เล่าสถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลีใต้จากภาพถ่ายในความทรงจำ รวม 2 คร้ังใน 2 ปีติดกัน
ตะลอนจากเหนือ ลงใต้ จากโซล แวะ ชมดอกพ๊อตโกตที่เมืองจินเฮ ข้ามไปกินหมูดำที่เกาะเจจู
เที่ยวเมืองวัฒนธรรมที่คยองจู เดินชมเมืองอันดับสองของเกาหลีใต้ที่ปูซาน
เอาละค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน เตรียมตัวรัดเข็มขัด บล็อคนี้จะพาทุกคนเดินทางไกล จำเป็นต้องใช้พลังงานและสายตาหนักสักหน่อย วันนี้มาในโจทย์ “ตะลอนทัวร์เกาหลีใต้ เล่าภาพจากความทรงจำ” แนวไดอารีบันทึกความทรงจำ บอกไว้ก่อนว่า สาระไม่ค่อยมี แต่เรื่องโม้นั้นมีเยอะมากกกก พร้อมแล้ว เริ่มออกเดินทาง ณ บัดนาว 🙂
เป็นการเดินทางไปเกาหลีใต้ครั้งแรกในปี 2015 ทริปสั้นๆ ประมาณ 5 วัน ( 1 – 5 เม.ย.) เที่ยวกันเอง หลงไปบ้าง ออกนอกเส้นทางบ้าง ชอป กิน เที่ยวในกรุงโซล แล้วนั่งรถไฟไปดูดอกพ็อตโกต (ดอกซากุระ) ที่จินเฮ เป็นแบบ One day trip ต่อมาไม่รู้ด้วยอิทธิพลของโอปป้าจุงกิ ที่ตอนปี 2016 กำลังเป็นโอปป้ามหาชนจากซีรีย์เรื่องดัง Descendants of the Sun หรืออย่างไร กระแสเกาหลีบุกอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้ต้องมีซ้ำสอง และแน่นอนว่าครั้งที่สองย่อมต้องไม่ใช่นักท่องเที่ยวสมัครเล่นอีกต่อไป ครั้งนี้เราจึงจัดเต็มไปทั้งหมด 11 วัน (21 เม.ย. – 1 พ.ค.) จากโซล – เจจู – ปูซาน – คยองจู
ภาพจากความทรงจำเซตแรก จะเริ่มจากโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ เข้าวัง ชมเมือง เดินกินชิมชอปไปเรื่อยๆ สถานที่แรกที่มาเที่ยวในโซลแบบงงๆ จำไม่ได้ว่ามายังไง แต่จำได้ว่าเป็นที่แรกเลยที่มา ที่แห่งนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านวัฒนธรรมนัมซานฮันอก (Namsangol Hanok Village) เป็นหมู่บ้านเกาหลีแบบดั้งเดิม โดยนำมาจัดแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตประจำวันของคนเกาหลีในสมัยก่อน ในหมู่บ้านยังมีบริการให้ลองใส่ชุดฮันบก เข้าร่วมพิธีชงชา ลองเขียนโดยใช้พู่กันจีน แต่เนื่องจากว่าตอนที่ไปก็บ่ายแก่ๆใกล้เวลาปิดแล้ว เลยได้แต่ถ่ายภาพมาเป็นความทรงจำ ฉะนี้แล
เดือนที่ไปเป็นช่วงต้นเดือนเมษายน เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังดี ดอกไม้เริ่มบาน ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปตอนรับการกลับมาของต้นไม้ใบหญ้าที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล ที่นี่เดินได้ชิลๆ สบายๆ ตอนที่ไปคนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ค่ะ
สถานที่ถัดมา คือ สถานที่ภาคบังคับของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาที่โซลไม่มาไม่ได้ เหมือนมากรุงเทพฯแล้วไม่ได้ไปวัดพระแก้ว ที่ๆเราไปกันต่อก็คือ
พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace – 경복궁) นั่นเอง การมาพระราชวังครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นทริปที่เปิดโลกกว้างให้กับตัวเองทีเดียว สืบเนื่องมากจากเพื่อนร่วมเดินทางที่มาด้วยนั้น หมายมั่นที่จะต้องใส่ชุดฮันบกไปเดินในพระราชวังให้ได้ ส่วนตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาใส่ชุดโบราณเดินในวังจริงๆ ตอนแรกก็บอกให้เพื่อนแต่งคนเดียวละกัน ตัวเองไม่กล้าจริงๆ คือตอนนั้นมันประหลาดมากสำหรับตัวเอง และช่วงนั้นก็ยังไม่ฮิตใส่กันเท่าตอนนี้ แต่เมื่อพอเข้าไปที่ร้านเช่าชุดฮันบก เหมือนถูกชุดและสีพาสเทลของชุดดูดเข้าไป พอไปจับๆดู อะสวยดี แต่จิตใต้สำนึกก็บอกว่าไม่ ไม่นะ ยังไงก็ไม่กล้า แต่แล้วเพื่อนร่วมทริปก็คะยั้นคะยอ บอกว่าจะให้เดินใส่คนเดียวได้ไง ตัวเองตอนนั้นด้วยความกล้าเพียงน้อยนิดก็ตกลงว่าจะใส่ไปด้วยกัน ไหนๆก็มาด้วยกัน ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หันไปถามพนักงานร้านว่าใส่เข้าไปได้เหรอ พนักงานก็บอกว่าใส่ปกติเลย It’s normal พนักงานตอบ ใจเลยชื้นขึ้นมาหน่อย อีกอย่างพนักงานบอกว่า ถ้าใส่ชุดฮันบกเข้าวัง สามารถเข้าได้ฟรีเลย ไม่ต้องซื้อตั๋ว สงสัยคงเพราะจุดนี้ ความงกไม่เข้าใครออกใคร 555 (แต่หารู้ไม่ว่า ค่าเช่าชุดแพงกว่าค่าตั๋วเข้าวังซะอีก เอวัง)
พอเดินออกมาจากร้าน เป็นความรู้สึกที่อายมากถึงมากจริงๆ เดินก้มหน้าตลอด คนก็มอง นึกภาพเหมือนในหนังที่ตัวละครหลัก กำลังแอบที่จะต้องเจอผู้คน ต้องหลบซ่อน พอเดินพ้นร้านออกมาจะข้ามถนนเดินไปเข้าวัง ก็พบกับภาพรถทัวร์คันแล้วคันเล่าจอดตลอดข้างกำแพงวัง ตอนนั้นเดินไปก็ก้มหน้าไป ไม่กล้ามองใครเลย และแล้ว Moment of Truth ก็มาถึง เมื่อเดินเลี้ยวมุมกำแพงวังมาเจอกับทางเข้าด้านหน้าของพระราชวังคยองบก ผู้คน นักท่องเที่ยวพลุกพล่านไปหมด ใจเต้นแรงมาก ตึกตักๆ แล้วก็รวบรวมพลังกิมจิที่มีทั้งหมดในตัว เดินเข้ามารวมกับฝูงชน นักท่องเที่ยวต่างก็เริ่มมองมาที่เราสองคน อยากจะไปถ่ายรูปกับทหารหน้าวังก็เห็นท่าจะไม่ดี รอไม่ไหวแล้ว ณ จุดๆนี้ คนเยอะมาก จึงรีบเดินไปเข้าวัง ระหว่างทางที่เดินไปก็จะมีสายตาทั้งหลายต่างจับจ้องมาที่ผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวประหลาดนี้ เพราะวันที่ไปวันนั้นตลอดการเข้าชม ไม่มีใครแต่งชุดฮันบกเข้ามาเลย ไม่เจอคนที่แต่งมาเลยจริงๆ ยกเว้นเด็กน้อยคนหนึ่งที่เห็นคุณแม่จับแต่งชุดฮันบกแล้วมาถ่ายรูปในวัง แต่นั้นก็เด็กไง แต่เราละผู้ใหญ่ตัวเป็นๆ ว่าแล้วก็ฮึดอีกรอบ เอาวะ ไม่มีใครจำได้หรอก ต่างถิ่นต่างแดนขนาดนี้ ตลอดทางที่เดินเข้าไปรู้สึกเหมือนอยู่ในละคร ถูกมอง ถูกจับจ้อง แล้วคนก็ซุบซิบๆกัน แต่พอไปถึงจุดที่ต้องตรวจตั๋ว ก็นึกว่าใส่ชุดฮันบกจะเดินผ่านได้เลย แต่ความจริงหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ คุณลุงที่ตรวจตั๋วบอกว่าต้องไปแลกบัตรที่ห้องขายตั๋วมาก่อน สายตาก็มองตามมือคุณลุงที่ชี้ไปทางจุดขายตั๋ว เป็นภาพสโลโมชัน ผ่าง! คนที่ซื้อตั๋วยืนกันเต็มไปหมด หนีเสือปะจระเข้จริงๆ
เดินไปชมวังได้สักพักก็เริ่มมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปเรื่อยๆ อันนี้เลี่ยงไม่ได้ล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าหยิ่ง เจอคนหลายเชื้อชาติมาก จีน แขก ฝรั่ง เข้ามาขอถ่ายรูปตลอดเวลา ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เข้าใจความรู้สึกของดาราที่มีคนมาขอถ่ายรูปตลอดเวลา จะไม่ให้ก็ไม่ได้ Can I take a photo with you? คำถามที่ได้ยินตลอดทาง จนเริ่มรู้สึกเลยว่าอยากมีเวลาเดินเที่ยวของตัวเองบ้าง ความรู้สึกของซุปตามันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วยิ่งเดินไปก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีใครใส่ฮันบกมาเลย ไม่มีเลยจริงๆ เดินครึ่งวันไม่เจอใครใส่มาเลย
ช่วงนี้เริ่มเดินไปเรื่อยๆ รู้สึกอินมาก ณ ขนาดนั้น ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่รู้สึกว่าได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ทำให้ได้เรียนรู้และได้รู้จักโลกใหม่ จากการได้พูดคุยกับคนอื่นๆ การออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ 🙂 มีความทรงจำเล็กๆที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็อดจะอมยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง เรื่องมีอยู่ว่า มีฝรั่งคนหนึ่ง เป็นผู้ชายผมบลอนด์ดูเหมือนเป็นวัยรุ่น กำลังพาเพื่อนๆมาเที่ยวชมวัง ฝรั่งผมบลอนด์คนนั้น เดินเข้ามา ก้มตัวเล็กๆอย่างนอบน้อม เหมือนคนที่รู้จักกับวัฒนธรรมของที่นี่เป็นอย่างดี แล้วก็เริ่มพูดกับเราเป็นภาษาเกาหลีแบบรัวๆ และพูดยาวอยู่หลายประโยคอย่างสุภาพ ก็พอจะเดาได้ว่าจะมาขอถ่ายรูปด้วย พอตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษไป บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเกาหลี หนุ่มฝรั่งคนนั้นกับเพื่อนก็ตกใจกันใหญ่ แล้วก็เริ่มหัวเราะกัน สุดท้ายก็ได้ถ่ายรูปหมู่รวมแอ๊บเป็นสาวเกาหลีกันไป…
เป็นประสบการณ์ที่ดีช่วงหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว การได้ค้นพบกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ และก็ทำได้ เป็นความรู้สึกและความทรงจำที่ดีจริงๆค่ะ แนะนำว่าให้ลองนะคะ ทำอะไรก็ได้ที่คิดว่าตัวเองไม่มีวันทำ และทำมันค่ะ แล้วคุณจะได้พบกับโลกใหม่ที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหมือนที่เราได้ค้นพบ ณ พระราชวังคยองบกกุง แห่งนี้นี่เอง 🙂
มีต่อค่ะ
(ใครอยากอ่านม้วนเดียวจบ พร้อมภาพจุใจ เชิญทัศนาหย่อนใจกันได้ที่
https://aliceinlavenderland.wordpress.com)
[CR] เกาหลีใต้ 2 ปี ดี 2 หน: เที่ยว สู้ ฟัด ตะลุยมึนจากถิ่นเหนือสู่แดนใต้
ตะลอนจากเหนือ ลงใต้ จากโซล แวะ ชมดอกพ๊อตโกตที่เมืองจินเฮ ข้ามไปกินหมูดำที่เกาะเจจู
เที่ยวเมืองวัฒนธรรมที่คยองจู เดินชมเมืองอันดับสองของเกาหลีใต้ที่ปูซาน
เอาละค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน เตรียมตัวรัดเข็มขัด บล็อคนี้จะพาทุกคนเดินทางไกล จำเป็นต้องใช้พลังงานและสายตาหนักสักหน่อย วันนี้มาในโจทย์ “ตะลอนทัวร์เกาหลีใต้ เล่าภาพจากความทรงจำ” แนวไดอารีบันทึกความทรงจำ บอกไว้ก่อนว่า สาระไม่ค่อยมี แต่เรื่องโม้นั้นมีเยอะมากกกก พร้อมแล้ว เริ่มออกเดินทาง ณ บัดนาว 🙂
เป็นการเดินทางไปเกาหลีใต้ครั้งแรกในปี 2015 ทริปสั้นๆ ประมาณ 5 วัน ( 1 – 5 เม.ย.) เที่ยวกันเอง หลงไปบ้าง ออกนอกเส้นทางบ้าง ชอป กิน เที่ยวในกรุงโซล แล้วนั่งรถไฟไปดูดอกพ็อตโกต (ดอกซากุระ) ที่จินเฮ เป็นแบบ One day trip ต่อมาไม่รู้ด้วยอิทธิพลของโอปป้าจุงกิ ที่ตอนปี 2016 กำลังเป็นโอปป้ามหาชนจากซีรีย์เรื่องดัง Descendants of the Sun หรืออย่างไร กระแสเกาหลีบุกอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้ต้องมีซ้ำสอง และแน่นอนว่าครั้งที่สองย่อมต้องไม่ใช่นักท่องเที่ยวสมัครเล่นอีกต่อไป ครั้งนี้เราจึงจัดเต็มไปทั้งหมด 11 วัน (21 เม.ย. – 1 พ.ค.) จากโซล – เจจู – ปูซาน – คยองจู
ภาพจากความทรงจำเซตแรก จะเริ่มจากโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ เข้าวัง ชมเมือง เดินกินชิมชอปไปเรื่อยๆ สถานที่แรกที่มาเที่ยวในโซลแบบงงๆ จำไม่ได้ว่ามายังไง แต่จำได้ว่าเป็นที่แรกเลยที่มา ที่แห่งนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านวัฒนธรรมนัมซานฮันอก (Namsangol Hanok Village) เป็นหมู่บ้านเกาหลีแบบดั้งเดิม โดยนำมาจัดแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตประจำวันของคนเกาหลีในสมัยก่อน ในหมู่บ้านยังมีบริการให้ลองใส่ชุดฮันบก เข้าร่วมพิธีชงชา ลองเขียนโดยใช้พู่กันจีน แต่เนื่องจากว่าตอนที่ไปก็บ่ายแก่ๆใกล้เวลาปิดแล้ว เลยได้แต่ถ่ายภาพมาเป็นความทรงจำ ฉะนี้แล
เดือนที่ไปเป็นช่วงต้นเดือนเมษายน เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังดี ดอกไม้เริ่มบาน ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปตอนรับการกลับมาของต้นไม้ใบหญ้าที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล ที่นี่เดินได้ชิลๆ สบายๆ ตอนที่ไปคนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ค่ะ
สถานที่ถัดมา คือ สถานที่ภาคบังคับของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาที่โซลไม่มาไม่ได้ เหมือนมากรุงเทพฯแล้วไม่ได้ไปวัดพระแก้ว ที่ๆเราไปกันต่อก็คือ พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace – 경복궁) นั่นเอง การมาพระราชวังครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นทริปที่เปิดโลกกว้างให้กับตัวเองทีเดียว สืบเนื่องมากจากเพื่อนร่วมเดินทางที่มาด้วยนั้น หมายมั่นที่จะต้องใส่ชุดฮันบกไปเดินในพระราชวังให้ได้ ส่วนตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาใส่ชุดโบราณเดินในวังจริงๆ ตอนแรกก็บอกให้เพื่อนแต่งคนเดียวละกัน ตัวเองไม่กล้าจริงๆ คือตอนนั้นมันประหลาดมากสำหรับตัวเอง และช่วงนั้นก็ยังไม่ฮิตใส่กันเท่าตอนนี้ แต่เมื่อพอเข้าไปที่ร้านเช่าชุดฮันบก เหมือนถูกชุดและสีพาสเทลของชุดดูดเข้าไป พอไปจับๆดู อะสวยดี แต่จิตใต้สำนึกก็บอกว่าไม่ ไม่นะ ยังไงก็ไม่กล้า แต่แล้วเพื่อนร่วมทริปก็คะยั้นคะยอ บอกว่าจะให้เดินใส่คนเดียวได้ไง ตัวเองตอนนั้นด้วยความกล้าเพียงน้อยนิดก็ตกลงว่าจะใส่ไปด้วยกัน ไหนๆก็มาด้วยกัน ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หันไปถามพนักงานร้านว่าใส่เข้าไปได้เหรอ พนักงานก็บอกว่าใส่ปกติเลย It’s normal พนักงานตอบ ใจเลยชื้นขึ้นมาหน่อย อีกอย่างพนักงานบอกว่า ถ้าใส่ชุดฮันบกเข้าวัง สามารถเข้าได้ฟรีเลย ไม่ต้องซื้อตั๋ว สงสัยคงเพราะจุดนี้ ความงกไม่เข้าใครออกใคร 555 (แต่หารู้ไม่ว่า ค่าเช่าชุดแพงกว่าค่าตั๋วเข้าวังซะอีก เอวัง)
พอเดินออกมาจากร้าน เป็นความรู้สึกที่อายมากถึงมากจริงๆ เดินก้มหน้าตลอด คนก็มอง นึกภาพเหมือนในหนังที่ตัวละครหลัก กำลังแอบที่จะต้องเจอผู้คน ต้องหลบซ่อน พอเดินพ้นร้านออกมาจะข้ามถนนเดินไปเข้าวัง ก็พบกับภาพรถทัวร์คันแล้วคันเล่าจอดตลอดข้างกำแพงวัง ตอนนั้นเดินไปก็ก้มหน้าไป ไม่กล้ามองใครเลย และแล้ว Moment of Truth ก็มาถึง เมื่อเดินเลี้ยวมุมกำแพงวังมาเจอกับทางเข้าด้านหน้าของพระราชวังคยองบก ผู้คน นักท่องเที่ยวพลุกพล่านไปหมด ใจเต้นแรงมาก ตึกตักๆ แล้วก็รวบรวมพลังกิมจิที่มีทั้งหมดในตัว เดินเข้ามารวมกับฝูงชน นักท่องเที่ยวต่างก็เริ่มมองมาที่เราสองคน อยากจะไปถ่ายรูปกับทหารหน้าวังก็เห็นท่าจะไม่ดี รอไม่ไหวแล้ว ณ จุดๆนี้ คนเยอะมาก จึงรีบเดินไปเข้าวัง ระหว่างทางที่เดินไปก็จะมีสายตาทั้งหลายต่างจับจ้องมาที่ผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวประหลาดนี้ เพราะวันที่ไปวันนั้นตลอดการเข้าชม ไม่มีใครแต่งชุดฮันบกเข้ามาเลย ไม่เจอคนที่แต่งมาเลยจริงๆ ยกเว้นเด็กน้อยคนหนึ่งที่เห็นคุณแม่จับแต่งชุดฮันบกแล้วมาถ่ายรูปในวัง แต่นั้นก็เด็กไง แต่เราละผู้ใหญ่ตัวเป็นๆ ว่าแล้วก็ฮึดอีกรอบ เอาวะ ไม่มีใครจำได้หรอก ต่างถิ่นต่างแดนขนาดนี้ ตลอดทางที่เดินเข้าไปรู้สึกเหมือนอยู่ในละคร ถูกมอง ถูกจับจ้อง แล้วคนก็ซุบซิบๆกัน แต่พอไปถึงจุดที่ต้องตรวจตั๋ว ก็นึกว่าใส่ชุดฮันบกจะเดินผ่านได้เลย แต่ความจริงหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ คุณลุงที่ตรวจตั๋วบอกว่าต้องไปแลกบัตรที่ห้องขายตั๋วมาก่อน สายตาก็มองตามมือคุณลุงที่ชี้ไปทางจุดขายตั๋ว เป็นภาพสโลโมชัน ผ่าง! คนที่ซื้อตั๋วยืนกันเต็มไปหมด หนีเสือปะจระเข้จริงๆ
เดินไปชมวังได้สักพักก็เริ่มมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปเรื่อยๆ อันนี้เลี่ยงไม่ได้ล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าหยิ่ง เจอคนหลายเชื้อชาติมาก จีน แขก ฝรั่ง เข้ามาขอถ่ายรูปตลอดเวลา ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เข้าใจความรู้สึกของดาราที่มีคนมาขอถ่ายรูปตลอดเวลา จะไม่ให้ก็ไม่ได้ Can I take a photo with you? คำถามที่ได้ยินตลอดทาง จนเริ่มรู้สึกเลยว่าอยากมีเวลาเดินเที่ยวของตัวเองบ้าง ความรู้สึกของซุปตามันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วยิ่งเดินไปก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีใครใส่ฮันบกมาเลย ไม่มีเลยจริงๆ เดินครึ่งวันไม่เจอใครใส่มาเลย
ช่วงนี้เริ่มเดินไปเรื่อยๆ รู้สึกอินมาก ณ ขนาดนั้น ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่รู้สึกว่าได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ทำให้ได้เรียนรู้และได้รู้จักโลกใหม่ จากการได้พูดคุยกับคนอื่นๆ การออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ 🙂 มีความทรงจำเล็กๆที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็อดจะอมยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง เรื่องมีอยู่ว่า มีฝรั่งคนหนึ่ง เป็นผู้ชายผมบลอนด์ดูเหมือนเป็นวัยรุ่น กำลังพาเพื่อนๆมาเที่ยวชมวัง ฝรั่งผมบลอนด์คนนั้น เดินเข้ามา ก้มตัวเล็กๆอย่างนอบน้อม เหมือนคนที่รู้จักกับวัฒนธรรมของที่นี่เป็นอย่างดี แล้วก็เริ่มพูดกับเราเป็นภาษาเกาหลีแบบรัวๆ และพูดยาวอยู่หลายประโยคอย่างสุภาพ ก็พอจะเดาได้ว่าจะมาขอถ่ายรูปด้วย พอตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษไป บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเกาหลี หนุ่มฝรั่งคนนั้นกับเพื่อนก็ตกใจกันใหญ่ แล้วก็เริ่มหัวเราะกัน สุดท้ายก็ได้ถ่ายรูปหมู่รวมแอ๊บเป็นสาวเกาหลีกันไป…
เป็นประสบการณ์ที่ดีช่วงหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว การได้ค้นพบกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ และก็ทำได้ เป็นความรู้สึกและความทรงจำที่ดีจริงๆค่ะ แนะนำว่าให้ลองนะคะ ทำอะไรก็ได้ที่คิดว่าตัวเองไม่มีวันทำ และทำมันค่ะ แล้วคุณจะได้พบกับโลกใหม่ที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหมือนที่เราได้ค้นพบ ณ พระราชวังคยองบกกุง แห่งนี้นี่เอง 🙂
มีต่อค่ะ
(ใครอยากอ่านม้วนเดียวจบ พร้อมภาพจุใจ เชิญทัศนาหย่อนใจกันได้ที่ https://aliceinlavenderland.wordpress.com)