วันนี้เราจะมานำเสนอถึง 13 กลยุทธ์ในการทำ SEO อันล้าสมัยที่คุณควรหลีกเลี่ยง ซึ่งกระบวนการทำ SEO หรือ search engine optimization ในทุกวันนี้ยังมีผู้เข้าใจผิดให้เห็นอยู่ตลอด เราลองมาดูกันดีกว่าว่าความเข้าใจผิดในการทำ SEO ที่ผู้ที่ไม่รู้ หรือแม้แต่ผู้ที่รู้ก็ยังทำ เอ..หรือว่าชอบสายดำ!
1. ลิงค์จากรวมเว็บสารบัญ (Web Directory)
ไดเรกทอรีลิงก์โดยทั่วไปในทุกวันนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์แล้ว ยกเว้นแต่เว็บไดเรกทอรีที่มีคุณภาพสูงเฉพาะเจาะจง และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ด้านบรรณาธิการที่เข้มงวดซึ่งเดี๋ยวนี้หายากมาก
ก่อนที่ Search Engine อย่างกูเกิ้ลจะชาญฉลาดในทุกวันนี้ เมื่อสมัยก่อนจะมีเว็บไดเร็คทอรี่ต่างๆ มากมายเพื่อให้ผู้คนสามารถหาสิ่งที่ต้องการได้โดยง่าย เว็บไซต์ไดเรกทอรีในสมัยนั้นจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก อย่างเมื่อก่อนมี Dmoz กับ Yahoo แต่เดี๋ยวนี้ตายกันไปหมดแล้ว
จนมาสมัยนี้เนื่องจากผู้ใช้ไม่ได้นิยมเว็บไดเร็คทอรี่ และเริ่มหันไปใช้งาน search engine แทน จึงเริ่มห่างหายไปจากเว็บไดเรกทอรี ในที่สุดมันก็เลยกลายเป็นพื้นที่รกร้าง และเป็นแหล่งรวบรวมลิงก์ที่มีคุณภาพต่ำซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษได้
2. Google เลิกสนใจชื่อ Domain name
ในสมัยก่อนผู้ที่อยู่ในวงการ SEO จะรู้กันดีว่าหากเราเลือกชื่อชื่อเว็บไซต์ (Domain Name) ได้ตรงกับ Keyword ที่ต้องการแล้ว เว็บไซต์นั้นจะมีโอกาสทำอันดับได้ดีใน Google อย่างแน่นอน
ตัวอย่างโดเมนที่ตรงกับคีย์เวิร์ดหลักเช่น:
residentialarchitectmiami.com
tampacontractor.com
airconditioningrepairstpete.com
แต่ในปัจจุบัน Google ได้ลดความสำคัญของชื่อโดเมนในการทำ SEO และให้ความสำคัญกับคุณภาพของเว็บไซต์ และเนื้อหาของเว็บไซต์มากขึ้นแทน ซึ่งตอนนี้หากใครที่มีเว็บไซต์ที่มีชื่อโดเมนตรงกับ Keyword ที่ต้องการ และอยู่ในอันดับที่ดีอยู่ ก็ให้เตรียมตัวปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ก่อนที่จะเสียอันดับไป
3. การแลกลิงค์
Google ได้ลดความสำคัญของปัจจัยการจัดอันดับจากจำนวนลิงค์ลงไป แต่ยังคงให้ความสำคัญกับมันอยู่ โดยหันไปเน้นที่คุณภาพของลิงค์เป็นหลักแทน มิหนำซ้ำยังเพิ่มบทลงโทษกับการสร้างลิงค์ (Backlink) ที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาอีก ซึ่งมีผลโดยตรงกับการจัดอันดับเว็บ
ดังนั้นการทำลิ้งค์เชื่อมโยงซึ่งกันและกันแบบว่าถ้าคุณใสลิ้งค์ให้ฉัน ฉันจะใส่ลิ้งค์กลับให้คุณ ซึ่งมันเป็นวิธีแบบโบราณที่สมัยก่อนนิยมใช้กัน ถึงแม้อีกเว็บไซต์นึงจะไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันเลย และไม่มีประโยชน์กับผู้เข้าชม
4. การทำ URL แบบเนื้อหาระดับเดียวกันหมด
หากคุณใช้งาน WordPress (หรือเว็บไซต์ประเภทอื่น) ค่าเริ่มต้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าควรต้องเปลี่ยน ดังนั้นเราควรต้องปรับให้มันดีขี้นในการทำ SEO ซักหน่อย
ตัวอย่าง 1: domain.com/page1/
เทียบกับ
ตัวอย่าง 2: domain.com/topic1/page1/
โครงสร้าง URL แบบตัวอย่าง 1 ทำให้ Search Engine เข้าใจลำดับชั้นของเว็บไซต์ของคุณได้ยาก เนื่องจากทุกหน้าของคุณอยู่ในระดับที่เท่ากันหมด ในขณะที่โครงสร้าง URL ตัวอย่าง 2 มีความชัดเจน และสื่อสารความสำคัญของแต่ละหน้าในเว็บไซต์ของคุณได้ดีกว่า
สิ่งสำคัญคือต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเขียนคอนเทนต์ หรือบทความต่อไปในอนาคต เพราะการเปลี่ยน URL ในภายหลังหมายความว่ามันจะเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บไซต์ของเราทั้งหมด และอาจทำให้คุณสูญเสียในการจัดอันดับบน Search Engine จากที่เคยติดดีอยู่แล้ว
5. การใช้ Blog สำหรับสร้าง Link เกินความจำเป็น
การเขียน Blog นั้นเป็นการประชาสัมพันธ์แบบดั้งเดิม และคุณก็ต้องยกระดับเรื่อยๆ เพื่อให้มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นโดยการเผยแพร่บทความของคุณไปใน Blog ต่างๆ ที่ฟรี เพื่อแสดงให้ผู้อ่านนั้นได้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของคุณ และเป็นการสร้างแบรนด์ในตัวบุคคล รวมไปถึงในการสร้าง Backlinks
ในระยะแรกๆ คุณอาจจะเผยแพร่บทความไปยัง Blog ต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ Google ชอบและเข้ามาจับบทความของคุณ โดยการเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากลิงก์เป็นส่วนสำคัญที่เย้ายวนใจในการทำ SEO คุณก็เริ่มจะทำลิงก์กลับไปหาตัวเองเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น
และถ้าคุณไปโพสตามเว็บลงประกาศโฆษณา รวมถึงตามเว็บบอร์ดต่างๆ แบบเยอะๆ ไม่เลือกที่ เพื่อหวังจะเป็นการสร้าง Backlink จึงเป็นเทคนิคที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันแทบไม่มีผลต่อการทำ SEO อีกทั้งอาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี หากถูก Google มองว่าเป็นการสแปม ซึ่งในระยะหลังหาก Google เริ่มจับทิศทางได้ว่าเป็นการแสปมลิงค์ เว็บไซต์คุณจะถูกลงโทษโดยการลดอันดับจนไปถึงแบนเว็บไซต์ ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์นั้นจะต้องเริ่มต้นใหม่ในโดเมนใหม่ซึ่งมันไม่คุ้มเลย
6. การใช้ Keyword ซ้ำซาก
หลายๆ คนใช้ทางลัดโดยการให้หน้าเนื้อหาของตัวเองนั้นมี Keyword ที่ซ้ำๆ ถี่ๆ เพื่อที่จะให้ติดอันดับ SEO ได้ง่ายมากขึ้น แต่อยากจะบอกว่าการมีคำซ้ำมากๆ นั้นไม่เป็นผลดีต่อการทำ SEO ในระยะยาว เพราะผู้เยี่ยมชมนั้นจะไม่สนใจ และมองว่าเป็นเนื้อหาที่ไร้สาระ การวางแผนว่าจะวาง Keyword อยู่ที่ไหนและใช้อย่างไรนั้นเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญอย่างมากใน SEO การใช้ Keyword แบบดังกล่าวนั้นเป็นการทำ SEO ที่ไม่ดี ซึ่งในการทำ SEO ในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า keyword stuffing ซึ่งวิธีการทำเช่นนี้จะทำให้ Google จับตาดูเป็นพิเศษ และถือว่าเป็นการทำ SEO แบบสายดำอีกด้วย
7. ข้อความไม่ตรงกับ Anchor text
Anchor text เทคนิคที่คนทำ SEO รุ่นใหญ่รู้จักกันดี เพราะมันเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนของการสร้าง text link หรือจะเรียกว่าการใส่คีย์เวิร์ดลงไปในลิงค์นั่นเอง สำหรับการทำ SEO ถ้าคุณใช้ Anchor Text แบบผิดๆ อันดับอาจจะร่วงหายไปจาก Google แต่ถ้าคุณใช้อย่างสร้างสรรค์ ไม่แน่ว่าอันดับอาจจะดีขึ้นมาก็เป็นได้
ในการใช้ anchor text นั้นคุณควรที่จะระวังเรื่อง Keyword ที่ใช้ Anchor Text เดิมซ้ำกันหลายครั้งเพราะว่า Google อาจที่จะมองว่าเป็นการสแปม ควรใช้ Anchor Text ที่ผสม Keyword อื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันบ้าง อย่าสร้าง Backlink ที่มี Anchor Text เหมือนเดิมซ้ำๆ ทุกครั้งเพราะมันจะทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติในสายตาของ Google
และการสร้าง link ที่ดีควรเป็นเนื้อหาให้มีความเกี่ยวข้องและเป็นธรรมชาติกับ Anchor text และ เว็บไซต์ที่จะลิงค์ออกไปให้มากที่สุด เพราะเนื้อหาที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ Anchor text และ เว็บไซต์เป้าหมายที่ลิ้งค์ออกไปนั้นจะทำให้เสียคะแนนความน่าเชื่อถือไป จึงควรเขียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
8. สร้างจำนวนของหน้ามากเกินไปเพื่อหวัง SEO
วิธีการสร้างหน้าเว็บแยกต่างหากสำหรับคีเวิร์ดหลายๆ คำ หรือเนื้อหาที่เขียนขึ้นจำนวนเยอะๆ หรือ doorway page ก็ดี เพื่อหลอก Search Engine Bot โดยไม่ได้คำนึงถึงคนอ่านนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพราะ Google จะทำการคัดกรอง คัดแยก จัดกลุ่ม คำค้นหา ที่แปลกใหม่เหล่านี้ได้แบบอัตโนมัติ โดยใช้ “RankBrain”
RankBrain คือเทคโนโลยีภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกพัฒนาโดย Google และถูกนำมาใช้ในการช่วยจัดอันดับผลการค้นหา นอกจากนี้ยังสามารถช่วย Google จัดอันดับหน้าเว็บสำหรับ keyword ที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาได้เมื่อปรากฎคำค้นหาที่ไม่คุ้นเคย โดยมุ่งเน้นในเรื่องของคำค้นหาที่ Google ไม่เคยพบเจอมาก่อนที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
9. การซื้อลิงค์
การซื้อหรือขายลิงค์เพื่อส่งผ่าน PageRank ซึ่งรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเงินสำหรับลิงค์หรือการโพสต์ ถือเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ของ Google มานานแล้ว การซื้อขายลิงค์ ไม่ว่าทั้งทางตรง หรือทางอ้อมที่มากจนเกินไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการบิดเบือนธรรมชาติของการค้นหาโดย search engine เช่นกัน เพราะอย่าลืมว่า search engine ถือว่าหน้าเว็บค้นหาของเขาคือหน้าบ้าน ถ้าหากมีการเบี่ยงเบนจากเว็บที่มีการซื้อลิ้งค์แต่ไม่มีคุณภาพยิงมาหน้าแรกมากๆ ย่อมส่งผลเสียกับเว็บไซต์ของคุณในการจัดลำดับบน search engine อย่างไม่ต้องสงสัย
10. เนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำ
ในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ คุณต้องสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างสม่ำเสมอ และในการทำเนื้อหาให้น่าสนใจนั้นก็คือการทำให้คนทั่วไปที่สนใจหรืออยากจะได้สิ่งที่ต้องการ เข้าใจในเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้โดยง่าย สามารถรู้ได้จากเนื้อหาที่ทำขึ้นมา นี่คือช่องทางที่จะสามารถให้ความรู้แก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญนั่นก็คืออย่าไปคัดลอกบทความของคนอื่นมา เพราะ Google จริงจังกับเรื่องนี้มาก เพราะว่าการที่เราไปขโมยหรือคัดลอกบทความของคนอื่นมาใช้ในเว็บไซต์ของเรา คุณอาจจะเจอ Google’s Panda ทำโทษได้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากในสายตาของ Google แน่นอนว่าถ้าถูก Google จับได้จะมีบทลงโทษในการทำแบบนั้นค่อนข้างรุนแรงมากเลยทีเดียว
11. เขียนให้บอทอ่านมากกว่าคน
การ Spin บทความคือการเปลี่ยนแปลงบทความที่มีอยู่แล้วในเว็บไซต์หรือข้อมูลจากที่มาอื่นๆ ให้กลายเป็นบทความใหม่ของตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงคำบางคำ บิดคำนิดบิดคำหน่อย หรือใช้ประโยคเดิมแต่ให้กลายเป็นคำใหม่ที่มีความหมายที่ใกล้เคียงกันแต่กลับกลายเป็นว่าอ่านไม่รู้เรื่อง วิธีการทำแบบนี้คือการ Spin บทความ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ทำเว็บไซต์ในสายคุณภาพจริงๆ ก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้เลย เพราะถ้าคุณเองอ่านไม่รู้เรี่องแล้วก็คงไม่มีใครอยากเข้ามาอ่าน ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณก็ไม่เป็นที่ยอมรับของ Google ด้วยเช่นกัน
12. link เข้ามามากผิดปรกติ
ในสมัยก่อนเป็นเทคนิคหนึ่งที่คนทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO โดยหลักการของเทคนิคนี้คือการเชื่อมโยงเว็บไซต์ภายนอก แล้วทำการส่งลิงค์เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์หลักในปริมาณมากๆ (link wheel) ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยดัน Keywords ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้เร็วขึ้น แต่สมัยนี้ Google คงไม่ปลื้มแน่ถ้าเห็นเว็บไหนทำแบบนี้ เรียกว่าไม่เนียน ไม่เนียน กลับไปทำมาใหม่ให้ดูเป็นธรรมชาติ และเว็บไซต์ที่จะ link เข้ามาต้องเป็นเว็บที่เนื้อหาสอดคล้องกับเว็บคุณด้วย
13. การทำลิ้งค์แบบอัตโนมัติ
เมื่อ link นั้นเป็นส่วนสำคัญของ SEO นักการตลาดจึงได้พยายามค้นหาวิธีสร้างลิ้งค์โดยใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ช่วยสร้าง Backlinks อัติโนมัติ และรู้สึกว่าจะได้รับความนิยมในสายตาผู้ใช้เป็นอย่างมาก (ในสมัยก่อน) แต่ขอเตือนว่าหากเรายังไม่เข้าใจหลักการทำ SEO ในระดับเบื้องต้นดีพอ เราควรจะเลี่ยง SEO Link Building Tools จะดีกว่า เพราะมันจะนำพาความเสียหายมายังเว็บไซต์เราแน่นอน
credit
http://www.atimedesign.com/webdesign/13-outdated-seo/
13 ความเชื่อที่คนทำ SEO ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด
1. ลิงค์จากรวมเว็บสารบัญ (Web Directory)
ไดเรกทอรีลิงก์โดยทั่วไปในทุกวันนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์แล้ว ยกเว้นแต่เว็บไดเรกทอรีที่มีคุณภาพสูงเฉพาะเจาะจง และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ด้านบรรณาธิการที่เข้มงวดซึ่งเดี๋ยวนี้หายากมาก
ก่อนที่ Search Engine อย่างกูเกิ้ลจะชาญฉลาดในทุกวันนี้ เมื่อสมัยก่อนจะมีเว็บไดเร็คทอรี่ต่างๆ มากมายเพื่อให้ผู้คนสามารถหาสิ่งที่ต้องการได้โดยง่าย เว็บไซต์ไดเรกทอรีในสมัยนั้นจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก อย่างเมื่อก่อนมี Dmoz กับ Yahoo แต่เดี๋ยวนี้ตายกันไปหมดแล้ว
จนมาสมัยนี้เนื่องจากผู้ใช้ไม่ได้นิยมเว็บไดเร็คทอรี่ และเริ่มหันไปใช้งาน search engine แทน จึงเริ่มห่างหายไปจากเว็บไดเรกทอรี ในที่สุดมันก็เลยกลายเป็นพื้นที่รกร้าง และเป็นแหล่งรวบรวมลิงก์ที่มีคุณภาพต่ำซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษได้
2. Google เลิกสนใจชื่อ Domain name
ในสมัยก่อนผู้ที่อยู่ในวงการ SEO จะรู้กันดีว่าหากเราเลือกชื่อชื่อเว็บไซต์ (Domain Name) ได้ตรงกับ Keyword ที่ต้องการแล้ว เว็บไซต์นั้นจะมีโอกาสทำอันดับได้ดีใน Google อย่างแน่นอน
ตัวอย่างโดเมนที่ตรงกับคีย์เวิร์ดหลักเช่น:
residentialarchitectmiami.com
tampacontractor.com
airconditioningrepairstpete.com
แต่ในปัจจุบัน Google ได้ลดความสำคัญของชื่อโดเมนในการทำ SEO และให้ความสำคัญกับคุณภาพของเว็บไซต์ และเนื้อหาของเว็บไซต์มากขึ้นแทน ซึ่งตอนนี้หากใครที่มีเว็บไซต์ที่มีชื่อโดเมนตรงกับ Keyword ที่ต้องการ และอยู่ในอันดับที่ดีอยู่ ก็ให้เตรียมตัวปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ก่อนที่จะเสียอันดับไป
3. การแลกลิงค์
Google ได้ลดความสำคัญของปัจจัยการจัดอันดับจากจำนวนลิงค์ลงไป แต่ยังคงให้ความสำคัญกับมันอยู่ โดยหันไปเน้นที่คุณภาพของลิงค์เป็นหลักแทน มิหนำซ้ำยังเพิ่มบทลงโทษกับการสร้างลิงค์ (Backlink) ที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาอีก ซึ่งมีผลโดยตรงกับการจัดอันดับเว็บ
ดังนั้นการทำลิ้งค์เชื่อมโยงซึ่งกันและกันแบบว่าถ้าคุณใสลิ้งค์ให้ฉัน ฉันจะใส่ลิ้งค์กลับให้คุณ ซึ่งมันเป็นวิธีแบบโบราณที่สมัยก่อนนิยมใช้กัน ถึงแม้อีกเว็บไซต์นึงจะไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันเลย และไม่มีประโยชน์กับผู้เข้าชม
4. การทำ URL แบบเนื้อหาระดับเดียวกันหมด
หากคุณใช้งาน WordPress (หรือเว็บไซต์ประเภทอื่น) ค่าเริ่มต้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าควรต้องเปลี่ยน ดังนั้นเราควรต้องปรับให้มันดีขี้นในการทำ SEO ซักหน่อย
ตัวอย่าง 1: domain.com/page1/
เทียบกับ
ตัวอย่าง 2: domain.com/topic1/page1/
โครงสร้าง URL แบบตัวอย่าง 1 ทำให้ Search Engine เข้าใจลำดับชั้นของเว็บไซต์ของคุณได้ยาก เนื่องจากทุกหน้าของคุณอยู่ในระดับที่เท่ากันหมด ในขณะที่โครงสร้าง URL ตัวอย่าง 2 มีความชัดเจน และสื่อสารความสำคัญของแต่ละหน้าในเว็บไซต์ของคุณได้ดีกว่า
สิ่งสำคัญคือต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเขียนคอนเทนต์ หรือบทความต่อไปในอนาคต เพราะการเปลี่ยน URL ในภายหลังหมายความว่ามันจะเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บไซต์ของเราทั้งหมด และอาจทำให้คุณสูญเสียในการจัดอันดับบน Search Engine จากที่เคยติดดีอยู่แล้ว
5. การใช้ Blog สำหรับสร้าง Link เกินความจำเป็น
การเขียน Blog นั้นเป็นการประชาสัมพันธ์แบบดั้งเดิม และคุณก็ต้องยกระดับเรื่อยๆ เพื่อให้มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นโดยการเผยแพร่บทความของคุณไปใน Blog ต่างๆ ที่ฟรี เพื่อแสดงให้ผู้อ่านนั้นได้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของคุณ และเป็นการสร้างแบรนด์ในตัวบุคคล รวมไปถึงในการสร้าง Backlinks
ในระยะแรกๆ คุณอาจจะเผยแพร่บทความไปยัง Blog ต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ Google ชอบและเข้ามาจับบทความของคุณ โดยการเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากลิงก์เป็นส่วนสำคัญที่เย้ายวนใจในการทำ SEO คุณก็เริ่มจะทำลิงก์กลับไปหาตัวเองเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น
และถ้าคุณไปโพสตามเว็บลงประกาศโฆษณา รวมถึงตามเว็บบอร์ดต่างๆ แบบเยอะๆ ไม่เลือกที่ เพื่อหวังจะเป็นการสร้าง Backlink จึงเป็นเทคนิคที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะมันแทบไม่มีผลต่อการทำ SEO อีกทั้งอาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี หากถูก Google มองว่าเป็นการสแปม ซึ่งในระยะหลังหาก Google เริ่มจับทิศทางได้ว่าเป็นการแสปมลิงค์ เว็บไซต์คุณจะถูกลงโทษโดยการลดอันดับจนไปถึงแบนเว็บไซต์ ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์นั้นจะต้องเริ่มต้นใหม่ในโดเมนใหม่ซึ่งมันไม่คุ้มเลย
6. การใช้ Keyword ซ้ำซาก
หลายๆ คนใช้ทางลัดโดยการให้หน้าเนื้อหาของตัวเองนั้นมี Keyword ที่ซ้ำๆ ถี่ๆ เพื่อที่จะให้ติดอันดับ SEO ได้ง่ายมากขึ้น แต่อยากจะบอกว่าการมีคำซ้ำมากๆ นั้นไม่เป็นผลดีต่อการทำ SEO ในระยะยาว เพราะผู้เยี่ยมชมนั้นจะไม่สนใจ และมองว่าเป็นเนื้อหาที่ไร้สาระ การวางแผนว่าจะวาง Keyword อยู่ที่ไหนและใช้อย่างไรนั้นเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญอย่างมากใน SEO การใช้ Keyword แบบดังกล่าวนั้นเป็นการทำ SEO ที่ไม่ดี ซึ่งในการทำ SEO ในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า keyword stuffing ซึ่งวิธีการทำเช่นนี้จะทำให้ Google จับตาดูเป็นพิเศษ และถือว่าเป็นการทำ SEO แบบสายดำอีกด้วย
7. ข้อความไม่ตรงกับ Anchor text
Anchor text เทคนิคที่คนทำ SEO รุ่นใหญ่รู้จักกันดี เพราะมันเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนของการสร้าง text link หรือจะเรียกว่าการใส่คีย์เวิร์ดลงไปในลิงค์นั่นเอง สำหรับการทำ SEO ถ้าคุณใช้ Anchor Text แบบผิดๆ อันดับอาจจะร่วงหายไปจาก Google แต่ถ้าคุณใช้อย่างสร้างสรรค์ ไม่แน่ว่าอันดับอาจจะดีขึ้นมาก็เป็นได้
ในการใช้ anchor text นั้นคุณควรที่จะระวังเรื่อง Keyword ที่ใช้ Anchor Text เดิมซ้ำกันหลายครั้งเพราะว่า Google อาจที่จะมองว่าเป็นการสแปม ควรใช้ Anchor Text ที่ผสม Keyword อื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันบ้าง อย่าสร้าง Backlink ที่มี Anchor Text เหมือนเดิมซ้ำๆ ทุกครั้งเพราะมันจะทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติในสายตาของ Google
และการสร้าง link ที่ดีควรเป็นเนื้อหาให้มีความเกี่ยวข้องและเป็นธรรมชาติกับ Anchor text และ เว็บไซต์ที่จะลิงค์ออกไปให้มากที่สุด เพราะเนื้อหาที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ Anchor text และ เว็บไซต์เป้าหมายที่ลิ้งค์ออกไปนั้นจะทำให้เสียคะแนนความน่าเชื่อถือไป จึงควรเขียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
8. สร้างจำนวนของหน้ามากเกินไปเพื่อหวัง SEO
วิธีการสร้างหน้าเว็บแยกต่างหากสำหรับคีเวิร์ดหลายๆ คำ หรือเนื้อหาที่เขียนขึ้นจำนวนเยอะๆ หรือ doorway page ก็ดี เพื่อหลอก Search Engine Bot โดยไม่ได้คำนึงถึงคนอ่านนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพราะ Google จะทำการคัดกรอง คัดแยก จัดกลุ่ม คำค้นหา ที่แปลกใหม่เหล่านี้ได้แบบอัตโนมัติ โดยใช้ “RankBrain”
RankBrain คือเทคโนโลยีภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกพัฒนาโดย Google และถูกนำมาใช้ในการช่วยจัดอันดับผลการค้นหา นอกจากนี้ยังสามารถช่วย Google จัดอันดับหน้าเว็บสำหรับ keyword ที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาได้เมื่อปรากฎคำค้นหาที่ไม่คุ้นเคย โดยมุ่งเน้นในเรื่องของคำค้นหาที่ Google ไม่เคยพบเจอมาก่อนที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
9. การซื้อลิงค์
การซื้อหรือขายลิงค์เพื่อส่งผ่าน PageRank ซึ่งรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเงินสำหรับลิงค์หรือการโพสต์ ถือเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ของ Google มานานแล้ว การซื้อขายลิงค์ ไม่ว่าทั้งทางตรง หรือทางอ้อมที่มากจนเกินไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการบิดเบือนธรรมชาติของการค้นหาโดย search engine เช่นกัน เพราะอย่าลืมว่า search engine ถือว่าหน้าเว็บค้นหาของเขาคือหน้าบ้าน ถ้าหากมีการเบี่ยงเบนจากเว็บที่มีการซื้อลิ้งค์แต่ไม่มีคุณภาพยิงมาหน้าแรกมากๆ ย่อมส่งผลเสียกับเว็บไซต์ของคุณในการจัดลำดับบน search engine อย่างไม่ต้องสงสัย
10. เนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำ
ในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ คุณต้องสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างสม่ำเสมอ และในการทำเนื้อหาให้น่าสนใจนั้นก็คือการทำให้คนทั่วไปที่สนใจหรืออยากจะได้สิ่งที่ต้องการ เข้าใจในเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้โดยง่าย สามารถรู้ได้จากเนื้อหาที่ทำขึ้นมา นี่คือช่องทางที่จะสามารถให้ความรู้แก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญนั่นก็คืออย่าไปคัดลอกบทความของคนอื่นมา เพราะ Google จริงจังกับเรื่องนี้มาก เพราะว่าการที่เราไปขโมยหรือคัดลอกบทความของคนอื่นมาใช้ในเว็บไซต์ของเรา คุณอาจจะเจอ Google’s Panda ทำโทษได้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากในสายตาของ Google แน่นอนว่าถ้าถูก Google จับได้จะมีบทลงโทษในการทำแบบนั้นค่อนข้างรุนแรงมากเลยทีเดียว
11. เขียนให้บอทอ่านมากกว่าคน
การ Spin บทความคือการเปลี่ยนแปลงบทความที่มีอยู่แล้วในเว็บไซต์หรือข้อมูลจากที่มาอื่นๆ ให้กลายเป็นบทความใหม่ของตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงคำบางคำ บิดคำนิดบิดคำหน่อย หรือใช้ประโยคเดิมแต่ให้กลายเป็นคำใหม่ที่มีความหมายที่ใกล้เคียงกันแต่กลับกลายเป็นว่าอ่านไม่รู้เรื่อง วิธีการทำแบบนี้คือการ Spin บทความ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ทำเว็บไซต์ในสายคุณภาพจริงๆ ก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้เลย เพราะถ้าคุณเองอ่านไม่รู้เรี่องแล้วก็คงไม่มีใครอยากเข้ามาอ่าน ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณก็ไม่เป็นที่ยอมรับของ Google ด้วยเช่นกัน
12. link เข้ามามากผิดปรกติ
ในสมัยก่อนเป็นเทคนิคหนึ่งที่คนทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO โดยหลักการของเทคนิคนี้คือการเชื่อมโยงเว็บไซต์ภายนอก แล้วทำการส่งลิงค์เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์หลักในปริมาณมากๆ (link wheel) ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยดัน Keywords ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้เร็วขึ้น แต่สมัยนี้ Google คงไม่ปลื้มแน่ถ้าเห็นเว็บไหนทำแบบนี้ เรียกว่าไม่เนียน ไม่เนียน กลับไปทำมาใหม่ให้ดูเป็นธรรมชาติ และเว็บไซต์ที่จะ link เข้ามาต้องเป็นเว็บที่เนื้อหาสอดคล้องกับเว็บคุณด้วย
13. การทำลิ้งค์แบบอัตโนมัติ
เมื่อ link นั้นเป็นส่วนสำคัญของ SEO นักการตลาดจึงได้พยายามค้นหาวิธีสร้างลิ้งค์โดยใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ช่วยสร้าง Backlinks อัติโนมัติ และรู้สึกว่าจะได้รับความนิยมในสายตาผู้ใช้เป็นอย่างมาก (ในสมัยก่อน) แต่ขอเตือนว่าหากเรายังไม่เข้าใจหลักการทำ SEO ในระดับเบื้องต้นดีพอ เราควรจะเลี่ยง SEO Link Building Tools จะดีกว่า เพราะมันจะนำพาความเสียหายมายังเว็บไซต์เราแน่นอน
credit http://www.atimedesign.com/webdesign/13-outdated-seo/