คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ที่จริงคนที่ไปเรียนเองแล้วมาเล่าประสบการณ์เองก็มีเยอะอยู่นะครับ ลองหาอ่านกันเองก็มีเยอะอยู่
ลองอ่านที่ คห. 24 ดูก็ได้ครับ
https://ppantip.com/topic/33135248
https://m.ppantip.com/topic/33660937
https://ppantip.com/topic/35209067/comment15
เอาตัวอย่างมาให้ดูนิดหน่อยครับ
“มีเพื่อนจากต่างชาติหลายคนตอนมัธยมไม่ได้จบสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ก็ยังสามารถสมัครเรียนต่อได้ ทั้งที่ไม่เคยเรียน เคมี, ฟิสกส์, ชีววิทยา
เท่าที่ทราบบางมหาวิทยาลัยในประเทศจีน สาขา MBBS รับนักศึกษาต่างชาติ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าเด็กคนนั้นมี background อย่างไร อาจารย์บางท่านที่สอนก็มีปัญหาด้านภาษา หลักสูตรเท่าที่เห็นก็ไม่ได้เข้มข้น (เห็นได้ชัดเจนระหว่างนักศึกษาแพทย์ที่ไทยกับที่จีน) คนที่คิดจะมาเรียนแพทย์ที่จีนคิดให้มากๆนะครับ”
"เพิ่งลาออกมา ก่อนไปเรียนคนเตือนก็ไม่ฟัง ดื้อจะไปเรียน สุดท้ายก็อย่าง คห.1 ว่า เรียนแล้วไม่มีอนาคต
ก่อนสอบอาจารย์บอกข้อสอบ ตรง. 50-100% ทำให้ไม่ค่อยตกกัน ผมท้าให้ไปถามเบสิกซายกับคนที่เพิ่งเรียนวิชานั้นๆจบเลย ว่ามีความรู้เท่าไร แล้วคุณจะอึ้งว่าmangไม่รู้ ha อะไรเลย มหาวิทยาลัยผมสอบใบประกอบกันไม่ได้สักคน ที่มหาลัยอื่นเห็นสอบผ่านสเต็ป1 บ้างประปราย แต่ก็ยังไม่เจอคนที่เป็นหมอจบจากจีน
อาจารย์สอนไปงั้น เข้าห้องมาเพื่อให้ได้สอน บางทีเข้ามาพูดๆอยู่คนเดียวด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษระดับแย่สุดๆ สำเนียงจีน คำศัพท์ที่มช้ก็เป็นคำง่ายๆ อ่านสไลด์ให้ฟัง สรุปคือส่วนใหญ่เกือบทุกวิชาถ้าอยากมีความรู้ต้องอ่านเอง ซึ่งอาจารย์ก็สอนแย่อยู่แล้ว เรียนชิวๆสอบผ่านง่ายๆแล้วแทนที่สังคมจะพากันขยัน ไม่เลย ส่วนใหญ่ก็เรียนแล้วทิ้งกัน
ชั้นคลีนิกไม่มีการตรวจคนไข้จริงๆ เวลาส่วนใหญ่คุณจะอยู่ในห้องเรียน คุณจะจบมาเป็นหมอแบบไม่มีความรู้อะไรเลย ทำหัตถการไม่เป็น ซักประวัติตรวจร่างกายคนไข้ไม่ได้
ถ้าคุณยังไม่เชื่อก็ไปเรียนเลยครับ คิดง่ายๆว่ามหาวิทยาลัยแพทย์ที่รวมเด็กสอบไม่ติดมาไว้รวมกันมันจะมีมารตฐานไหม สอบที่ไทยไม่ผ่านก็สอบใหม่อครับ ตอนนี้คุณจะยังมองไม่ออกหรอก แต่พอคุณขึ้นชั้นสูงขึ้น เห็นแพทย์ที่ไทยทำงานแล้วจะละอายใจ ว่าเราจะเป็นแพทย์อย่างเขาได้หรอ อย่าคิดแต่ว่าอยากเป็นหมอ แล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยที่มันรับเข้าง่ายๆ สงสารคนไข้บ้าง จำไว้ว่าเราเป็นหมอต้องมีคุณภาพสูงสุด ไม่do harm คนไข้ ที่คุณพูดน่ะว่ามหาวิทยาลัยมันrankingสูงกว่าไทย จริงครับผมยอมรับ ถ้าคุณไปเรียนหลักสูตรที่คนจีนปกติเขาเรียนกัน เขาเรียนกันหนักมากไม่ต่างจากไทย ไม่ใช่หลักสูตรที่เปิดรับเฉพาะคนต่างชาติ มันคนละเรื่องกันครับ
สรุปสั้นๆ หลักสูตรแพทย์อินเตอร์คือหายนะ แย่มาก ทำให้เราเสียเวลาชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมไม่มีวันเลือกไปเรียนแน่ๆ"
“ไม่ได้เรียนที่เจ้อเจียง แต่เรียนปี6 ที่สถาบันอื่น ในจีน
อยากบอกว่าถ้าย้อนเวลาไปบอกตัวเองได้จะบอกว่า ไม่เลือกเส้นทางนี้”
ลองอ่านที่ คห. 24 ดูก็ได้ครับ
https://ppantip.com/topic/33135248
https://m.ppantip.com/topic/33660937
https://ppantip.com/topic/35209067/comment15
เอาตัวอย่างมาให้ดูนิดหน่อยครับ
“มีเพื่อนจากต่างชาติหลายคนตอนมัธยมไม่ได้จบสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ก็ยังสามารถสมัครเรียนต่อได้ ทั้งที่ไม่เคยเรียน เคมี, ฟิสกส์, ชีววิทยา
เท่าที่ทราบบางมหาวิทยาลัยในประเทศจีน สาขา MBBS รับนักศึกษาต่างชาติ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าเด็กคนนั้นมี background อย่างไร อาจารย์บางท่านที่สอนก็มีปัญหาด้านภาษา หลักสูตรเท่าที่เห็นก็ไม่ได้เข้มข้น (เห็นได้ชัดเจนระหว่างนักศึกษาแพทย์ที่ไทยกับที่จีน) คนที่คิดจะมาเรียนแพทย์ที่จีนคิดให้มากๆนะครับ”
"เพิ่งลาออกมา ก่อนไปเรียนคนเตือนก็ไม่ฟัง ดื้อจะไปเรียน สุดท้ายก็อย่าง คห.1 ว่า เรียนแล้วไม่มีอนาคต
ก่อนสอบอาจารย์บอกข้อสอบ ตรง. 50-100% ทำให้ไม่ค่อยตกกัน ผมท้าให้ไปถามเบสิกซายกับคนที่เพิ่งเรียนวิชานั้นๆจบเลย ว่ามีความรู้เท่าไร แล้วคุณจะอึ้งว่าmangไม่รู้ ha อะไรเลย มหาวิทยาลัยผมสอบใบประกอบกันไม่ได้สักคน ที่มหาลัยอื่นเห็นสอบผ่านสเต็ป1 บ้างประปราย แต่ก็ยังไม่เจอคนที่เป็นหมอจบจากจีน
อาจารย์สอนไปงั้น เข้าห้องมาเพื่อให้ได้สอน บางทีเข้ามาพูดๆอยู่คนเดียวด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษระดับแย่สุดๆ สำเนียงจีน คำศัพท์ที่มช้ก็เป็นคำง่ายๆ อ่านสไลด์ให้ฟัง สรุปคือส่วนใหญ่เกือบทุกวิชาถ้าอยากมีความรู้ต้องอ่านเอง ซึ่งอาจารย์ก็สอนแย่อยู่แล้ว เรียนชิวๆสอบผ่านง่ายๆแล้วแทนที่สังคมจะพากันขยัน ไม่เลย ส่วนใหญ่ก็เรียนแล้วทิ้งกัน
ชั้นคลีนิกไม่มีการตรวจคนไข้จริงๆ เวลาส่วนใหญ่คุณจะอยู่ในห้องเรียน คุณจะจบมาเป็นหมอแบบไม่มีความรู้อะไรเลย ทำหัตถการไม่เป็น ซักประวัติตรวจร่างกายคนไข้ไม่ได้
ถ้าคุณยังไม่เชื่อก็ไปเรียนเลยครับ คิดง่ายๆว่ามหาวิทยาลัยแพทย์ที่รวมเด็กสอบไม่ติดมาไว้รวมกันมันจะมีมารตฐานไหม สอบที่ไทยไม่ผ่านก็สอบใหม่อครับ ตอนนี้คุณจะยังมองไม่ออกหรอก แต่พอคุณขึ้นชั้นสูงขึ้น เห็นแพทย์ที่ไทยทำงานแล้วจะละอายใจ ว่าเราจะเป็นแพทย์อย่างเขาได้หรอ อย่าคิดแต่ว่าอยากเป็นหมอ แล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยที่มันรับเข้าง่ายๆ สงสารคนไข้บ้าง จำไว้ว่าเราเป็นหมอต้องมีคุณภาพสูงสุด ไม่do harm คนไข้ ที่คุณพูดน่ะว่ามหาวิทยาลัยมันrankingสูงกว่าไทย จริงครับผมยอมรับ ถ้าคุณไปเรียนหลักสูตรที่คนจีนปกติเขาเรียนกัน เขาเรียนกันหนักมากไม่ต่างจากไทย ไม่ใช่หลักสูตรที่เปิดรับเฉพาะคนต่างชาติ มันคนละเรื่องกันครับ
สรุปสั้นๆ หลักสูตรแพทย์อินเตอร์คือหายนะ แย่มาก ทำให้เราเสียเวลาชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมไม่มีวันเลือกไปเรียนแน่ๆ"
“ไม่ได้เรียนที่เจ้อเจียง แต่เรียนปี6 ที่สถาบันอื่น ในจีน
อยากบอกว่าถ้าย้อนเวลาไปบอกตัวเองได้จะบอกว่า ไม่เลือกเส้นทางนี้”
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 33
หลายคนยังไม่รู้ตัว
ถ้าเค้าแค่ต้องการถามเพื่อนหมอด้วยกัน มันมีเวบเฉพาะเพื่อนหมอด้วยกันนะครับ
นี่คือเค้าต้องการประจาน
ต้องการให้ประชาชนตระหนัก และรับรู้ถึงหลักสูตรหมอในจีน
ใครที่คิดจะไปเรียนที่จีนควรคิดให้ดีๆ
ดังนั้นคนที่เพิ่งจบจากหลักสูตรจีน เลิกโวยวายแบบน้ำท่วมทุ่งได้แล้ว
เขียนเป็น essay แต่เนื้อหาจับต้องไม่ได้ แล้วด่าจขกท. เรื่องใจร้าย ไร้คุณธรรม น้องอ่านแล้วหงุดหงิด
จขกท. ด่าจุดไหน คุณดีเฟนด์จุดนั้นครับ นี่เค้าไม่ได้ด่าลอยๆนะ เค้าชี้ประเด็นหลายประเด็น ถ้าคุณมีดี คุณต้องตอกกลับให้จขกท. หน้าหงายได้
ไม่อยากพูดแบบนี้เท่าไหร่ แต่เห็นคนที่จบปริญญาสองใบเถียงได้เท่ากับคนจบมัธยมแล้วน้องเหนื่อยจัยยยยย
ถ้าเค้าแค่ต้องการถามเพื่อนหมอด้วยกัน มันมีเวบเฉพาะเพื่อนหมอด้วยกันนะครับ
นี่คือเค้าต้องการประจาน
ต้องการให้ประชาชนตระหนัก และรับรู้ถึงหลักสูตรหมอในจีน
ใครที่คิดจะไปเรียนที่จีนควรคิดให้ดีๆ
ดังนั้นคนที่เพิ่งจบจากหลักสูตรจีน เลิกโวยวายแบบน้ำท่วมทุ่งได้แล้ว
เขียนเป็น essay แต่เนื้อหาจับต้องไม่ได้ แล้วด่าจขกท. เรื่องใจร้าย ไร้คุณธรรม น้องอ่านแล้วหงุดหงิด
จขกท. ด่าจุดไหน คุณดีเฟนด์จุดนั้นครับ นี่เค้าไม่ได้ด่าลอยๆนะ เค้าชี้ประเด็นหลายประเด็น ถ้าคุณมีดี คุณต้องตอกกลับให้จขกท. หน้าหงายได้
ไม่อยากพูดแบบนี้เท่าไหร่ แต่เห็นคนที่จบปริญญาสองใบเถียงได้เท่ากับคนจบมัธยมแล้วน้องเหนื่อยจัยยยยย
ความคิดเห็นที่ 36
อันนี้ผมขอเสนอความคิดเห็นนิดนึงนะคับ แพทย์ไม่ใช่อาชีพที่มีความพยายามอย่างเดียวถึงจะเป็นได้นะคับต้องเก่งมีความรู้ระดับนึง เพราะมันคือความเป็นความตายเลยนะคับ อันนี้คือความจริง ที้อาจจะเเทงใจหลายๆคน ผมเป็น extern จบจากในไทยวนอยู่รพ นอกแห่งหนึ่งมีหมอฝึกงานจากจีนมาเหมือนกัน คือผมจะไม่พูดถึงระบบการเรียน ผมจะไม่พูดถึงว่าเทคโนโลยีที่นู่นทางการแพทย์ดีกว่าเรายังไง ผมดูจากผลลัพธ์ แน่นอนผมไม่อยากเหมารวม นศพ จากจีนที่ผมเห็นมีเพียง 2 คนเท่านั้นดังนั้นผมจะบอกแค่2คนนั้น ซักประวัติไม่เป็น วินิจฉัยโรคไม่ได้ ตรวจคนไข้ปวดท้องไม่ได้ เขียนใบ order ให้น้ำเกลือง่ายๆไม่เป็น guideline cpr ไม่แม่น ทั้งๆที่หมายถึงชีวิตผู้ป่วย ทั้งๆที่จบแพทย์มาเเล้ว คือถามว่าพวกผมสอนพวกเค้ามั้ย พวกผมพยายามสอนเเล้ว เเต่ผมบอกตรงๆว่าพื้นฐานแทบไม่มีเลย ทำให้ผมสอนด้วยความยากลำบากมากๆ งานพวกผมก็ยุ่งไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น ผมมาบอกแค่นี้แหละ ถ้าจะให้แนะนำเรียนที่ไทยเถอะคับ ผมไม่รุ้นะว่า นศพ จีน สอบผ่าน nl กี่คน เพราะ nl มันเป็นข้อสอบอะคับยังไงมีคนติวดีๆขยันๆยังไงก็ผ่านได้คับผมยืนยัน แต่อาจจะยากหน่อยเท่านั้นเอง
ความคิดเห็นที่ 24
ผมเป็น นศพ จบจากประเทศจีนครับ
จากที่กล่าวมา ผมว่าไม่ผิดครับ
คนที่มาเรียนแพทย์ที่จีน ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแพทย์จริงๆเยอะครับ เช่นเรียนเพื่อดีกรี เรียนเพราะพ่อแม่ให้มาเรียน เรียนเพื่อทำธุรกิจที่จีนก็มี
แต่จะมีบางกลุ่มที่ อกหักจาก กสพท สอบตรงไม่ติด แล้วเลือกที่จะมาใช้เส้นทางนี้ไปตามความฝันก็มีครับ
-ผมจะพูดประเด็นด้านความรู้นะครับ ขอแบ่งเป็นด้านทฤษฏี กับ ปฏิบัติ
-ความรู้ด้านทฤษฏี ผมถือว่าค่อนข้างโอเคนะครับ แต่อาจจะไม่มีสังคมการแข่งขันเหมือนที่ไทย คนเรียนเก่งก็จะแข่งกันเอง (คนกลุ่มน้อยนี้ เมื่อกลับมาสอบศรว.1,2 ก็จะผ่านเป็นส่วนใหญ่) ส่วนพวกเรียนไม่เก่ง รึไม่เรียนเลย ก็รอสอบแก้อย่างเดียว สอบแก้ได้เรื่อยๆจนกว่าจะผ่าน รอบสอบแก้อ.ก็จะไม่เข้มงวด เด็กก็ลอกข้อสอบกันเป็นว่าเล่น ในบางม.ถ้าจ่ายใต้โต๊ะก็จะสอบแก้ผ่านวิชานั้นไปเลยก็มี(คนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ จบมาก็เอาดีกรี ส่วนใหญ่จะสอบไม่ผ่าน แล้วจะไปทำงานสายอื่น)
-ด้านความรู้ทางปฏิบัติ (ช่วง internปี6)
อันนี้ขอบอกตรงๆเลยว่า แย่ครับ ไม่ได้แย่ที่นศพ.นะ แต่แย่ตรงหลักสูตรจีน แทบจะไม่ได้ฝึกอะไรเลย หมอ,เด้นท์ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ได้ดูเคสต่างๆก็จริง แต่ไม่ได้ปฏิบัติจริง ยิ่งเป็นเด็กต่างชาติแล้ว อ.ยิ่งไม่สนเข้าไปใหญ่ ทุกอย่างเป็นภาษาจีน ภาษาจีนที่เรียนมาแทบใช้ไม่ได้เมื่อเจอศัพท์เฉพาะแพทย์ อ.บางคนพูดอังกฤษไม่ได้ สอนไม่ได้ก็มี การปฏิบัติทั้งหลายจะเป็น resident รึ อ
หมอ เป็นหลัก เหตุผลก็เพราะว่า คนไข้ที่จีนมีการฟ้องร้องเอาเรื่องกับหมอเยอะมาก นิดๆหน่อยๆก็ฟ้อง ทำงานเป็นหมอเหมือนหมอจบใหม่ที่ไทยได้ ต้องเป็น residentเท่านั้น , internที่จีน ไม่มีบทบาทเลย ซึ่ง บริบทของinternไทย กับinternจีน ต่างกันมาก
-เลยไม่แปลกครับ ที่จบมาแล้วจะไม่มีทักษะพวกนี้เลย ดังนั้นการฝึกงานที่ไทย เหมือนเป็นการฝึกเริ่มต้นตั้งแต่0 ครับ ช่วยอดทนนิดนึงนะครับ ให้โอกาสกับนศพเหล่านี้ ผมเชื่อว่าถ้าหากผ่านการฝึกที่ดี ก็จะมีทักษะที่ดีขึ้นเทียบเท่า นศพไทยครับ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
จากที่กล่าวมา ผมว่าไม่ผิดครับ
คนที่มาเรียนแพทย์ที่จีน ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแพทย์จริงๆเยอะครับ เช่นเรียนเพื่อดีกรี เรียนเพราะพ่อแม่ให้มาเรียน เรียนเพื่อทำธุรกิจที่จีนก็มี
แต่จะมีบางกลุ่มที่ อกหักจาก กสพท สอบตรงไม่ติด แล้วเลือกที่จะมาใช้เส้นทางนี้ไปตามความฝันก็มีครับ
-ผมจะพูดประเด็นด้านความรู้นะครับ ขอแบ่งเป็นด้านทฤษฏี กับ ปฏิบัติ
-ความรู้ด้านทฤษฏี ผมถือว่าค่อนข้างโอเคนะครับ แต่อาจจะไม่มีสังคมการแข่งขันเหมือนที่ไทย คนเรียนเก่งก็จะแข่งกันเอง (คนกลุ่มน้อยนี้ เมื่อกลับมาสอบศรว.1,2 ก็จะผ่านเป็นส่วนใหญ่) ส่วนพวกเรียนไม่เก่ง รึไม่เรียนเลย ก็รอสอบแก้อย่างเดียว สอบแก้ได้เรื่อยๆจนกว่าจะผ่าน รอบสอบแก้อ.ก็จะไม่เข้มงวด เด็กก็ลอกข้อสอบกันเป็นว่าเล่น ในบางม.ถ้าจ่ายใต้โต๊ะก็จะสอบแก้ผ่านวิชานั้นไปเลยก็มี(คนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ จบมาก็เอาดีกรี ส่วนใหญ่จะสอบไม่ผ่าน แล้วจะไปทำงานสายอื่น)
-ด้านความรู้ทางปฏิบัติ (ช่วง internปี6)
อันนี้ขอบอกตรงๆเลยว่า แย่ครับ ไม่ได้แย่ที่นศพ.นะ แต่แย่ตรงหลักสูตรจีน แทบจะไม่ได้ฝึกอะไรเลย หมอ,เด้นท์ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ได้ดูเคสต่างๆก็จริง แต่ไม่ได้ปฏิบัติจริง ยิ่งเป็นเด็กต่างชาติแล้ว อ.ยิ่งไม่สนเข้าไปใหญ่ ทุกอย่างเป็นภาษาจีน ภาษาจีนที่เรียนมาแทบใช้ไม่ได้เมื่อเจอศัพท์เฉพาะแพทย์ อ.บางคนพูดอังกฤษไม่ได้ สอนไม่ได้ก็มี การปฏิบัติทั้งหลายจะเป็น resident รึ อ
หมอ เป็นหลัก เหตุผลก็เพราะว่า คนไข้ที่จีนมีการฟ้องร้องเอาเรื่องกับหมอเยอะมาก นิดๆหน่อยๆก็ฟ้อง ทำงานเป็นหมอเหมือนหมอจบใหม่ที่ไทยได้ ต้องเป็น residentเท่านั้น , internที่จีน ไม่มีบทบาทเลย ซึ่ง บริบทของinternไทย กับinternจีน ต่างกันมาก
-เลยไม่แปลกครับ ที่จบมาแล้วจะไม่มีทักษะพวกนี้เลย ดังนั้นการฝึกงานที่ไทย เหมือนเป็นการฝึกเริ่มต้นตั้งแต่0 ครับ ช่วยอดทนนิดนึงนะครับ ให้โอกาสกับนศพเหล่านี้ ผมเชื่อว่าถ้าหากผ่านการฝึกที่ดี ก็จะมีทักษะที่ดีขึ้นเทียบเท่า นศพไทยครับ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ความคิดเห็นที่ 120
อ่านแล้วอดไม่ไหวจนต้อง สมัครสมาชิกมาตอบในฐานะอีกหนึ่งคนในวงการ
ที่เคยสัมผัสเด็กกลุ่มนั้นมาแล้ว หลายคน พบว่านอกจากความรู้ไม่ดี แล้วความขยันน้อยกว่าเด็กแอดมิชชั่นที่ไทยมาก
รึแม้แต่มารยาทการเข้าสังคม การให้เกียรติคนไข้ ความเคารพผู้ใหญ่ก็น้อยกว่าเด็กไทย อาจเพราะสังคมต่างชาติ
ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการซักประวัติตรวจร่างกายยังพอว่า แต่แค่ถามความเป็นไปคนไข้แต่ละวัน
ซึ่งง่ายแต่เป็นการแสดงความใส่ใจ อย่างอาการเป็นไงบ้าง เหนื่อยลดลงมั้ย ปวดลดลงมั้ย
ก็ไม่เคยทำให้เห็น ทั้งที่พร่ำสอนปากเปียกปากแฉะ ไม่ขอพูดอะไรอีก
หลังจากอ่านจะจัดผู้มาคอมเมนต์ได้เป็น 3 กลุ่ม
1. คนในวงการแพทย์ ซึ่งตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไรจาก กระทู้ นี้
จะแสดงความเห็นหลักๆไปในทางเดียวกัน และจะเห็นว่าพูดเหมือนกันคือคนไข้ต้องมาก่อน
ระบบการเรียนแพทย์ไทย หากนักศึกษาต้องการจะเป็นคนดูแลคนไข้จะต้องมีความรู้วิชาการเชิงทฤษฎี
และทราบข้อมูลของผู้ป่วยคนนั้นทุกอย่างเป็นอย่างดีตั้งแต่ ประวัติแรกรับ จนถึง progress ในแต่ละวันทุกอย่าง
คนไข้ไม่ใช่หนูลองยาคนที่ไร้สามารถมีแต่ความฝัน จะมาแตะตัวฝึกอะไรได้
พ่อแม่ใคร ใครก็รัก ใครๆก็อยากให้ได้การรักษาที่ดีที่สุด
2.คนนอกวงการและไม่มีส่วนได้เสียจริงๆ
มักจะแสดงความเห็นคล้ายๆกลุ่มแรก ถึงแม้บางคนจะเห็นใจเด็กที่จบจีน
แต่ยังเห็นว่าคนไข้ควรได้รับการรักษาที่ดี และมักจะตกใจหลังจากรู้ความจริง
3.เด็กจบจีนและเหล่าผู้เกี่ยวข้อง ญาติมิตร เอเยนต์หลักสูตรอินเตอร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากกระทู้นี้ชัดเจน ว่าเสียประโยชน์
กลุ่มนี้จะวนมาตอบซ้ำไปซ้ำมา แนวทางการตอบเป็นไปได้ตามที่เห็น ด่าเสียเทเสีย หากมีวิจารณญาณ จะรับรู้ได้
เรื่องมาตรฐานไม่ต้องคิดไรมากครับ จีนจะเจริญรึไม่ไม่ใช่ประเด็น
เพราะมาตรฐานการเรียนการสอนแพทย์ที่จีนดีอยู่แล้ว เพราะการแข่งขันที่นั่นสูงมากทุกอย่าง มหาลัยเจ๋ง
คนที่สอบได้คือเจ๋งจนยกนิ้วให้ แต่นะครับ แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่เกี่ยวใดๆกับ หลักสูตรหาเงินเข้ามหาลัยอย่างอินเตอร์
ซึ่งไม่ต้องสอบใดๆ คนไทยระดับที่สอบแค่ในไทยเองไม่ติด สามารถเข้าเรียนได้อย่างสบาย ตราบที่จ่ายค่าเทอมได้
ผลผลิตจะดีแค่ไหนให้นึกภาพว่าเป็นหลักสูตรที่รวมคนสอบหมอไม่ติดแม้แต่เอกชนในเมืองไทย
แต่เผอิญพ่อแม่รวยพอส่งไปเรียนได้ แค่สังคมก็ต่างขนาดนี้แล้วคุณคิดว่าผู้สอนที่นู่นเค้าจะใส่ใจเด็กเค้าเอง
กับเด็กหลักสูตรอินเตอร์ห่างกันขนาดไหน ยิ่งบางคนไปทำตัวเกเร เค้าก็ยิ่งไม่ใส่ใจ ยังไงก็ไม่ได้มารักษาคนจีนอยู่แล้ว
คนที่เก่งและดี แต่เคยพลาดในชีวิต ตกกระไดพลอยโจรไปอยู่ที่นั่นก็มีบ้าง แต่น้อยจริงๆ
คนกลุ่มหลังนี้น่าเห็นใจมากครับ เพราะชีวิตลำบาก เสียโอกาส มากมาย
การเรียนที่ไทยไม่ใช่แค่ได้การเรียนการสอนประสบการณ์ การเคี่ยวเข็ญที่ดี
แต่คุณยังได้สังคม พี่น้อง เพื่อนฝูงที่จะช่วยกันขับเคี่ยว จนผ่านสิ่งต่างๆไปได้
ดังนั้นถ้าคุณบอกว่าคนจากจีนที่ดีๆก็มี ก็ถูก แต่เป็นส่วนน้อย แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ได้เรียนที่ไทยเอง เค้าจะดีกว่านี้แน่นอน
เรื่องแบบนี้ปกติ จะไม่มีใครอยากพูดถึงเหมือนหาเหาใส่หัว เพราะคนได้ผลประโยชน์มีเงินหมุนในวงการเยอะ
แต่เอาปัญหามาซุกใต้พรมมาตลอด ทุกวันนี้มันถึงได้กลายเป็นปัญหาใหญ่
สุดท้ายคนซวยสุดคงไม่พ้น คนไข้เอง กับคนดีๆที่พลาดไปเรียนที่นู่น
ที่เคยสัมผัสเด็กกลุ่มนั้นมาแล้ว หลายคน พบว่านอกจากความรู้ไม่ดี แล้วความขยันน้อยกว่าเด็กแอดมิชชั่นที่ไทยมาก
รึแม้แต่มารยาทการเข้าสังคม การให้เกียรติคนไข้ ความเคารพผู้ใหญ่ก็น้อยกว่าเด็กไทย อาจเพราะสังคมต่างชาติ
ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการซักประวัติตรวจร่างกายยังพอว่า แต่แค่ถามความเป็นไปคนไข้แต่ละวัน
ซึ่งง่ายแต่เป็นการแสดงความใส่ใจ อย่างอาการเป็นไงบ้าง เหนื่อยลดลงมั้ย ปวดลดลงมั้ย
ก็ไม่เคยทำให้เห็น ทั้งที่พร่ำสอนปากเปียกปากแฉะ ไม่ขอพูดอะไรอีก
หลังจากอ่านจะจัดผู้มาคอมเมนต์ได้เป็น 3 กลุ่ม
1. คนในวงการแพทย์ ซึ่งตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไรจาก กระทู้ นี้
จะแสดงความเห็นหลักๆไปในทางเดียวกัน และจะเห็นว่าพูดเหมือนกันคือคนไข้ต้องมาก่อน
ระบบการเรียนแพทย์ไทย หากนักศึกษาต้องการจะเป็นคนดูแลคนไข้จะต้องมีความรู้วิชาการเชิงทฤษฎี
และทราบข้อมูลของผู้ป่วยคนนั้นทุกอย่างเป็นอย่างดีตั้งแต่ ประวัติแรกรับ จนถึง progress ในแต่ละวันทุกอย่าง
คนไข้ไม่ใช่หนูลองยาคนที่ไร้สามารถมีแต่ความฝัน จะมาแตะตัวฝึกอะไรได้
พ่อแม่ใคร ใครก็รัก ใครๆก็อยากให้ได้การรักษาที่ดีที่สุด
2.คนนอกวงการและไม่มีส่วนได้เสียจริงๆ
มักจะแสดงความเห็นคล้ายๆกลุ่มแรก ถึงแม้บางคนจะเห็นใจเด็กที่จบจีน
แต่ยังเห็นว่าคนไข้ควรได้รับการรักษาที่ดี และมักจะตกใจหลังจากรู้ความจริง
3.เด็กจบจีนและเหล่าผู้เกี่ยวข้อง ญาติมิตร เอเยนต์หลักสูตรอินเตอร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากกระทู้นี้ชัดเจน ว่าเสียประโยชน์
กลุ่มนี้จะวนมาตอบซ้ำไปซ้ำมา แนวทางการตอบเป็นไปได้ตามที่เห็น ด่าเสียเทเสีย หากมีวิจารณญาณ จะรับรู้ได้
เรื่องมาตรฐานไม่ต้องคิดไรมากครับ จีนจะเจริญรึไม่ไม่ใช่ประเด็น
เพราะมาตรฐานการเรียนการสอนแพทย์ที่จีนดีอยู่แล้ว เพราะการแข่งขันที่นั่นสูงมากทุกอย่าง มหาลัยเจ๋ง
คนที่สอบได้คือเจ๋งจนยกนิ้วให้ แต่นะครับ แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่เกี่ยวใดๆกับ หลักสูตรหาเงินเข้ามหาลัยอย่างอินเตอร์
ซึ่งไม่ต้องสอบใดๆ คนไทยระดับที่สอบแค่ในไทยเองไม่ติด สามารถเข้าเรียนได้อย่างสบาย ตราบที่จ่ายค่าเทอมได้
ผลผลิตจะดีแค่ไหนให้นึกภาพว่าเป็นหลักสูตรที่รวมคนสอบหมอไม่ติดแม้แต่เอกชนในเมืองไทย
แต่เผอิญพ่อแม่รวยพอส่งไปเรียนได้ แค่สังคมก็ต่างขนาดนี้แล้วคุณคิดว่าผู้สอนที่นู่นเค้าจะใส่ใจเด็กเค้าเอง
กับเด็กหลักสูตรอินเตอร์ห่างกันขนาดไหน ยิ่งบางคนไปทำตัวเกเร เค้าก็ยิ่งไม่ใส่ใจ ยังไงก็ไม่ได้มารักษาคนจีนอยู่แล้ว
คนที่เก่งและดี แต่เคยพลาดในชีวิต ตกกระไดพลอยโจรไปอยู่ที่นั่นก็มีบ้าง แต่น้อยจริงๆ
คนกลุ่มหลังนี้น่าเห็นใจมากครับ เพราะชีวิตลำบาก เสียโอกาส มากมาย
การเรียนที่ไทยไม่ใช่แค่ได้การเรียนการสอนประสบการณ์ การเคี่ยวเข็ญที่ดี
แต่คุณยังได้สังคม พี่น้อง เพื่อนฝูงที่จะช่วยกันขับเคี่ยว จนผ่านสิ่งต่างๆไปได้
ดังนั้นถ้าคุณบอกว่าคนจากจีนที่ดีๆก็มี ก็ถูก แต่เป็นส่วนน้อย แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ได้เรียนที่ไทยเอง เค้าจะดีกว่านี้แน่นอน
เรื่องแบบนี้ปกติ จะไม่มีใครอยากพูดถึงเหมือนหาเหาใส่หัว เพราะคนได้ผลประโยชน์มีเงินหมุนในวงการเยอะ
แต่เอาปัญหามาซุกใต้พรมมาตลอด ทุกวันนี้มันถึงได้กลายเป็นปัญหาใหญ่
สุดท้ายคนซวยสุดคงไม่พ้น คนไข้เอง กับคนดีๆที่พลาดไปเรียนที่นู่น
ความคิดเห็นที่ 13
คุณออกตัวว่าคุณเป็นแพทย์ ถ้าคุณเป็นแพทย์จริง กรุณาใส่ชื่อเสียงเรียงนามของคุณด้วย พร้อมเลขที่ใบประกอบอนุญาติในการประกอบวิชาชีพของคุณ ถ้าคุณเป็นคนจริงต้องกล้าเปิดเผยตัวเอง ไม่ใช่ทำตัวเป็นนักเลงคีย์บอร์ดที่อยากจะพิมพ์อะไรก็พิมพ์ แล้วทำให้คนอื่นเค้าเสียหาย
การที่คุณบอกว่าแพทย์ที่มาฝึกหัดไม่มีความรู้ความสามารถใดๆเลย เท่ากับคุณดูถูกคณะกรรมการของแพทยสภาไทย ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และแน่นอน พวกเขาคือ กลุ่มคนที่ถ้าคุณเป็นแพทย์จริง คุณจะเรียกพวกเค้าว่า อาจารย์ เพราะหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตของมหาลัยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศจีนหรือประเทศไหน ที่ผ่านการพิจารณารับรองหลักสูตรจากทางแพทยสภาแล้ว ถือเป็นมาตรฐานการรับรองความรู้ความสามารถในสายอาชีพของแพทย์ต่อสถาบันที่มีหน้าที่ในการผลิตบัณฑิตในสายอาชีพนี้
ในด้านความขวนขวาย ความอดทน ในการทำงาน มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน คุณอย่ามาเหมาว่าทุกคนจะเป็นอย่างที่คุณพิมพ์ แต่ในโลกของความจริง คนที่อยู่อาศัยในต่างแดน ต่างบ้าน ต่างเมือง ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม เด็กพวกนี้จะมีความอดทน อดกลั้น มากกว่าเด็กที่อยู่อาศัยในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเป็นส่วนมาก ในเรื่องของความขวนขวายก็เช่นกัน การเรียนที่ต้องอยู่ต่างแดน กว่าจะสำเร็จ คุณต้องมีความขวนขวายอย่างมาก เพราะไม่มีใครเขามาใส่ใจคุณ ว่าคุณจะจบหรือไม่จบ จะเรียนเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ดังนั้น เด็กในต่างแดนจะมีความขวนขวายอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดที่ตั้งไว้
แล้วที่บอกว่า ไปเรียนเมืองจีนมา 6 ปี ภาษาจีนพูดไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย นักศึกษาที่เรียนที่จีนระดับออกคลีนิก ดูคนไข้ตามโรงพยาบาล ต้องสามารถสื่อสารภาษาแมนดารินกับคนไข้ได้แล้ว เว้นแต่คนไข้พูดภาษาท้องถิ่นของจีน ถึงจะสื่อสารกันไม่เข้าใจ แล้วความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยกำหนดในการเรียนหลักสูตรแพทย์ที่จีนคือ HSK4 คือมีความสามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้ และมีความรู้คำศัพท์อย่างน้อย 1,200คำ (จากระดับที่สูงสุดคือ HSK6) ซึ่งการสอบ HSK เป็นการสอบที่ถูกกำหนดชึ้นมาโดยรัฐบาลจีนเอง เพื่อใช้วัดระดับความรู้ความสามารถภาษาจีน ทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน หลักเกณฑ์ขนาดนี้แล้วคุณมากล่าวหากันลอยๆ ได้อย่างไร
ในด้านภาษาอังกฤษก็เช่นกัน คุณบอกว่าพูดแทบไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเค้าใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน เพราะนักศึกษาต่างชาติ ที่จะเรียนแพทยศาสตรบัณฑิตที่จีน ตอนยื่นสมัครเรียน คุณต้องส่งผลสอบ IELTS 6 หรือ 6.5 ขึ้นอยู่กับสถาบันที่คุณสมัคร แล้วการสอบ IELTS นี่ ถูกจัดสอบโดยสถาบันที่ได้รับการยอมรับระดับโลก CAMBRIDGE ENGLISH LANGUAGE ASSESSMENT เพื่อใช้วัดระดับความรู้ความสามารถภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน หลักเกณฑ์นี้คุณยังสามารถดูถูกได้อีกหรือ แต่ขอถามคุณสักนิด ว่าเวลาสอบแพทย์ที่ไทย ผู้สมัครสอบทุกคน ต้องส่งผลสอบ IELTS หรือไม่
คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่านักศึกษาที่จีน วันๆ เค้าทำอะไรกันบ้าง ได้อะไรบ้างจากการเรียน 6 ปี ดิฉันเชื่อว่า ไม่ใช่แค่เพียงใบเรียนจบอย่างแน่นอน แต่คุณควรถามตัวคุณเองดีกว่า คุณเรียนมาตั้ง 6 ปี เช่นกัน เที่ยวป่าวประกาศว่าตนเองเป็นหมอ กล้ายืนยันตัวตนมั๊ย หรือกลัวว่าถ้าเปิดเผยตัวตนมาจะทำให้สถาบันที่ศึกษาเสียหาย
ดิฉันอยากวิงวอน ให้ผู้เสพข้อมูลทางโลกโซเชียล อ่านทุกอย่างอย่างตรึกตรอง แล้วใช้วิจารณญานสักนิด ก่อนที่จะพิมพ์หรือออกความเห็นร่วมใดๆ ในทางไม่สร้างสรรต่อสังคม แน่นอนความคิดคนเรามักมีความต่าง แต่การแสดงความต่างทางความคิดออกมาต่อสาธารณชนคุณควรมีความตระหนักต่อผลของมัน ว่าจะกระทบใคร หรือไม่อย่างไรด้วย
ดร.ภีรพรรณ
การที่คุณบอกว่าแพทย์ที่มาฝึกหัดไม่มีความรู้ความสามารถใดๆเลย เท่ากับคุณดูถูกคณะกรรมการของแพทยสภาไทย ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และแน่นอน พวกเขาคือ กลุ่มคนที่ถ้าคุณเป็นแพทย์จริง คุณจะเรียกพวกเค้าว่า อาจารย์ เพราะหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตของมหาลัยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศจีนหรือประเทศไหน ที่ผ่านการพิจารณารับรองหลักสูตรจากทางแพทยสภาแล้ว ถือเป็นมาตรฐานการรับรองความรู้ความสามารถในสายอาชีพของแพทย์ต่อสถาบันที่มีหน้าที่ในการผลิตบัณฑิตในสายอาชีพนี้
ในด้านความขวนขวาย ความอดทน ในการทำงาน มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน คุณอย่ามาเหมาว่าทุกคนจะเป็นอย่างที่คุณพิมพ์ แต่ในโลกของความจริง คนที่อยู่อาศัยในต่างแดน ต่างบ้าน ต่างเมือง ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม เด็กพวกนี้จะมีความอดทน อดกลั้น มากกว่าเด็กที่อยู่อาศัยในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเป็นส่วนมาก ในเรื่องของความขวนขวายก็เช่นกัน การเรียนที่ต้องอยู่ต่างแดน กว่าจะสำเร็จ คุณต้องมีความขวนขวายอย่างมาก เพราะไม่มีใครเขามาใส่ใจคุณ ว่าคุณจะจบหรือไม่จบ จะเรียนเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ดังนั้น เด็กในต่างแดนจะมีความขวนขวายอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดที่ตั้งไว้
แล้วที่บอกว่า ไปเรียนเมืองจีนมา 6 ปี ภาษาจีนพูดไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย นักศึกษาที่เรียนที่จีนระดับออกคลีนิก ดูคนไข้ตามโรงพยาบาล ต้องสามารถสื่อสารภาษาแมนดารินกับคนไข้ได้แล้ว เว้นแต่คนไข้พูดภาษาท้องถิ่นของจีน ถึงจะสื่อสารกันไม่เข้าใจ แล้วความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยกำหนดในการเรียนหลักสูตรแพทย์ที่จีนคือ HSK4 คือมีความสามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้ และมีความรู้คำศัพท์อย่างน้อย 1,200คำ (จากระดับที่สูงสุดคือ HSK6) ซึ่งการสอบ HSK เป็นการสอบที่ถูกกำหนดชึ้นมาโดยรัฐบาลจีนเอง เพื่อใช้วัดระดับความรู้ความสามารถภาษาจีน ทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน หลักเกณฑ์ขนาดนี้แล้วคุณมากล่าวหากันลอยๆ ได้อย่างไร
ในด้านภาษาอังกฤษก็เช่นกัน คุณบอกว่าพูดแทบไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเค้าใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน เพราะนักศึกษาต่างชาติ ที่จะเรียนแพทยศาสตรบัณฑิตที่จีน ตอนยื่นสมัครเรียน คุณต้องส่งผลสอบ IELTS 6 หรือ 6.5 ขึ้นอยู่กับสถาบันที่คุณสมัคร แล้วการสอบ IELTS นี่ ถูกจัดสอบโดยสถาบันที่ได้รับการยอมรับระดับโลก CAMBRIDGE ENGLISH LANGUAGE ASSESSMENT เพื่อใช้วัดระดับความรู้ความสามารถภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน หลักเกณฑ์นี้คุณยังสามารถดูถูกได้อีกหรือ แต่ขอถามคุณสักนิด ว่าเวลาสอบแพทย์ที่ไทย ผู้สมัครสอบทุกคน ต้องส่งผลสอบ IELTS หรือไม่
คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่านักศึกษาที่จีน วันๆ เค้าทำอะไรกันบ้าง ได้อะไรบ้างจากการเรียน 6 ปี ดิฉันเชื่อว่า ไม่ใช่แค่เพียงใบเรียนจบอย่างแน่นอน แต่คุณควรถามตัวคุณเองดีกว่า คุณเรียนมาตั้ง 6 ปี เช่นกัน เที่ยวป่าวประกาศว่าตนเองเป็นหมอ กล้ายืนยันตัวตนมั๊ย หรือกลัวว่าถ้าเปิดเผยตัวตนมาจะทำให้สถาบันที่ศึกษาเสียหาย
ดิฉันอยากวิงวอน ให้ผู้เสพข้อมูลทางโลกโซเชียล อ่านทุกอย่างอย่างตรึกตรอง แล้วใช้วิจารณญานสักนิด ก่อนที่จะพิมพ์หรือออกความเห็นร่วมใดๆ ในทางไม่สร้างสรรต่อสังคม แน่นอนความคิดคนเรามักมีความต่าง แต่การแสดงความต่างทางความคิดออกมาต่อสาธารณชนคุณควรมีความตระหนักต่อผลของมัน ว่าจะกระทบใคร หรือไม่อย่างไรด้วย
ดร.ภีรพรรณ
แสดงความคิดเห็น
แพทย์ที่จบจากจีน เค้าไปเรียนอะไรกัน 6 ปี
แพทย์ที่จบจากจีน มาฝึกในไทยรอสอบใบประกอบโรคศิลป์
หลังจากที่ได้มีประสบการณ์ในการดูแลมานานพอสมควร
พบว่า แพทย์ฝึกงานที่จบจากจีน เกินกว่า 90 % ไม่มีความรู้ความสามารถใดๆเลย
ตั้งแต่ความรู้พื้นฐานที่สุดในการดูแลคนไข้ การทำหัตถการเบื้องต้น
กระทั่งเทียบกับนักศึกษาในไทยปี4(ซึ่งฝึกทำงานในรพ.เป็นปีแรก) ก็ยังเทียบไม่ได้
พูดได้เลยว่าการฝึกงานในไทยให้กับพวกนี้ เหมือนเริ่มจาก 0
และที่สำคัญที่สุด คือความขวนขวาย ความอดทน ในการทำงานก็ดันไม่มีอีก
บางคนหนักๆ ไปเรียนที่เมืองจีน 6 ปี ภาษาจีนพูดไม่ได้เลยก็แปลกใจ
แต่ที่ยิ่งหนักเลยคือ ภาษาอังกฤษก็แทบไม่ได้เหมือนกัน
ทำให้สงสัยมากๆว่าแล้วไปเรียนกันอีท่าไหน ถึงสามารถสอบจบมาได้
จนเกิดความสงสัยว่า การไปเรียนแพทย์ที่จีนเป็นเวลา 6 ปี
วันๆพวกเค้าได้ทำอะไรกันบ้าง แล้วได้อะไรจากการไปเรียน 6 ปี นอกจากใบเรียนจบ