ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ผมอยู่ที่จังหวัดอุดร อำเภอบ้านผือ เข้ามาทำงานอยู่ แถว นิคมลาดกระบัง ผมทำงานอยู่ที่ บริษัทผลิตรองเท้า ส่งออก ด้วยเงินเดือน เพียง 4000 บาทต่อวิก ผมเช่าห้องอยู่ แถวนิคมลาดกระบังเดือนละ 1000 บาท ผมผ่อนมอเตอร์ไซค์ เดือนละ 3000 บาท ผมต้องจัดการเงินเดือน 8000 บาท ให้พอส่งกลับบ้านและจ่ายค่างวดรถ มันหนักมากจริงๆ ผมต้องกู้เงินคนที่ทำงาน จ่ายค่างวดรถจาก 1000 เป็น 2,000 แล้วก็เป็น 6000 ในที่สุด ด้วยดอก ร้อยละ 10 ต่อวิก เป็นร้อยละ 20 ต่อเดือน ผมต้องจ่าย 600 บาทต่อวิเป็นดอกผมยอมรับผมไม่มีเงินส่งต้น นี่ผมเพิ่มรายจ่ายของตัวเองชัดๆ ผมมีเงินไปทำงานแค่วันละ 20 บาท โรงงานมีข้าวฟรี แต่ กับข้าวต้องซื้อเองจานละ 12 บาท ไม่มีตังค์กินที่ทำงาน พอทนไหว อย่างน้อยก็ยังเซ็นข้าวแกงกินกับแม่ค้าขาประจำได้ แต่พอกลับบ้านผมเป็นคนกินเยอะมันทำใจลำบากมากที่จะไม่ได้กินข้าวเย็น เพื่อนฝูงที่ทำงาน เขารู้ว่าผมไม่มีตังค์ เขาจะคอยถามว่าเย็นนี้กินข้าวกับอะไร พูดแล้วแหย่เล่น ผมก็ตอบว่าเย็นนี้กลับไปกินน้ำอร่อยๆแล้วก็นอน วันไหน เพื่อนใจดีเขาก็ให้ตังค์มาซื้อมาม่า
พอมาถึง วันที่ผมหมดหนทางดิ้นไม่ไหว สู้ไม่ไหว ผมเอารถมอเตอร์ไซค์ไปคืน แล้วมันก็เป็น แบล็คลิสติดตัวผม ผมบอกลากับทุกสิ่ง บ้านเช่า เพื่อนร่วมงาน ยกเว้นเจ้าหนี้ ผมมีกลับบ้าน ทั้งที่มีตังค์อยู่แค่ 100 บาท ผมขึ้นรถไฟฟรีจากสถานีหัวตะเข้ แล้วไปต่อรถไฟฟรีที่หัวลำโพงเพื่อกลับจังหวัดอุดร ผมต้องใช้เงินที่มี 100 บาทเพื่ออดทนกับความหิว รถไฟออกเวลา 2 ทุ่ม ผมหิวจริงๆทั้งวันผมไม่ได้กินอะไรเลย มีแค่น้ำที่เอามาด้วยเพียง 1 ขวด แล้วมันก็เริ่มหมดแล้วด้วย มีพ่อค้าขายของเดินตามขบวนรถไฟ
ผมเล็งของที่จะซื้อไว้แล้ว มันคือมะม่วง ถ้าผมซื้อไก่กับข้าวเหนียว อยู่บนรถไฟจะตกชุดละ 50 บาท ผมตัดสินใจถามพ่อค้า ว่า มะม่วงมันหรือมะม่วงเปรี้ยว พ่อค้าบอกว่ามะม่วงมัน แต่จะออกเปรี้ยวนิดนึง ผมซื้อมาในราคา 25 บาท มันเป็นมะม่วงลูกเดียวที่ผมซื้อ แพงที่สุด ผมกัดเข้าไปคำแรก มัน...... เปรี้ยวอย่างเดียว ไม่มีมันเลย ระหว่างทาง ผมซื้อน้ำกิน ขวดละ 10 บาท 2 ขวด ผมเหลือตังค์อยู่ 55 บาท ผมเป็นคนดูดบุหรี่ แล้วทั้งวันนี้ ผมยังไม่ได้สูบบุหรี่เลย ผมเลยไปซื้อบนรถไฟขอแบ่งขายเขาขาย 3 มวน 20 บาท ซึ่งมันแพงมากตามร้านค้าจะตกอยู่ที่ 5 มวน 20บาท
ตอนนี้เงินผมเหลือ 35 บาท ผมต้องใช้จ่ายค่ารถ เข้าบ้าน 26 บาท แต่ความหิว มันทรมานจริงๆ ผมกินน้ำตลอดทางเพื่อบรรเทาความหิว ผมถึงสถานีรถไฟ อุดรธานีตอน 7 โมงเช้า ผมลืมคิดไปว่าต้องจ่ายค่ารถ จากสถานีรถไฟอุดรเพื่อไปต่อรถที่ตลาดรังษิณา ผมต้องเหลือเงิน 38 บาท ค่ารถจากสถานีรถไฟ 12 บาท
แบตโทรศัพท์ก็หมดอีก ความหิวมันทำให้ผมคิดได้ ว่ามีเงินอยู่ในบัญชี 90 บาท ผมใช้เงิน 35 บาทที่เหลืออยู่ไปกับการกินข้าวเช้า พอผมอิ่มท้อง ความกล้าที่จะไปเบิกเงิน 90 บาทที่ธนาคารก็หายไป ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ตอนนั้นผมคิดว่าจะนอนที่สถานีรถไฟคืนนี้ แต่ก็ไม่กล้าเพราะมีคนบ้านอนที่สถานีรถไฟอยู่แล้ว ผมมีทรัพย์สินติดตัวคือพระ 3 องค์ ผมเป็นคนขี้อาย ผมเดินไปที่แผงพระแล้วถามเขาว่ารับบูชาพระไหมครับ เขายังไม่ทันมองพระที่ผมมีด้วยซ้ำ เขาบอกไม่รับครับผมไปถามสามร้าน บอกเหมือนกันหมด ผมเดินกลับมาที่สถานีรถไฟแล้วเดินขึ้นตู้รถไฟ
ที่จอดรอคนไปกรุงเทพ ผมตัดสินใจเข้าไปในห้องน้ำ รถไฟ แล้วกดน้ำในอ่างล้างหน้าของรถไฟกิน รสชาติมันเหมือนสนิม แต่ผมก็ต้องทนกิน เพราะผมคิดแล้วว่าผมจะต้องเดินกลับบ้าน ระยะทางไม่ต่ำกว่า 70 โล ผมเริ่มเดินออกจากสถานีรถไฟ 8 โมงเช้า เดินไปถึงตลาดรังษิณา ก็เกือบ 10 โมงแล้ว ผมเดินตามทางมุ่งหน้ากลับบ้านไปเรื่อยๆ สภาพผมตอนนั้นใส่กางเกงลายดอกชบาขายาวเนื้อผ้าเหมือนกางเกงเจเจ ใส่เสื้อแขนยาวกันหนาวมีหมวกปิดหัว ลากกระเป๋าเดินทาง polo สีดำ เสียงมันชวนมองมากๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า เวลาเดินผ่านหน้าบ้านคนชอบมีหมาออกมาเห่า ผมเดินไปถึงอนามัย ผมลากกระเป๋าไว้ที่ข้างศาลพระภูมิแล้วเดินเข้าไปเหมือนมาหาหมอ ผมเข้าไปกินน้ำจนแก้วกระดานละลายมันกระหายน้ำ
มากจริงๆ เสร็จแล้วเดินออกจากอนามัย เดินไปเรื่อยๆ ไปเจอกับพระธุดงค์ 3-4 รูป ผมคิดในใจเป็นบุญของผมแล้วเพราะพระที่เดินอยู่นั่นแกโบกรถทุกคันที่วิ่งผ่าน ผมพยายามเดินเร็วเข้าไปใกล้ๆเพื่อที่จะขอติดรถไปด้วย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น สายตาพระที่มองผมเหมือนผมเป็นคนบ้าและพยายามเดินหนีและมองหลังเรื่อย ผมไม่เคยโดนรังเกียจมาก่อน มันยากนะที่จะรับได้ ข้างหน้ามีศาลาผมตั้งใจจะแวะพักที่ศาลา แต่พระกลับรีบเดินเข้าไปนั่ง แล้วให้ผมเดินผ่านไป แบบไม่ทักสักคำ ผมรู้แล้วว่าพระคิดว่าผมบ้า เวลา 5 โมงแล้ว ผมต้องรีบเดินให้ถึงบ้าน เพราะเหลือระยะทางอีกประมาณ 30 กิโล ถึงตอนนี้ ผมไม่รู้สึกเหนื่อย ในใจคิดถึงแต่บ้านอย่างเดียว ระหว่างทางผมแวะอนามัยมาเรื่อย เพื่อกินน้ำ ผมไปถึงปากซอยเข้าหมู่บ้าน ตอนเวลา 3 ทุ่ม มีร้านค้าอยู่หน้าปากซอย ผมขอให้เขาไปส่งในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครไปเพราะซอยบ้านผมมันเปลี่ยวและน่ากลัวมาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขากลัวผมหรือเปล่า เพราะสภาพผมตอนนั้นมันไม่แตกต่างจากคนบ้าเลย ผมเดินเข้าไปในบ้านประมาณ 6 กิโลเมตร มันเป็นระยะทางที่น้อยมาก ผมเป็นคนขี้กลัวมากๆ ในซอยบ้านไม่มีรถวิ่งสักคันระหว่างทางมีแต่นากับไร่อ้อยแล้วก็ป่ายางพารา ผมเดินไปถึงบ้านประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ถึงตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อยแล้ว ผมรีบเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อจะไปเจอพ่อกับแม่ เจอแต่น้องสาวถามว่าพ่อแม่ไปไหน น้องสาวบอกว่าไปตามหาพี่ ผมรู้อยู่แล้วว่าพ่อต้องออกมาตาม แกรู้จักผมดีว่าผมไม่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าไปถึงไหนนี่สิ อย่างไรก็ตามผมขอขอบคุณกระเป๋าpoloที่เดินเป็นเพื่อนกันมาโดยที่ล้อไม่หลุดซะก่อน
ขอขอบคุณที่ อ่านกระทู้นี้จนจบ ขอบพระคุณมากครับ
เรื่องเล่า ประสบการณ์ชีวิต
พอมาถึง วันที่ผมหมดหนทางดิ้นไม่ไหว สู้ไม่ไหว ผมเอารถมอเตอร์ไซค์ไปคืน แล้วมันก็เป็น แบล็คลิสติดตัวผม ผมบอกลากับทุกสิ่ง บ้านเช่า เพื่อนร่วมงาน ยกเว้นเจ้าหนี้ ผมมีกลับบ้าน ทั้งที่มีตังค์อยู่แค่ 100 บาท ผมขึ้นรถไฟฟรีจากสถานีหัวตะเข้ แล้วไปต่อรถไฟฟรีที่หัวลำโพงเพื่อกลับจังหวัดอุดร ผมต้องใช้เงินที่มี 100 บาทเพื่ออดทนกับความหิว รถไฟออกเวลา 2 ทุ่ม ผมหิวจริงๆทั้งวันผมไม่ได้กินอะไรเลย มีแค่น้ำที่เอามาด้วยเพียง 1 ขวด แล้วมันก็เริ่มหมดแล้วด้วย มีพ่อค้าขายของเดินตามขบวนรถไฟ
ผมเล็งของที่จะซื้อไว้แล้ว มันคือมะม่วง ถ้าผมซื้อไก่กับข้าวเหนียว อยู่บนรถไฟจะตกชุดละ 50 บาท ผมตัดสินใจถามพ่อค้า ว่า มะม่วงมันหรือมะม่วงเปรี้ยว พ่อค้าบอกว่ามะม่วงมัน แต่จะออกเปรี้ยวนิดนึง ผมซื้อมาในราคา 25 บาท มันเป็นมะม่วงลูกเดียวที่ผมซื้อ แพงที่สุด ผมกัดเข้าไปคำแรก มัน...... เปรี้ยวอย่างเดียว ไม่มีมันเลย ระหว่างทาง ผมซื้อน้ำกิน ขวดละ 10 บาท 2 ขวด ผมเหลือตังค์อยู่ 55 บาท ผมเป็นคนดูดบุหรี่ แล้วทั้งวันนี้ ผมยังไม่ได้สูบบุหรี่เลย ผมเลยไปซื้อบนรถไฟขอแบ่งขายเขาขาย 3 มวน 20 บาท ซึ่งมันแพงมากตามร้านค้าจะตกอยู่ที่ 5 มวน 20บาท
ตอนนี้เงินผมเหลือ 35 บาท ผมต้องใช้จ่ายค่ารถ เข้าบ้าน 26 บาท แต่ความหิว มันทรมานจริงๆ ผมกินน้ำตลอดทางเพื่อบรรเทาความหิว ผมถึงสถานีรถไฟ อุดรธานีตอน 7 โมงเช้า ผมลืมคิดไปว่าต้องจ่ายค่ารถ จากสถานีรถไฟอุดรเพื่อไปต่อรถที่ตลาดรังษิณา ผมต้องเหลือเงิน 38 บาท ค่ารถจากสถานีรถไฟ 12 บาท
แบตโทรศัพท์ก็หมดอีก ความหิวมันทำให้ผมคิดได้ ว่ามีเงินอยู่ในบัญชี 90 บาท ผมใช้เงิน 35 บาทที่เหลืออยู่ไปกับการกินข้าวเช้า พอผมอิ่มท้อง ความกล้าที่จะไปเบิกเงิน 90 บาทที่ธนาคารก็หายไป ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ตอนนั้นผมคิดว่าจะนอนที่สถานีรถไฟคืนนี้ แต่ก็ไม่กล้าเพราะมีคนบ้านอนที่สถานีรถไฟอยู่แล้ว ผมมีทรัพย์สินติดตัวคือพระ 3 องค์ ผมเป็นคนขี้อาย ผมเดินไปที่แผงพระแล้วถามเขาว่ารับบูชาพระไหมครับ เขายังไม่ทันมองพระที่ผมมีด้วยซ้ำ เขาบอกไม่รับครับผมไปถามสามร้าน บอกเหมือนกันหมด ผมเดินกลับมาที่สถานีรถไฟแล้วเดินขึ้นตู้รถไฟ
ที่จอดรอคนไปกรุงเทพ ผมตัดสินใจเข้าไปในห้องน้ำ รถไฟ แล้วกดน้ำในอ่างล้างหน้าของรถไฟกิน รสชาติมันเหมือนสนิม แต่ผมก็ต้องทนกิน เพราะผมคิดแล้วว่าผมจะต้องเดินกลับบ้าน ระยะทางไม่ต่ำกว่า 70 โล ผมเริ่มเดินออกจากสถานีรถไฟ 8 โมงเช้า เดินไปถึงตลาดรังษิณา ก็เกือบ 10 โมงแล้ว ผมเดินตามทางมุ่งหน้ากลับบ้านไปเรื่อยๆ สภาพผมตอนนั้นใส่กางเกงลายดอกชบาขายาวเนื้อผ้าเหมือนกางเกงเจเจ ใส่เสื้อแขนยาวกันหนาวมีหมวกปิดหัว ลากกระเป๋าเดินทาง polo สีดำ เสียงมันชวนมองมากๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า เวลาเดินผ่านหน้าบ้านคนชอบมีหมาออกมาเห่า ผมเดินไปถึงอนามัย ผมลากกระเป๋าไว้ที่ข้างศาลพระภูมิแล้วเดินเข้าไปเหมือนมาหาหมอ ผมเข้าไปกินน้ำจนแก้วกระดานละลายมันกระหายน้ำ
มากจริงๆ เสร็จแล้วเดินออกจากอนามัย เดินไปเรื่อยๆ ไปเจอกับพระธุดงค์ 3-4 รูป ผมคิดในใจเป็นบุญของผมแล้วเพราะพระที่เดินอยู่นั่นแกโบกรถทุกคันที่วิ่งผ่าน ผมพยายามเดินเร็วเข้าไปใกล้ๆเพื่อที่จะขอติดรถไปด้วย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น สายตาพระที่มองผมเหมือนผมเป็นคนบ้าและพยายามเดินหนีและมองหลังเรื่อย ผมไม่เคยโดนรังเกียจมาก่อน มันยากนะที่จะรับได้ ข้างหน้ามีศาลาผมตั้งใจจะแวะพักที่ศาลา แต่พระกลับรีบเดินเข้าไปนั่ง แล้วให้ผมเดินผ่านไป แบบไม่ทักสักคำ ผมรู้แล้วว่าพระคิดว่าผมบ้า เวลา 5 โมงแล้ว ผมต้องรีบเดินให้ถึงบ้าน เพราะเหลือระยะทางอีกประมาณ 30 กิโล ถึงตอนนี้ ผมไม่รู้สึกเหนื่อย ในใจคิดถึงแต่บ้านอย่างเดียว ระหว่างทางผมแวะอนามัยมาเรื่อย เพื่อกินน้ำ ผมไปถึงปากซอยเข้าหมู่บ้าน ตอนเวลา 3 ทุ่ม มีร้านค้าอยู่หน้าปากซอย ผมขอให้เขาไปส่งในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครไปเพราะซอยบ้านผมมันเปลี่ยวและน่ากลัวมาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขากลัวผมหรือเปล่า เพราะสภาพผมตอนนั้นมันไม่แตกต่างจากคนบ้าเลย ผมเดินเข้าไปในบ้านประมาณ 6 กิโลเมตร มันเป็นระยะทางที่น้อยมาก ผมเป็นคนขี้กลัวมากๆ ในซอยบ้านไม่มีรถวิ่งสักคันระหว่างทางมีแต่นากับไร่อ้อยแล้วก็ป่ายางพารา ผมเดินไปถึงบ้านประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ถึงตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อยแล้ว ผมรีบเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อจะไปเจอพ่อกับแม่ เจอแต่น้องสาวถามว่าพ่อแม่ไปไหน น้องสาวบอกว่าไปตามหาพี่ ผมรู้อยู่แล้วว่าพ่อต้องออกมาตาม แกรู้จักผมดีว่าผมไม่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าไปถึงไหนนี่สิ อย่างไรก็ตามผมขอขอบคุณกระเป๋าpoloที่เดินเป็นเพื่อนกันมาโดยที่ล้อไม่หลุดซะก่อน
ขอขอบคุณที่ อ่านกระทู้นี้จนจบ ขอบพระคุณมากครับ