🌸💖🌸 ถุงมือนักเขียน (ครึ่งหลัง) เรื่องที่ 17 "กะเทยคนเหงากับเขาทั้งสอง" โดย ถุงมือ "ง่วงแล้ว" ครับ

กระทู้สนทนา


หายมึนจากเรื่องที่ 16 มาแล้ว ก็มาต่อกัน กับเรื่องที่ 17 อ่า...คราวนี้ เป็นความรักของเพศที่สามละครับ แหมมีครบทุกรสชาตจริงๆ รายการถุงมือนักเขียน!

"กะเทยคนเหงากับเขาทั้งสอง" คือชื่อของเรื่องนี้...จะสุข เศร้า หรือซึ้งปานใด ตามไปอ่านกันครับ...อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้







ชื่อ : A_ApirakZA
เพศ : ชาย
ความสนใจ : ชาย
อายุ : 48
น้ำหนัก : 75
ส่วนสูง : 168
คำอธิบาย : หาเด็กวัยรุ่น น้องม.ปลาย – มหา’ลัยงานดีๆ ส่งรูปตัวจริงมาให้ดูด้วย มีรายได้เสริมให้เดือนละห้า – หกพัน




    ‘เอ’ ชายร่างท้วมกดบันทึกข้อมูลส่วนตัวในเว็บไซต์หาคู่ด้วยใจที่เต้นตึกตัก ใครจะคิดว่าอายุเกือบห้าสิบแล้วยังหาคู่ครองเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ แถมยังมีรสนิยมชอบเปย์เด็กหนุ่มเอ๊าะๆ อีก รู้ถึงไหนอายถึงนั่นแน่ๆ

    จะว่าไป...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและหนทางแรกที่เอทำแบบนี้ สมัยก่อนเขารักการไปเที่ยวแถววังสราญรมย์ตอนดึกๆ เดินสามสี่ก้าวก็ได้ผู้ชายยิ้มหวานตาเยิ้มมานอนด้วยทั้งคืน แต่พอเวลาผ่านไป สื่อต่างๆ เริ่มให้ความสนใจกับการนำเสนอข่าวการติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้น ความอยากซื้อกินของเอก็ลดลง เขากลายเป็นกะเทยแก่ช่างเลือก คัดสรรเฉพาะเด็กหนุ่มอายุน้อยที่แสกนแล้วว่ายังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน หรืออาจจะเคยแค่สองสามครั้ง (และป้องกันทุกครั้ง) เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองและความกระชุ่มกระชวยหัวใจ

    เอเรียนรู้จากการเลี้ยงต้อยเกือบสิบปีว่า รักที่ใช้เงินเป็นตัวล่อนั้น ไม่จีรังยั่งยืน เด็กทุกคนที่ผ่านเข้ามาล้วนเป็นชายแท้ที่ชีวิตมีปัญหา ถ้าไม่ใช่เรื่องค่าเทอมก็เรื่องเหล้ายา พอได้เงินจากเอจนพอใจก็บอกลาเพื่อไปรักกับผู้หญิงแท้ๆ ที่คู่ควรกับเขาแทน เอเจ็บมามาก ร้องไห้มามาก แต่ก็ไม่มีใครเห็นใจ เพื่อนฝูงวงการเดียวกันบอกว่า เขาต้องทำใจให้ชิน ไม่เช่นนั้นก็จงตายไปอย่างโดดเดี่ยว

    ติ๊ง!

    เพียงห้านาทีหลังลงข้อมูลส่วนตัว อำนาจแห่งเงินก็บันดาลให้กล่องแชทเด้งขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ราคาหลักพันของเอ รูปโปรไฟล์อีกฝ่ายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง หน้าตาหล่อตี๋มีสกุลจนไม่น่าเชื่อว่าจะมาข้องแวะกับเรื่องแบบนี้ เอรีบซักไซ้ข้อมูลส่วนตัวพร้อมกับขอรูปภาพอีกฝ่าย ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาก็น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก

    “...ลาภปากล่ะ” เอยิ้มหวานขณะพิมพ์นัดเจอกับอีกฝ่าย ซึ่งเด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็ตอบตกลงในทันที



    หนุ่มใหญ่หัวใจเซเลอร์มูนเดินทางมาถึงห้างใจกลางเมืองด้วยความไวแสง  สถานที่นัดเจอคือร้านบะหมี่ที่คู่นัดบอกว่าเป็นร้านโปรด

    “น้องก้องหรือเปล่าจ๊ะ” เอเข้าไปทักนักศึกษาคนหนึ่งภายในร้านที่กำลังก้มหน้าอยู่

    “ใช่ครับใช่” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ โชคดีมากที่หน้าตาเขาหล่อเหลาตรงปกทุกอย่าง ไม่เหมือนหลายครั้งที่เอนัดเจอเด็กหนุ่มคนอื่นครั้งแรก และสิ่งที่ได้เจอคือผู้ชายหน้าปรุ สิวเขรอะ ตัวดำ ไม่เหมือนในรูปโปรไฟล์สักนิด

    “พี่เอใช่ปะครับ” เขาถามพลางเกาหัว ดูเขินอายสำหรับการเจอกันครั้งนี้

    “จ้ะ” เอตอบรับ แล้วนั่งลงตรงข้ามเด็กหนุ่ม “สั่งอะไรยังล่ะเรา เห็นบอกชอบร้านนี้”

    “สั่งแต่น้ำครับ รอพี่มา” เขาตอบ “พี่...ดูดีกว่าในรูปอีกนะครับ”

    เอพยักหน้ารับคำชมแต่ในใจไม่ได้ยินดีอะไร เขาวิเคราะห์ก้องตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่เป็นเด็กหนุ่มประเภทที่จะอยู่ด้วยกันนานหน่อยเพราะเป็นปัญญาชน...คือพวกที่รู้ว่าต้องกอบโกยอย่างไรถึงจะได้ผลกำไรสูงสุด เด็กแบบนี้จะดูเจียมตัวในตอนแรก พูดน้อย เขินอาย สั่งให้ทำอะไรก็ทำ จากนั้นจะค่อยๆ เผยไต๋ออกมาเมื่อเอไว้วางใจ มีลูกอ้อนที่จะทำให้เอยอมยกทุกสิ่งให้ เมื่อจบการศึกษาหรือจุนเจือครอบครัวจนได้ที่แล้ว เขาก็จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นเดียวกับคนอื่นๆ


    “เราเรียนมหา’ลัยแถวนี้ใช่ปะ” เอถาม แต่แล้วก็ได้คำตอบเมื่อเห็นเข็มกลัดบนเนคไทเด็กหนุ่ม “ปีอะไรแล้วล่ะ”

    “ปีสามครับ” ก้องตอบ แล้วยกมือเรียกพนักงาน “สั่งเลยนะพี่ ผมหิวแล้ว...พี่ชอบกินอะไรครับ”

    “หยิบเมนูให้พี่หน่อย เดี๋ยวสั่งเอง” เอรับเมนูมาสั่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคุยกัน ก้องบอกว่าตนเป็นเด็กต่างจังหวัด สอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพเลยต้องเข้ามาเรียนตัวคนเดียว แต่ทางบ้านไม่ค่อยมีฐานะ ก้องจำเป็นต้องหารายได้เสริมมาเลี้ยงตัวเองแทน เป็นพล็อตละครช่องดิจิทัลทีวีที่เอได้ยินจากเด็กหนุ่มทั้งหลายจนชินหู แต่พอมองไปในตาของก้อง เอเห็นอะไรบางอย่างที่แปลกออกไป...

    จากประสบการณ์  คนที่เล่าเรื่องประมาณนี้จะชอบทำหน้าเศร้าประกอบเพื่อเรียกความเห็นใจ แต่ก้องไม่ได้ทำ เขายิ้มแย้มพูดเรื่องของตัวเองราวกับมันไม่ได้สะเทือนใจสักนิด ทว่าเอสัมผัสได้ถึงกำแพงแก้วที่ก่อตัวขึ้นตอนก้องกำลังเล่า เหมือนเขาไม่ได้ต้องการความสงสารหรือเห็นใจ เขามีเป้าหมายในชีวิตอยู่แล้ว

    “พี่เข้าใจเรานะ” เอพูด “ก็สู้ๆ แล้วกัน มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ” หนุ่มใหญ่เอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่าย ซึ่งก้องไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเลย

    “คือแบบ...วันนี้พี่พอจะมีให้ยืมสักพันห้าไหมครับ” ก้องถามสีหน้าเกรงใจ “ผมต้องจ่ายค่าหอที่ค้างไว้”

    เอพยักหน้า แล้วล้วงเงินในกระเป๋าให้เด็กหนุ่มทันทีโดยไม่คิดอะไร มันเหมือนกับเอปลูกฝังความคิดให้ตัวเองว่าเกิดมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นแลกกับความสุขทางกาย แม้จะรู้ว่าในสุดท้ายต้องจากกันในวันที่เผลอรักเขาเกือบหมดใจ...

    นี่ล่ะ...ชีวิตกะเทยแก่ไร้คู่


    หนึ่งเดือนจากที่ได้รู้จักก้อง ทั้งคู่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เอมีตารางเรียนของก้อง เขารู้ว่าจะนัดออกมากินบะหมี่เวลาไหนถึงจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ ซึ่งก้องไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเวลาต้องเดินคู่กันในห้าง หรือขึ้นคอนโดไปมีอะไรกับเอทั้งชุดนักศึกษา จนเอต้องเตือนก้องให้เปลี่ยนเสื้อก่อนจะมาเจอกัน

    พอครบปี ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดของเอเพราะหอพักของก้องขึ้นค่าเช่าจนเรียกได้ว่าขูดรีด ผู้ใหญ่อย่างเอเห็นท่าไม่ดีจึงแนะนำก้องให้ย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็แลกกับต้องจ่ายเงินค่าเดินทางให้ก้องอีกวันละเกือบสามร้อยบาท ถือว่าคุ้มเพราะทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพิ่มขึ้น และก้องเองก็สมัครใจทำงานบ้านแลกเงินด้วย

    หลังครบปี ก้องยังคงเหมือนเดิม เอก็พยายามจะเหมือนเดิม...แต่กลับทำไม่ได้

    “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” หนุ่มหล่อร่างใหญ่ทักเอที่เพิ่งเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้าม พวกเขาอยู่ในร้านกาแฟหรู สถานที่ที่ก้องไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นร้านโปรดของเอ

    “เพื่อนเก่านัดเจอทั้งที ไม่มาได้ไงล่ะ” เอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “เพื่อนเก่าที่ไหน...แฟนเก่าต่างหาก” อีกฝ่ายบอกพร้อมรอยยิ้ม “แต่ตอนนั้นเธอสวยนะ ไม่ได้อ้วนเป็นกะเทยหมูตอนแบบนี้ ฮ่าๆ”

    เอเอื้อมมือไปตีแขนคนแซว “ไอ้บ้าที! ปากหมาเหมือนเดิมเลย นี่แน่ะๆ!”

    “โอ๊ยๆ! เจ็บๆๆๆ เบาหน่อยเจ้ คนมองหมดแล้ว” ทีทำท่าปางห้ามญาติ

    “เจ็บอะไร โดนผู้หญิงตัวเล็กๆ ตีแค่นี้ทำเป็นทนไม่ได้” เอพูดทีเล่นทีจริง “ว่าแต่...นัดมาเจอมีธุระอะไร”

    “ก็คิดถึงไง เรากลับจากสวีเดนได้สองเดือนละ เธอไม่เห็นมาเจอเลย” ทีบอก แล้วตอนนั้นเองพนักงานก็ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เป็นคาปูชิโน่ร้อนกับชานมเย็น “อะ...จำได้ว่าชอบ” ทีดันแก้วชานมมาตรงหน้าเอ

    เอจ้องตาคนตรงหน้า “ขอบใจนะที่อุตส่าห์จำได้” เขาขอบคุณด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเดิม “ขอบใจด้วยที่รู้ว่าฉันมาตรงเวลา เลยอุตส่าห์มาก่อนเพื่อสั่งรอไว้”

    ทีพยักหน้ายิ้มๆ “จำได้ทุกอย่างล่ะ จำได้อีกว่า...”

    “ไม่ได้จะมาขอคืนดีใช่ไหม” เอแทรกอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาอีกฝ่ายตาโต

    “อ่า...ใจจริงแล้วก็ใช่” ทียอมรับ เพราะรู้ว่าจะโกหกอย่างไรเอก็จับได้ “แต่ตอนนี้ เราแค่คิดถึง...อยากเจอ อื้ม...แค่นั้นล่ะ” หนุ่มล่ำบอกเสียงแผ่ว

    เอพ่นลมหายใจออกมา ในใจนึกเกลียดชายคนนี้ คนที่ทิ้งเขาไปเมื่อเก้าปีก่อนด้วยเหตุผลที่ว่าครอบครัวยอมรับความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ไม่ได้ แต่พอเลิกกันได้ไม่เท่าไรทีก็เปิดตัวแฟนหนุ่มคนใหม่ที่หล่อกว่า ดีกว่า และยอมที่จะทิ้งครอบครัวในไทยเพื่อไปครองรักกันที่สวีเดน เอได้ข่าวเมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าทีกับแฟนหนุ่มเพิ่งแตกหักกันด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เขาไม่รู้จะรู้สึกอย่างไร เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยกเลิกนัดดูหนังกับก้องมาเจอแฟนเก่าคนนี้ ในเมื่อเหตุผลที่เอกลายเป็นโรคขาดความรักไม่ได้ ต้องจ่ายเงินหาคนมานอนกอด ยอมโดนสังคมตราหน้าว่าเป็นกะเทยซื้อกิน...ทั้งหมดนี่ทีคือต้นเหตุ

    “ฉันมีแฟนแล้ว” เอบอก เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองเสียงสั่น “ถ้าคิดถึงในฐานะเพื่อนก็ได้ ขอบใจนะที่นึกถึงกัน”

    ทีดูสลดลงเมื่อได้ยินดังนั้น แต่พักเดียวก็กลับเป็นปกติ “แล้วนี่ทำงานอะไรเหรอ” เขาเปลี่ยนเรื่อง

    “เป็นฟรีแลนซ์ออแกนไนเซอร์ รับจัดงานพวกงานแต่ง งานเลี้ยงรุ่น บางทีก็งานเปิดตัวสินค้าในห้างอะไรแบบนั้น”

    “อ้อ! พอดีเลย คือพี่สาวเราจะแต่งงานกับแฟนฝรั่งน่ะ เขาอยากได้งานแต่งธีมไทยกึ่งๆ ยุโรป เอพอจะจัดงานให้ได้ไหม ตอนเรียนเธอโคตรครีเอททีฟเลยนี่”

    เอแอบหัวเราะเล็กน้อย คนฉลาดและเจนจัดในคำหวานอย่างเขารู้ดีว่าทีต้องการอะไร ทว่าหัวใจที่บอกว่าเกลียดอีกฝ่ายนักหนากลับสั่งให้แกล้งโง่ และตอบตกลงรับงานนั้น ในฐานะ 'เพื่อนเก่า’ ทันที

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่