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเพียงการคาดเดาล้วนๆ
**************************************
อ้างอิงข้อมูลจาก :
– อาหาร: การสร้างมาตรฐานการกินกับอัตลักษณ์ทางชนชั้น โดย กมลทิพย์ จ่างกมล
– slate.com
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ Food republic นิตยสาร Way ฉบับ 71)
cr : https://waymagazine.org/forkspoon/
แสดงความคิดเห็น
ทำไมการใช้มือเปล่าตักอาหารตักข้าวกินถึงหายไปจากสังคมไทย ต่างจากสังคมอินเดียคะ
แต่คนอินเดียยังคงใช้มือเปล่าตักข้าวกิน ทั้งที่เป็นเมืองขึ้นฝรั่ง
ทำไมคนไทยเปลี่ยนแต่คนอินเดียไม่เปลี่ยนคะ
ทำไมการใช้ช้อนถึงแพร่หลายในสังคมไทยได้คะ จนวัฒนธรรมการใช้มือเปล่าตักข้าวกินสูญพันธุ์ไปจากสังคมไทย ทั้งที่การใช้มือตักข้าวน่าจะเป็นสิ่งที่คนไทยถนัดมากกว่า
เหมือนจะไปบังคับให้คนอินเดียมาใช้ช้อนตักอาหารกินแทนมือมันก็ไม่ถนัดและไม่สะดวกใช่มั้ยคะ