5
“เมลลอน” เอมิลี่พูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ เมื่อมาถึงหน้าบาร์เล็กๆแห่งหนึ่งตรงหัวมุมถนนของเมืองเล็กแห่งนี้
ชายร่างใหญ่คนนั้นมองสำรวจเธอในทันที ดวงตาหยีเล็กคู่นั้นมองเสื้อคลุมตัวโคร่งของเธอ ไปจนถึงชายกระโปรงแดง ที่ดูขัดกับรองเท้าผ้าใบคู่เก่านั่นอย่างเงียบๆ
“วันนี้บาร์ปิด” เขาบอก “ร้านจะเปิดอีกครั้งพรุ่งนี้”
“เมลลอน” เอมิลี่ย้ำ “คุณควรให้ฉันเข้าไป เพราะฉันรู้รหัสนี่ไม่ใช่หรือ”
หรือพวกเขาไม่ได้ใช้รหัสนี้อีกต่อไปแล้ว --
ชายคนนั้นดูลังเล ดวงตายังคงจับจ้องไปที่เป้ของอีกฝ่าย “ฟังนะ” เขากระซิบ “เราไม่อยากมีข่าว หรือมีปัญหากันที่นี่”
เอมิลี่ขมวดคิ้ว “ฉันไม่ใช่ตัวปัญหา!” เธอพูดอย่างเย็นชา
ชายคนนั้นนิ่งไปเล็กน้อย หากแต่วินาทีถัดมาเขาก็ตัดสินใจปล่อยให้เธอเดินเข้าไปในร้าน
พลันความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเอมิลี่ ในทันทีที่เธอเดินเข้ามา
บาร์แห่งนี้ยังคงเล็ก และเป็นโครงสร้างแบบเก่า หากแต่มันไม่มีกลิ่นอับ คราบฝุ่น หรือเศษขยะให้เธอเห็นเช่นเมื่อในอดีตแม้สักนิด
บาร์เล็กๆแห่งนี้ดูสะอาดมากขึ้น และทันสมัยมากขึ้นด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีสไตล์มากกว่าเดิม เก้าอี้โทรมๆถูกรื้อออก และทดแทนด้วยเก้าอี้สูงตัวใหม่ที่แข็งแรง กำแพงที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก ถูกแต่งใหม่ด้วยสีทอง จนทำให้บาร์แห่งนี้ดูอบอุ่นมากขึ้นกว่าที่เธอจำได้ --
เธอจำได้
เอมิลี่นิ่งชะงักไป --
ไม่น่าเชื่อ -- เธอกลั้นใจ -- เธอยังคงจดจำทุกอย่างได้ดี
“เพลงนี้ ผมร้องให้คุณ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากลำโพง
เอมิลี่หันไปทางต้นเสียงนั้น ก่อนจะพบเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังยืนอยู่บนเวที
เด็กหนุ่มคนนั้นขยับไมโครโฟนตรงหน้าตนเอง ก่อนที่จะจับสายกีต้าร์ แล้วชี้นิ้วข้างหนึ่งมาทางเธอ “คุณ” เขาบอก
เอมิลี่วางเป้ลงบนโต๊ะข้างตนเอง ก่อนที่จะนั่งลงตรงขอบโต๊ะ แล้วจับจ้องไปทางเด็กหนุ่มบนเวที
พลันเสียงกีต้าร์ก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสั้นๆติดต่อกันสองสามครั้ง
เด็กหนุ่มเคาะกีต้าร์เป็นจังหวะ ก่อนจะเริ่มเล่นบทเพลง พร้อมกับเปล่งเสียงร้องที่ทุ้มกังวาน -- มันเป็นเสียงที่ติดแหบเล็กน้อยที่ปลายเสียง -- ชวนฟัง และมีเสน่ห์เกินกว่าจะให้เธอเบือนหน้าหนีไปจากเวทีนั่นได้
ฉันเดินเล่นไปบนถนนเส้นนั้น
อากาศร้อนเกินกว่าที่น้ำแข็งจะคงอยู่ได้
แต่แล้วเธอกลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งที่ไม่ละลาย
เธอผู้มีดวงตาสีเขียว เจิดจ้ายิ่งกว่าท้องฟ้าฤดูร้อน
เด็กหนุ่มจ้องมองเธอ ในขณะที่ร้องเพลงออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉันก็เลยถามคำถามออกมา
ว่าเธอไม่อยากรู้ชื่อของฉันจริงๆน่ะหรือ
เธอผู้มีเรือนผมสีดำยาว
ว่าเธอไม่อยากจะรู้จักฉันเลยจริงๆน่ะหรือ
แล้วเธอก็ยิ้มออกมา โดยไม่รู้ตัว
ยิ้มที่ร้อนแรงกว่าแสงแดดฤดูร้อน
แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวในตอนนั้น ว่าเป็นเธอไม่อาจเป็นน้ำแข็งที่ถูกหลอมละลายได้
เพราะเธอคือฤดูร้อนอันสดใสที่มีชีวิต
เอมิลี่ลืมหายใจไปในชั่วขณะ ราวกับบทเพลงนั้นได้ก้องกังวานไปทั่วโสตประสาทของเธอ -- กระตุ้นให้เธอสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวในใจของตนเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หวั่นไหว จนวินาทีหนึ่งเธอแทบจะสั่นสะท้าน และสำลักลมหายใจของตนเอง
แล้วคำถามหนึ่งก็ดังขึ้นมาในใจของเธอว่า
จริงหรือ --
เธอไม่เคยสัมผัสอารมณ์ของตนเองได้ขนาดนี้มาก่อนจริงๆน่ะหรือ -- เอมิลี่ไม่กล้าตอบคำถามนั้น
เธอกำมือแน่น ในขณะที่จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขาเองก็มองเธออยู่ก่อนแล้ว --
เด็กหนุ่มดีดกีต้าร์ต่อไป ในขณะที่เดินลงจากเวที แล้วค่อยๆเดินตรงมาทางเธอ
เธอผู้มีสีแดงในเรือนผมสีดำยาวนั่น
เธอผู้เป็นสีแดงเพลิง และเจิดจ้า อยู่ในสีดำขลับ และสีเขียวสดใสคนนั้น
แล้วเธอก็ยิ้มออกมา โดยไม่รู้ตัว
ถามฉันว่า เธอชื่ออะไรหรือ
แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวในตอนนั้น ว่าเป็นฉันเองที่ถูกหลอมละลายโดยเธอผู้เป็นฤดูร้อน
เธอผู้มีสีแดงในเรือนผมสีดำยาวนั่น
เธอผู้เป็นสีแดงเพลิง และเจิดจ้า อยู่ในสีดำขลับ และสีเขียวสดใสคนนั้น
เอมิลี่มองเด็กหนุ่มที่หยุดลงเบื้องหน้าตนเอง สบตามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ก่อนที่จะยกมือขึ้นสัมผัสเรือนผมสีทองนั่นอย่างช้าๆ
เขาไม่ได้เบือนหน้าหนีสัมผัสของเธอ
“มันชื่อเพลง
เธอฤดูร้อน” เธอได้ยินเสียงกระซิบมาจากเขา “และผมเล่นเพลงนี้เอาจริงเอาจัง เพราะผมเล่นมันเพื่อคุณ”
เพื่อคุณ --
ปฏิกิริยานั่นทำให้เอมิลี่ขยับมือแน่นขึ้น รั้งให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ตามแรงดึงนั่น -- ประสานสายตากับเธออยู่นาน -- ราวกับรอคอยอะไรบางอย่างจากเธอ
รอคอยคำพูดที่มากกว่านี้จากเธอ และรอคอยสัมผัสที่มากกว่านี้จากเธอ
แล้วเมื่อชั่วขณะนั้นผ่านพ้นไป เอมิลี่ก็พูดออกมาว่า
“นายไม่ได้ผมทองจริงๆนี่ --”
“เอมิลี่”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ทั้งเด็กหนุ่มและเอมิลี่สะดุ้งสุดตัว
เด็กหนุ่มผละจากเธอ รีบวิ่งไปทางอีกด้านหนึ่งของร้าน แล้วหายตัวไปทางหลังเวทีอย่างรวดเร็ว
เอมิลี่หอบหายใจอย่างรุนแรง สูดอัดอากาศเข้าเต็มปอด ร่างทั้งร่างเกร็งแน่น จนเธอรู้สึกปวดขมับขึ้นมาอย่างรุนแรง
เธอกะพริบตา กวาดตามองไปรอบๆตัว -- มองไปตามบาร์ที่ว่างเปล่า ก่อนที่สายตาจะประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าเข้มคู่หนึ่งตรงหน้า
แดนนี่ยืนอยู่ตรงนั้น -- จ้องมองเธอมาอย่างวิตกกังวล
“เอมิลี่” เขาเรียกเธออีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “คุณไม่เป็นอะไรนะ”
เอมิลี่จ้องมองแดนนี่นิ่ง “คุณหมายความว่าอะไร”
“คุณหน้าแดง” แดนนี่บอก ชี้ไปทางใบหูตนเอง “และหูคุณก็แดง”
เอมิลี่นิ่งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าไปทางนอกร้าน “อากาศร้อนน่ะ” เธอกระแอม
“ผมได้ยินคนร้องเพลง” แดนนี่เหลือบมองไปทางเวที “คุณร้องหรือ”
เอมิลี่ไม่ตอบ
แดนนี่มองรองเท้าผ้าใบของเธอ
“คุณเดินมาหรือ” เขาถาม “อากาศข้างนอกนั่นร้อนมากเลยนะ คุณควรจะบอกผม และติดรถมาด้วยกันกับผม”
เอมิลี่มองแดนนี่ “แล้วภรรยาคุณล่ะ” เธอถาม “ฉันนึกว่าเธอมากับคุณ”
แดนนี่ร้องอุทานออกมาเบาๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ หากแต่วินาทีถัดมาเขาก็เดินหายไปทางหลังเคาน์เตอร์บาร์ แล้วกลับออกมาพร้อมกับโคล่าเย็นสองขวด
“คุณไม่ดื่มแอลกอฮอล์เหมือนเดิมใช่ไหม” เขาถาม ลากเก้าอี้สูงมานั่งตรงข้ามเธอ
เอมิลี่ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
“ขอบคุณนะ” เอมิลี่ดื่มโคล่ารวดเดียวจนหมดขวด ส่งเสียงร้องชื่นใจออกมาอย่างสดชื่น
แดนนี่ท้าวคาง มองเอมิลี่เงียบๆ
เอมิลี่มองแดนนี่ ก่อนที่จะมองขวดโคล่าอีกขวด -- จากนั้นจึงมองกลับไปที่แดนนี่ เป็นเชิงถาม
แดนนี่เลื่อนขวดโคล่าให้เธอโดยที่ไม่รอให้เธอเอ่ยปากขอ
เอมิลี่ดื่มโคล่ารวดเดียวจนหมดเป็นขวดที่สอง หากแต่คราวนี้เธอปิดปากแน่น แทนที่จะร้องชื่นใจออกมา
แดนนี่ยังคงท้าวคางมองเธอ -- นิ่งรอครู่หนึ่ง -- ก่อนจะผายมือออกเป็นเชิงอนุญาต
แทบจะในทันทีที่เอมิลี่เรอออกมาดังลั่น
ทั้งแดนนี่และเอมิลี่หัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คุณยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” แดนนี่ทุบโต๊ะเบาๆ
“คุณเองก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เอมิลี่ชี้ไปทางเขาอย่างขำขัน
แล้วเมื่อเสียงหัวเราะนั้นค่อยๆเบาลง จนกลายเป็นความเงียบ ทั้งสองก็กลับมาเริ่มต้นบทสนทนากันไม่ได้อีกครั้ง เช่นที่เกิดขึ้นบนขบวนรถไฟก่อนหน้านี้
เป็นแดนนี่ ที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบอีกครั้ง
“รู้ไหม” เขาเอ่ยขึ้น “มีสองวิธีที่คุณจะทำให้ผมไม่ไปบอกใครว่าคุณเรอเสียงดังแบบนั้น”
เอมิลี่เม้มริมฝีปากแน่น
“ฉันไม่สนใจหรอก” เธอบอก “ทำไมคนธรรมดาทั่วไปจะเรอแบบนี้ไม่ได้”
“คุณไม่ใช่คนธรรมดา เอมิลี่” แดนนี่ว่า “คุณก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าคุณจะเรอแบบนี้ในที่สาธารณะไม่ได้”
เอมิลี่ถอนหายใจใส่เขา
“ไม่เอาน่า” แดนนี่กลอกตา “ไม่อยากรู้เหรอว่าสองวิธีไหน ที่ผมจะเสนอให้คุณ”
เอมิลี่ยักไหล่ “ก็ได้” เธอตอบ “สองวิธีที่ที่จะทำให้คุณไม่ไปบอกใครต่อใครว่าฉันเรอทุเรศแบบนั้น”
“ผมไม่ได้บอกว่าคุณทุเรศ แต่ก็ช่างเถอะ -- สองวิธีที่ว่า ก็คือตอบคำถามผมมาสองข้อ” แดนนี่ยกนิ้วโป้งขึ้น “คำถามแรกคือทำไมคุณมานั่งหน้าแดงอยู่ในบาร์ตอนนี้ และคำถามที่สอง --” เขายกนิ้วชี้ขึ้น “อะไรทำให้คุณกลับมาที่เมืองนี้”
เอมิลี่ยังคงเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อดูนิ่งเฉยขึ้นมา ดวงตาที่เปล่งประกายจากความขำขันก่อนหน้าดูหายไป และถูกแทนที่ด้วยความเศร้าในอะไรบางอย่าง
แดนนี่มองเห็นความเย็นชา และความเศร้าจากใบหน้างดงามนั่นได้ในทันที และมันทำให้เขารีบพูดออกมาว่า
“ขอโทษด้วย ผมอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าท่า” เขาพูดรัวเร็ว “ลืมไปเสีย ว่าผมถามคุณ --”
“ไม่ ฉันจะตอบ” เอมิลี่เคาะปลายนิ้วลงบนผิวโต๊ะเบาๆ “ฉันหน้าแดงอยู่ในบาร์ตอนนี้ เพราะเพลงฉันฤดูร้อน” เธอหลุบตามองปลายนิ้วตัวเอง “และฉันกลับมาที่นี่ เพราะฉันมีเรื่องต้องจัดการให้จบภายในพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้หรือ” แดนนี่ถามเสียงเบา “หมายความว่าคุณจะกลับพรุ่งนี้แล้วหรือ”
“พรุ่งนี้” เอมิลี่พยักหน้า เม้มริมฝีปากแน่นกว่าเดิม
“คุณมีที่พักแล้วใช่ไหม”
เอมิลี่พยักหน้าอีกครั้ง “โรงแรมห้าดาว” เธอบอก
“คุณรู้ใช่ไหม ว่ามันไม่ใช่ห้าดาวจริงๆหรอก มันเป็นแค่ชื่อที่ถูกตั้งขึ้น” แดนนี่พูดเสียงเบา “อันที่จริงมันแค่สี่ดาว และสามในสี่มาจากการที่คนท้องถิ่นประเมินกันเอง”
“ฉันรู้สิ” เอมิลี่ว่า “ฉันก็คนที่นี่นะ จำได้ไหม”
หากแต่คราวนี้ไม่มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นจากชายหญิงทั้งสอง
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างนั่งมองปลายนิ้วตนเองที่วางอยู่บนโต๊ะโดยไม่พูดอะไรออกมา
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่บาร์ตอนนี้ล่ะ แดนนี่” เอมิลี่กระแอมขึ้นมา “วงดนตรีควรจะเริ่มเล่นตอนค่ำไม่ใช่หรือ”
“ใช่” แดนนี่ตอบ “ผมถึงต้องมาจัดการร้านให้เสร็จก่อนล่วงหน้า ตอนบ่ายจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ และตอนค่ำจะได้ราบรื่น โดยเฉพาะมีคู่แต่งงานที่จองร้าน สำหรับงานเลี้ยงค่ำนี้”
เอมิลี่ยิ้มออกมา “คุณเป็นเจ้าของบาร์นี้แล้วหรือ” เธอปรบมือให้เขาอย่างจริงใจ
แดนนี่น้อมรับเสียงปรบมือนั่น “โจขายกิจการต่อให้ผมนะ” แดนนี่บอก
“งั้นฉันไปก่อนนะ” เอมิลี่ลุกขึ้น คว้าเป้มาสะพาย “คุณจะได้มีเวลาจัดการร้าน --”
“รู้ไหม -- คุณมาร่วมงานค่ำนี้ได้นะ” เขาบอก “มันเป็นงานแต่งของนาตาลีกับเอ็ดดี้ -- ที่ผมบอกบนรถไฟ จำได้ไหม -- งานเลี้ยงนี่ก็ไม่ต่างอะไรจากนัดรวมเพื่อนเก่าหรอก”
เพื่อนเก่า -- คำนี้ทำให้เอมิลี่รู้สึกลังเลขึ้นมา
“อย่าเลย พวกคุณสนุกกันให้เต็มที่เถอะ --” เธอบอก “ฉันไม่อยากทำให้บรรยากาศเสีย”
“ไม่หรอก -- ทำไมคุณพูดแบบนั้น --”
“แดนนี่” เอมิลี่แทรก “ฉันรู้ว่าฉันห่างเหินทุกคนมานานเกินกว่าจะกลับไปทำตัวสนิทกับใครได้” ก่อนที่จะเสริมว่า “ขอบคุณมากสำหรับโคล่าสองขวด”
“ใครบอกว่าผมให้คุณดื่มฟรี” แดนนี่ลุกขึ้นตามในทันที
เอมิลี่ถลึงตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่คุณงกแม้กระทั่งโคล่าน่ะหรือ” เธอพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเปิดเป้ ควานหาเงินสด
“เศรษฐกิจมันแย่น่ะ” แดนนี่พูดเสียงเรียบ กอดอกมองเธอนิ่ง “รู้ไหม ผมจะไม่คิดเงินคุณ ถ้าคุณพูดชื่อเพลงนั้นใหม่อีกรอบให้ถูกต้อง”
“เพลงอะไรกัน” เอมิลี่มึนงงขึ้นมา “
ฉันฤดูร้อนน่ะหรือ”
“เธอฤดูร้อน” แดนนี่แก้ “มันเป็นเพลงที่เด็กหนุ่มคนนั้นอุตส่าห์แต่งเอง ร้องเอง และเล่นกีต้าร์เองจนเป็นเพลงดังของเมืองนี้ไปแล้วนะ คุณห้ามเรียกมันผิดเด็ดขาด โดยเฉพาะต่อหน้าแม่ของเขา”
“แม่ของเขา” เอมิลี่ทวน
“แม่ของเขา” แดนนี่พยักหน้า
“แม่ของเขายังน่ากลัวเหมือนเดิมไหม” เอมิลี่ถาม
“คุณก็รู้” แดนนี่ถอนหายใจ “นิสัยคนเป็นแม่ มันเปลี่ยนกันยาก --”
เอมิลี่นิ่งไปเล็กน้อย “ตกลง” เธอว่า
“เธอฤดูร้อน”
แดนนี่ดูพอใจที่จะปล่อยเธอไป
“คุณจากเมืองนี้ไปนานจริงๆ เอมิลี่” แดนนี่ยิ้ม ก่อนจะโบกมือลา
SHE,SUMMER เธอ,ฤดูร้อน (5)
ชายร่างใหญ่คนนั้นมองสำรวจเธอในทันที ดวงตาหยีเล็กคู่นั้นมองเสื้อคลุมตัวโคร่งของเธอ ไปจนถึงชายกระโปรงแดง ที่ดูขัดกับรองเท้าผ้าใบคู่เก่านั่นอย่างเงียบๆ
“วันนี้บาร์ปิด” เขาบอก “ร้านจะเปิดอีกครั้งพรุ่งนี้”
“เมลลอน” เอมิลี่ย้ำ “คุณควรให้ฉันเข้าไป เพราะฉันรู้รหัสนี่ไม่ใช่หรือ”
หรือพวกเขาไม่ได้ใช้รหัสนี้อีกต่อไปแล้ว --
ชายคนนั้นดูลังเล ดวงตายังคงจับจ้องไปที่เป้ของอีกฝ่าย “ฟังนะ” เขากระซิบ “เราไม่อยากมีข่าว หรือมีปัญหากันที่นี่”
เอมิลี่ขมวดคิ้ว “ฉันไม่ใช่ตัวปัญหา!” เธอพูดอย่างเย็นชา
ชายคนนั้นนิ่งไปเล็กน้อย หากแต่วินาทีถัดมาเขาก็ตัดสินใจปล่อยให้เธอเดินเข้าไปในร้าน
พลันความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเอมิลี่ ในทันทีที่เธอเดินเข้ามา
บาร์แห่งนี้ยังคงเล็ก และเป็นโครงสร้างแบบเก่า หากแต่มันไม่มีกลิ่นอับ คราบฝุ่น หรือเศษขยะให้เธอเห็นเช่นเมื่อในอดีตแม้สักนิด
บาร์เล็กๆแห่งนี้ดูสะอาดมากขึ้น และทันสมัยมากขึ้นด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีสไตล์มากกว่าเดิม เก้าอี้โทรมๆถูกรื้อออก และทดแทนด้วยเก้าอี้สูงตัวใหม่ที่แข็งแรง กำแพงที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก ถูกแต่งใหม่ด้วยสีทอง จนทำให้บาร์แห่งนี้ดูอบอุ่นมากขึ้นกว่าที่เธอจำได้ --
เธอจำได้
เอมิลี่นิ่งชะงักไป --
ไม่น่าเชื่อ -- เธอกลั้นใจ -- เธอยังคงจดจำทุกอย่างได้ดี
“เพลงนี้ ผมร้องให้คุณ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากลำโพง
เอมิลี่หันไปทางต้นเสียงนั้น ก่อนจะพบเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังยืนอยู่บนเวที
เด็กหนุ่มคนนั้นขยับไมโครโฟนตรงหน้าตนเอง ก่อนที่จะจับสายกีต้าร์ แล้วชี้นิ้วข้างหนึ่งมาทางเธอ “คุณ” เขาบอก
เอมิลี่วางเป้ลงบนโต๊ะข้างตนเอง ก่อนที่จะนั่งลงตรงขอบโต๊ะ แล้วจับจ้องไปทางเด็กหนุ่มบนเวที
พลันเสียงกีต้าร์ก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสั้นๆติดต่อกันสองสามครั้ง
เด็กหนุ่มเคาะกีต้าร์เป็นจังหวะ ก่อนจะเริ่มเล่นบทเพลง พร้อมกับเปล่งเสียงร้องที่ทุ้มกังวาน -- มันเป็นเสียงที่ติดแหบเล็กน้อยที่ปลายเสียง -- ชวนฟัง และมีเสน่ห์เกินกว่าจะให้เธอเบือนหน้าหนีไปจากเวทีนั่นได้
ฉันเดินเล่นไปบนถนนเส้นนั้น
อากาศร้อนเกินกว่าที่น้ำแข็งจะคงอยู่ได้
แต่แล้วเธอกลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งที่ไม่ละลาย
เธอผู้มีดวงตาสีเขียว เจิดจ้ายิ่งกว่าท้องฟ้าฤดูร้อน
เด็กหนุ่มจ้องมองเธอ ในขณะที่ร้องเพลงออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉันก็เลยถามคำถามออกมา
ว่าเธอไม่อยากรู้ชื่อของฉันจริงๆน่ะหรือ
เธอผู้มีเรือนผมสีดำยาว
ว่าเธอไม่อยากจะรู้จักฉันเลยจริงๆน่ะหรือ
แล้วเธอก็ยิ้มออกมา โดยไม่รู้ตัว
ยิ้มที่ร้อนแรงกว่าแสงแดดฤดูร้อน
แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวในตอนนั้น ว่าเป็นเธอไม่อาจเป็นน้ำแข็งที่ถูกหลอมละลายได้
เพราะเธอคือฤดูร้อนอันสดใสที่มีชีวิต
เอมิลี่ลืมหายใจไปในชั่วขณะ ราวกับบทเพลงนั้นได้ก้องกังวานไปทั่วโสตประสาทของเธอ -- กระตุ้นให้เธอสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวในใจของตนเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หวั่นไหว จนวินาทีหนึ่งเธอแทบจะสั่นสะท้าน และสำลักลมหายใจของตนเอง
แล้วคำถามหนึ่งก็ดังขึ้นมาในใจของเธอว่า จริงหรือ --
เธอไม่เคยสัมผัสอารมณ์ของตนเองได้ขนาดนี้มาก่อนจริงๆน่ะหรือ -- เอมิลี่ไม่กล้าตอบคำถามนั้น
เธอกำมือแน่น ในขณะที่จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขาเองก็มองเธออยู่ก่อนแล้ว --
เด็กหนุ่มดีดกีต้าร์ต่อไป ในขณะที่เดินลงจากเวที แล้วค่อยๆเดินตรงมาทางเธอ
เธอผู้มีสีแดงในเรือนผมสีดำยาวนั่น
เธอผู้เป็นสีแดงเพลิง และเจิดจ้า อยู่ในสีดำขลับ และสีเขียวสดใสคนนั้น
แล้วเธอก็ยิ้มออกมา โดยไม่รู้ตัว
ถามฉันว่า เธอชื่ออะไรหรือ
แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวในตอนนั้น ว่าเป็นฉันเองที่ถูกหลอมละลายโดยเธอผู้เป็นฤดูร้อน
เธอผู้มีสีแดงในเรือนผมสีดำยาวนั่น
เธอผู้เป็นสีแดงเพลิง และเจิดจ้า อยู่ในสีดำขลับ และสีเขียวสดใสคนนั้น
เอมิลี่มองเด็กหนุ่มที่หยุดลงเบื้องหน้าตนเอง สบตามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ก่อนที่จะยกมือขึ้นสัมผัสเรือนผมสีทองนั่นอย่างช้าๆ
เขาไม่ได้เบือนหน้าหนีสัมผัสของเธอ
“มันชื่อเพลงเธอฤดูร้อน” เธอได้ยินเสียงกระซิบมาจากเขา “และผมเล่นเพลงนี้เอาจริงเอาจัง เพราะผมเล่นมันเพื่อคุณ”
เพื่อคุณ --
ปฏิกิริยานั่นทำให้เอมิลี่ขยับมือแน่นขึ้น รั้งให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ตามแรงดึงนั่น -- ประสานสายตากับเธออยู่นาน -- ราวกับรอคอยอะไรบางอย่างจากเธอ
รอคอยคำพูดที่มากกว่านี้จากเธอ และรอคอยสัมผัสที่มากกว่านี้จากเธอ
แล้วเมื่อชั่วขณะนั้นผ่านพ้นไป เอมิลี่ก็พูดออกมาว่า “นายไม่ได้ผมทองจริงๆนี่ --”
“เอมิลี่”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ทั้งเด็กหนุ่มและเอมิลี่สะดุ้งสุดตัว
เด็กหนุ่มผละจากเธอ รีบวิ่งไปทางอีกด้านหนึ่งของร้าน แล้วหายตัวไปทางหลังเวทีอย่างรวดเร็ว
เอมิลี่หอบหายใจอย่างรุนแรง สูดอัดอากาศเข้าเต็มปอด ร่างทั้งร่างเกร็งแน่น จนเธอรู้สึกปวดขมับขึ้นมาอย่างรุนแรง
เธอกะพริบตา กวาดตามองไปรอบๆตัว -- มองไปตามบาร์ที่ว่างเปล่า ก่อนที่สายตาจะประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าเข้มคู่หนึ่งตรงหน้า
แดนนี่ยืนอยู่ตรงนั้น -- จ้องมองเธอมาอย่างวิตกกังวล
“เอมิลี่” เขาเรียกเธออีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “คุณไม่เป็นอะไรนะ”
เอมิลี่จ้องมองแดนนี่นิ่ง “คุณหมายความว่าอะไร”
“คุณหน้าแดง” แดนนี่บอก ชี้ไปทางใบหูตนเอง “และหูคุณก็แดง”
เอมิลี่นิ่งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าไปทางนอกร้าน “อากาศร้อนน่ะ” เธอกระแอม
“ผมได้ยินคนร้องเพลง” แดนนี่เหลือบมองไปทางเวที “คุณร้องหรือ”
เอมิลี่ไม่ตอบ
แดนนี่มองรองเท้าผ้าใบของเธอ
“คุณเดินมาหรือ” เขาถาม “อากาศข้างนอกนั่นร้อนมากเลยนะ คุณควรจะบอกผม และติดรถมาด้วยกันกับผม”
เอมิลี่มองแดนนี่ “แล้วภรรยาคุณล่ะ” เธอถาม “ฉันนึกว่าเธอมากับคุณ”
แดนนี่ร้องอุทานออกมาเบาๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ หากแต่วินาทีถัดมาเขาก็เดินหายไปทางหลังเคาน์เตอร์บาร์ แล้วกลับออกมาพร้อมกับโคล่าเย็นสองขวด
“คุณไม่ดื่มแอลกอฮอล์เหมือนเดิมใช่ไหม” เขาถาม ลากเก้าอี้สูงมานั่งตรงข้ามเธอ
เอมิลี่ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
“ขอบคุณนะ” เอมิลี่ดื่มโคล่ารวดเดียวจนหมดขวด ส่งเสียงร้องชื่นใจออกมาอย่างสดชื่น
แดนนี่ท้าวคาง มองเอมิลี่เงียบๆ
เอมิลี่มองแดนนี่ ก่อนที่จะมองขวดโคล่าอีกขวด -- จากนั้นจึงมองกลับไปที่แดนนี่ เป็นเชิงถาม
แดนนี่เลื่อนขวดโคล่าให้เธอโดยที่ไม่รอให้เธอเอ่ยปากขอ
เอมิลี่ดื่มโคล่ารวดเดียวจนหมดเป็นขวดที่สอง หากแต่คราวนี้เธอปิดปากแน่น แทนที่จะร้องชื่นใจออกมา
แดนนี่ยังคงท้าวคางมองเธอ -- นิ่งรอครู่หนึ่ง -- ก่อนจะผายมือออกเป็นเชิงอนุญาต
แทบจะในทันทีที่เอมิลี่เรอออกมาดังลั่น
ทั้งแดนนี่และเอมิลี่หัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คุณยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” แดนนี่ทุบโต๊ะเบาๆ
“คุณเองก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เอมิลี่ชี้ไปทางเขาอย่างขำขัน
แล้วเมื่อเสียงหัวเราะนั้นค่อยๆเบาลง จนกลายเป็นความเงียบ ทั้งสองก็กลับมาเริ่มต้นบทสนทนากันไม่ได้อีกครั้ง เช่นที่เกิดขึ้นบนขบวนรถไฟก่อนหน้านี้
เป็นแดนนี่ ที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบอีกครั้ง
“รู้ไหม” เขาเอ่ยขึ้น “มีสองวิธีที่คุณจะทำให้ผมไม่ไปบอกใครว่าคุณเรอเสียงดังแบบนั้น”
เอมิลี่เม้มริมฝีปากแน่น
“ฉันไม่สนใจหรอก” เธอบอก “ทำไมคนธรรมดาทั่วไปจะเรอแบบนี้ไม่ได้”
“คุณไม่ใช่คนธรรมดา เอมิลี่” แดนนี่ว่า “คุณก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าคุณจะเรอแบบนี้ในที่สาธารณะไม่ได้”
เอมิลี่ถอนหายใจใส่เขา
“ไม่เอาน่า” แดนนี่กลอกตา “ไม่อยากรู้เหรอว่าสองวิธีไหน ที่ผมจะเสนอให้คุณ”
เอมิลี่ยักไหล่ “ก็ได้” เธอตอบ “สองวิธีที่ที่จะทำให้คุณไม่ไปบอกใครต่อใครว่าฉันเรอทุเรศแบบนั้น”
“ผมไม่ได้บอกว่าคุณทุเรศ แต่ก็ช่างเถอะ -- สองวิธีที่ว่า ก็คือตอบคำถามผมมาสองข้อ” แดนนี่ยกนิ้วโป้งขึ้น “คำถามแรกคือทำไมคุณมานั่งหน้าแดงอยู่ในบาร์ตอนนี้ และคำถามที่สอง --” เขายกนิ้วชี้ขึ้น “อะไรทำให้คุณกลับมาที่เมืองนี้”
เอมิลี่ยังคงเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อดูนิ่งเฉยขึ้นมา ดวงตาที่เปล่งประกายจากความขำขันก่อนหน้าดูหายไป และถูกแทนที่ด้วยความเศร้าในอะไรบางอย่าง
แดนนี่มองเห็นความเย็นชา และความเศร้าจากใบหน้างดงามนั่นได้ในทันที และมันทำให้เขารีบพูดออกมาว่า
“ขอโทษด้วย ผมอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าท่า” เขาพูดรัวเร็ว “ลืมไปเสีย ว่าผมถามคุณ --”
“ไม่ ฉันจะตอบ” เอมิลี่เคาะปลายนิ้วลงบนผิวโต๊ะเบาๆ “ฉันหน้าแดงอยู่ในบาร์ตอนนี้ เพราะเพลงฉันฤดูร้อน” เธอหลุบตามองปลายนิ้วตัวเอง “และฉันกลับมาที่นี่ เพราะฉันมีเรื่องต้องจัดการให้จบภายในพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้หรือ” แดนนี่ถามเสียงเบา “หมายความว่าคุณจะกลับพรุ่งนี้แล้วหรือ”
“พรุ่งนี้” เอมิลี่พยักหน้า เม้มริมฝีปากแน่นกว่าเดิม
“คุณมีที่พักแล้วใช่ไหม”
เอมิลี่พยักหน้าอีกครั้ง “โรงแรมห้าดาว” เธอบอก
“คุณรู้ใช่ไหม ว่ามันไม่ใช่ห้าดาวจริงๆหรอก มันเป็นแค่ชื่อที่ถูกตั้งขึ้น” แดนนี่พูดเสียงเบา “อันที่จริงมันแค่สี่ดาว และสามในสี่มาจากการที่คนท้องถิ่นประเมินกันเอง”
“ฉันรู้สิ” เอมิลี่ว่า “ฉันก็คนที่นี่นะ จำได้ไหม”
หากแต่คราวนี้ไม่มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นจากชายหญิงทั้งสอง
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างนั่งมองปลายนิ้วตนเองที่วางอยู่บนโต๊ะโดยไม่พูดอะไรออกมา
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่บาร์ตอนนี้ล่ะ แดนนี่” เอมิลี่กระแอมขึ้นมา “วงดนตรีควรจะเริ่มเล่นตอนค่ำไม่ใช่หรือ”
“ใช่” แดนนี่ตอบ “ผมถึงต้องมาจัดการร้านให้เสร็จก่อนล่วงหน้า ตอนบ่ายจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ และตอนค่ำจะได้ราบรื่น โดยเฉพาะมีคู่แต่งงานที่จองร้าน สำหรับงานเลี้ยงค่ำนี้”
เอมิลี่ยิ้มออกมา “คุณเป็นเจ้าของบาร์นี้แล้วหรือ” เธอปรบมือให้เขาอย่างจริงใจ
แดนนี่น้อมรับเสียงปรบมือนั่น “โจขายกิจการต่อให้ผมนะ” แดนนี่บอก
“งั้นฉันไปก่อนนะ” เอมิลี่ลุกขึ้น คว้าเป้มาสะพาย “คุณจะได้มีเวลาจัดการร้าน --”
“รู้ไหม -- คุณมาร่วมงานค่ำนี้ได้นะ” เขาบอก “มันเป็นงานแต่งของนาตาลีกับเอ็ดดี้ -- ที่ผมบอกบนรถไฟ จำได้ไหม -- งานเลี้ยงนี่ก็ไม่ต่างอะไรจากนัดรวมเพื่อนเก่าหรอก”
เพื่อนเก่า -- คำนี้ทำให้เอมิลี่รู้สึกลังเลขึ้นมา
“อย่าเลย พวกคุณสนุกกันให้เต็มที่เถอะ --” เธอบอก “ฉันไม่อยากทำให้บรรยากาศเสีย”
“ไม่หรอก -- ทำไมคุณพูดแบบนั้น --”
“แดนนี่” เอมิลี่แทรก “ฉันรู้ว่าฉันห่างเหินทุกคนมานานเกินกว่าจะกลับไปทำตัวสนิทกับใครได้” ก่อนที่จะเสริมว่า “ขอบคุณมากสำหรับโคล่าสองขวด”
“ใครบอกว่าผมให้คุณดื่มฟรี” แดนนี่ลุกขึ้นตามในทันที
เอมิลี่ถลึงตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่คุณงกแม้กระทั่งโคล่าน่ะหรือ” เธอพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเปิดเป้ ควานหาเงินสด
“เศรษฐกิจมันแย่น่ะ” แดนนี่พูดเสียงเรียบ กอดอกมองเธอนิ่ง “รู้ไหม ผมจะไม่คิดเงินคุณ ถ้าคุณพูดชื่อเพลงนั้นใหม่อีกรอบให้ถูกต้อง”
“เพลงอะไรกัน” เอมิลี่มึนงงขึ้นมา “ฉันฤดูร้อนน่ะหรือ”
“เธอฤดูร้อน” แดนนี่แก้ “มันเป็นเพลงที่เด็กหนุ่มคนนั้นอุตส่าห์แต่งเอง ร้องเอง และเล่นกีต้าร์เองจนเป็นเพลงดังของเมืองนี้ไปแล้วนะ คุณห้ามเรียกมันผิดเด็ดขาด โดยเฉพาะต่อหน้าแม่ของเขา”
“แม่ของเขา” เอมิลี่ทวน
“แม่ของเขา” แดนนี่พยักหน้า
“แม่ของเขายังน่ากลัวเหมือนเดิมไหม” เอมิลี่ถาม
“คุณก็รู้” แดนนี่ถอนหายใจ “นิสัยคนเป็นแม่ มันเปลี่ยนกันยาก --”
เอมิลี่นิ่งไปเล็กน้อย “ตกลง” เธอว่า “เธอฤดูร้อน”
แดนนี่ดูพอใจที่จะปล่อยเธอไป
“คุณจากเมืองนี้ไปนานจริงๆ เอมิลี่” แดนนี่ยิ้ม ก่อนจะโบกมือลา