สวัสดีทุกคนนะคะ
นี่ก็เป็นกระทู้ที่สองที่ดิชั้นอยากจะทำรีวิวการท่องเที่ยว ผจญภัยไปในสถานที่ต่าง ๆ ของตุ๊ด ซึ่งก็ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมว่า
" ประหยัด มัธยัสถ์ และอดทน "
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกเลยว่าการไปเที่ยวครั้งนี้อาจจะไม่หวือหวามากนัก เพราะว่ากระทู้หรือการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง
เชียงคานนั้น มีอยู่มากมายตามโลกโซเชี่ยลซึ่ง เพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคนสามารถหาอ่านได้อย่างง่าย แต่ยังไงซะ ตุ๊ดอุตส่าห์ไปเที่ยวทั้งที จะไม่มีเรื่องมาเล่าก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ก็หวังว่าทุกคนจะหาสาระสำคัญจากการอ่านกระทู้นี้ได้บ้างนะคะ เหมือนเดิม ถ้าผิดพลาดประการใด ติ-ชม ให้แก้ไขได้นะคะ ขอบคุณค่ะ
คำเตือน:
กระทู้นี้อาจจะเต็มไปด้วยภาพและการรีวิวอาหารซึ่งต้องบอกจริงๆว่าจขกท.ก็ไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีมากมายขนาดนี้ (อาหารอร่อยจริงๆแก) ก็ถ้าใครคาดหวังว่าจะเป็นการรีวิวแบบสถานที่ท่องเที่ยวจ๋าเลยก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
วันเดินทาง : 16 กรกฎาคม 2559
จุดเริ่มต้น ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องบอกว่าก่อนหน้าที่จะมาวันนี้ก็ค่อนข้างวุ่นวายกับการหาที่เที่ยว หาที่พัก จองตั๋วรถไฟ แต่ก็ลงเอยได้ด้วยดี โดยให้เพื่อนชะนีนางนึงซึ่งบ้านนางอยู่ใกล้สถานีรถไฟมากสุด เป็นคนไปจองตั๋วรถไฟ ณ ตอนเช้าตรู่ เนื่องจากว่าช่วงวันที่ทางรัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดนั้น เราไม่สามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ (สอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าระบบจะเปิดให้จองได้แค่ช่วงเทศกาลวันสงกรานต์กับวันปีใหม่
เท่านั้นนน!!) บวกกับความคิดที่ว่า วันหยุดยาว คนที่อยู่ในกรุงเทพก็อยากออก คนข้างนอกก็อยากเข้า ซึ่งอนุมานได้ว่า คนต้องโครตบรมมะเยอะแน่นอน แล้วการเดินทางด้วยรถไฟนั้น มีที่นั่งว่านรกแล้ว ถ้าไม่มีที่นั่งจะนรกแตกขนาดไหน เราจึงวางแผนไปจองตั๋วรถไฟฟรีให้เร็วที่สุด
.
และแล้วก็เป็นไปตามคาด เรา 3 คนได้ตั๋วมีที่นั่ง รอบ 21.06 น. ขึ้นที่สถานีชุมทางรถไฟบางซื่อ ไปลงที่สถานีอุดรธานี โดยที่เรานัดเจอกันที่สถานีบางซื่อตอนประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ โดยที่ดิชั้นไปถึงสถานีคนแรก แต่ด้วยความหิวนั้น จึงเดินไปรอบ ๆ สถานีใกล้ ๆ แล้วไปพบกับร้านนี้เข้า
ชื่อร้านว่า ก๋วยจั๊บสามทุ่ม อยู่ด้านข้างกับสถานีชุมทางบางซื่อโซนอีสานและเหนือ ซึ่งตอนแรกที่เดินหาร้านอาหาร เพื่อหาอะไรรองท้องก็พบกับผู้คนมากมายกำลังนั่งกินก๋วยจั๊บร้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ดิชั้นก็อนุมานไปเองก่อนว่า " มันต้องอร่อยแน่ ๆ เลยแก " ก็เลยเดินไปสั่งก๋วยจั๊บมานั่งทานรอผองเพื่อนชะนีที่กำลังเดินทางมา
น่าตาใช้ได้ ราคา 35 บาท ซึ่งถือว่าราคาน่าคบมาก แต่สิ่งที่เซอร์ไพร์สดิชั้นคือ วัตถุดิบต่าง ๆ คือดีมากกกกก เต้าหู้ทอดกรอบคือกรอบจริง เครื่องในดี เนื้อหมูก็ดี เส้นก็โอเค คืออร่อยโครต โครต โครต (ไม่ได้อวยนะคะ รสชาติถูกปากสุด) ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้หรือเดินทางรถไฟผ่านสถานีบางซื่อไม่ควรพลาดจริง ๆ แต่ถึงแม้รสชาติจะถูกปากแต่สิ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างก็คือ
หนู ค่ะ ตัวใหญ่มากกกก แล้วที่สำคัญคือมันเดินชิวมาก เดินไปเดินมา ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวผู้คน ใครที่ไม่ชอบหนูก็อาจจะต้องระวังตัวหน่อยนะคะ
หลังจากรับประทานเสร็จแล้ว เพื่อนชะนี 2 นางก็มาพอดีเลยค่ะ นี่ก็ไปนั่งรอพวกนางทานข้าวกันต่อ เสร็จแล้วก็ไปนั่งรอรถไฟที่ชานชาลา เพราะมันก็ใกล้เวลาที่รถจะมาแล้ว นั่งรอให้ยุงขบเล่นไปสักพักใหญ่รถไฟไทยสาย 133 ที่เราจะนั่งไปอุดรนั้นได้เลท เป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็คงจะว่าอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นวันหยุดยาว รอจนเวลา 4 ทุ่มกว่า รถไฟก็ได้เดินทางมาถึงชุมทางรถไฟบางซื่อซะที
วันเดินทางวันที่ 2 : 17 กรกฎาคม 2559
บอกเลยว่าช่วงเวลาค่ำคืนบนรถไฟนั้นผ่านไปช้าและยาวนานมากก เพราะนอนไม่ค่อยจะหลับกัน (ต้องเรียกว่านอนไม่ได้กันมากกว่า ) แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรที่ต้องมาสนใจ เอาเป็นว่าทุกคนที่ไปเที่ยวผ่านเส้นทางคมนาคมโดยรถไฟนั้นก็คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาไม่ใช่น้อย นั่งมาสักพักนึงก็เข้าสู่เช้าวันต่อไปแล้วว (เวลาผ่านไปเร็วเนอะ)
บนรถไฟสายอีสานนี้มีอาหารขึ้นมาขายน้อยมากจากที่สังเกต มีแค่ไก่ย่างทั้งตัว ข้าวเหนียวหมู ผลไม้ พุทรา บลาๆ แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะรู้สึกยังไม่อยากเสียเงินถึงแม้ว่าตุ๊ดจะรู้สึกหิวกระหายทั้งคืน นั่งรถไฟจนถึง 10 โมงกว่า ๆ รถไฟก็ถึงสถานีอุดรแล้ว
มาถึงก็จะมีรถสามล้อของจังหวัดอุดรรอต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมาย แต่แน่นอนค่ะ เราได้ศึกษาเส้นทางที่ประหยัดที่สุดมาไว้หมดแล้ว (งกให้ถึงที่สุด) เราก็เลือกที่จะเดินออกมาจากสถานีรถไฟ แล้วก็ถามคนแถวนั้น โดยที่ไปเจอลุงยามคนนึงค่ะ ตุ๊ดก็เดินไปถามเขาว่า "ลุงคะ บขส. อยู่ทางไหนหรอคะ" ลุงแกก็บอกให้เดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวไปด้านนี้ เราก็ถามต่อ "คือพวกหนูจะไปเลยกัน มันนั่งจากตรงนี้ได้ใช่ไหมคะ ?" ลุงแกตอบกลับมาว่า "บขส. ตรงนี้ไปทุกที่" ด้วยน้ำเสียงอันมั่นใจของลุงทำให้เรา 3 คนเชื่อใจแล้วเดินมาตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับถามทางไปคนท้องที่ไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่หลง จนเดินมาได้สักพักนึงเราก็ถามทางกับคุณป้าท่านนึงเรื่องบขส. และการนั่งรถต่อไปจังหวัดเลย "ถ้าหนูจะนั่งรถไปเลย พวกหนูนั่งตรงนี้ไปได้ใช่ไหมคะ?" สิ้นสุดน้ำเสียง ป้าตอบมาว่า "อ่อ ถ้าจะไปเลย หนูต้องนั่งรถไปขึ้นที่ บขส. ใหม่นะ ตรงนี้ไม่มีรถไปเลย" พอได้ยินป้าตอบมาแบบนี้ คิดในใจก่อนเลยว่า อีลุง ไหนบอกมันไปได้ทุกที่ แต่กะไรนั้นเราก็ถามทางไปบขส.ใหม่ว่าต้องไปขึ้นรถตรงไหนอะไรยังไง เพราะจากข้อมูลที่จขกท.นั้นเตรียมมา ก็บอกว่าต้องไปต่อรถทั้บขส.ใหม่ เราก็ได้ความมาว่า ให้เดินไปตรง 7-11 บขส.เก่าจะมีรถสองแถวสาย 6 ไป เราก็ขอบคุณป้า ๆ เสร็จแล้วก็เดินต่อไปจนมาถึง 7-11 เหล่าเพื่อนชะนีสองนางก็แวะเข้าไปหาอะไรรองท้อง แต่อีนี่ยังคงตระหรี่อยู่กับการไม่กินอะไร (เพราะคิดในใจว่ามันน่าจะใช้เวลาแปบเดียวเดี๋ยวก็ถึงเชียงคานแล้วแหละเนอะ) พอเพื่อนนี่ซื้อของเสร็จ ก็ยืนรอรถที่หน้าเซเว่นกัน
ยืนรอรถมาได้สักพักใหญ่ ผ่านไปเกือบ ๆ จะ 20 นาที ไม่มีวี่แววของรถสองแถวสาย 6 สักคัน เราจึงตัดสินใจถามสองแถวคันอื่นว่า จะไปบขส.ใหม่ยังไง ก็ได้ความมาว่าต้องไปขึ้นรถแถว ๆ 5แยก พร้อมกับคำพูดทิ้งท้ายว่าขึ้นรถพี่มาเลย พี่คิด 10 บาท แน่นอนค่ะว่าไม่ได้แอ้มเงินจากตุ๊ดแน่นอน เราก็ขอบคุณเขาพร้อมกัน Keep walking กันต่อ (แต่ถ้าให้แนะนำสำหรับคนที่จะไปเชียงคานโดยรถไฟจริง ๆ ถ้าไปกับเพื่อนหลายคนแล้วราคาตกคนละ 20 บาทก็นั่งกันไปเถอะค่ะ เพราะระยะทางมันไกลจริง ๆ ) ลากสังขารกันมาพักใหญ่จนถึง 5 แยกแล้ว ก็เห็นวี่แววมา เห้ย!! มีรถสองแถวสาย 6 ด้วยว่ะ แต่มันอยู่อีกเส้น (ไม่ใช่เส้นที่ไปบขส.ใหม่นั้นเอง) เราก็เลยไม่แน่ใจว่ามาถูกทางกันรึเปล่า เลยจะเดินข้ามถนนกันไป แต่ระหว่างที่อยู่ตรงเกาะกลางนั้น ก็ได้เหลือบไปเห็นกับรถสองแถวซึ่งก็ไม่รู้ว่าสายอะไรเพราะแดดร้อนและแรงมากก ก็เลยช่วยกันมอง ให้ตายเถอะ! รถสองแถวสาย 6 มา อีนี่ไม่คิดอะไร เดินไปตรงกลางถนนพร้อมกับโบกให้รถสองแถวจอด (ตอนนั้นรถไม่ค่อยมี แล้วกลัวเขาไม่เห็น) แล้วก็ขึ้นรถกันไปสุดสายเลยจ้าา ราคาคนละ 10 บาท
นั่งมาจนสุดสายก็ถึงบขส.ใหม่แล้วว มาถึงพวกเรา 3 นางก็เดินไปซื้อตั๋ว ราคาคนละ 91 บาทไปเมืองเลย (ถ้าเขาถามว่าลงไหนก็บอกว่าบขส.เลย) เสร็จแล้วก็ขึ้นรถทัวร์ไปนั่งรอรถออกกัน
ซื้อแล้วไม่รับคืนด้วยนะเออ
ต้องบอกว่าระหว่างทางบนรถทัวร์จำความอะไรไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะนั่งหลับตลอดเส้นทาง แต่รู้แค่ว่าใช้เวลาเดินทางจากอุดรธานีมาเลยประมาณ 3 ชั่วโมง โดยที่รถจะแวะจอดเรื่อย ๆ ตามความต้องการลงของผู้โดยสาร นั่งมาได้สักพักใหญ่ก็ถึงสถานีปลายทาง บขส.เลยเรียบร้อยแล้ว เราทั้ง 3 คนก็เดินลงจากรถไปถามคนแถว ๆ บขส.ต่อว่านั่งรถไปเชียงคานตรงไหน เขาก็ชี้ทางให้ เราก็เดินไปขึ้นรถกันต่อ
อันนี้เป็นรถที่เราจะนั่งไปเมืองเชียงคานกัน
นั่งรถว่าง ๆ ก็ถ่ายรูปเล่นซะหน่อย
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่กรุงเทพมาจนถึงบนรถที่กำลังจะนั่งไปเชียงคานต้องบอกว่าทรหดมาก ข้าวก็ยังไม่ได้กิน หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็ต้องอดทน (ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้นหรอก อาจจะเป็นเพราะหิวจัดมากกว่า) ค่าโดยสารตกคนละ 35 บาท นั่งมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงเชียงคานแต่รถก็ไปยูเทิร์นและเลี้ยวเข้าไปในตลาดเชียงคานซึ่งไกลจากที่พักพอสมควร พอมาถึงเชียงคานแล้วสิ่งที่ตุ๊ดคิดก็คือ ชั้นต้องไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด เพราะกระเป๋าหนักมาก และตอนนี้คือเพลียมาก ก็เลยเดินทิ้งเพื่อนชะนีสองคนไว้ข้างหลัง (นางก็แวะซื้อของที่ 7-11 กัน) เดินตากแดดตลอดเส้นทางเข้าไปในซอยศรีเชียงคานทะลุไปเส้นถนนคนเดิน ต้องบอกว่าตอนนั้นหงุดหงิดทุกสิ่งทุกอย่างมาก เดินหลงอีกต่างหากเพราะดูในแมพที่พักเราอยู่ซอย 19 แต่จำได้ว่าเพื่อนเคยบอกว่าอยู่ซอย 9 แล้วตุ๊ดหาที่พักไม่เจอ เดินวนไปวนมาแล้วไปถามคนแถวนั้นพบว่าที่พักตรงซอย 19 นั้นกำลังซ่อมแซม สาขาที่เราพักนั้นอยู่ซอยเก้า เราก็เริ่มไม่โอเคมานิดนึงเพราะร้อนและหนักกระเป๋ามาก เดินไปเจอยำมะม่วง จึงเกิดอาการไม่ไหวแล้ว ต้องหาอะไรกิน ก็เลยสั่งยำมะม่วงป้ากิน (ราคา 30 บาทจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงบริเวณไหน) แล้วเพื่อนก็โทรมาตามว่าอยู่ไหนถึงที่พักกันแล้ว เราก็บอกว่าสั่งยำอยู่เดี๊ยวตามไป รู้ว่าที่พักอยู่ไหน (ฟอร์มไว้ก่อน) ยำมะม่วงเสร็จแล้วเราก็เดินไปตรงที่พักจากการถามคนเป็นระยะ ๆ จนในที่สุดก็ถึงที่พักสักทีนึง เฮ้ออออ
หลังจากมาถึงที่พักสิ่งแรกที่ทุกคนทำคือเข้าไปอาบน้ำสระผมล้างกลิ่นสนิมที่ติดตัวมาจากรถไฟกันก่อนเลยค่ะ ยกเว้นดิชั้นที่นั่งโซ้ยยำมะม่วงอย่างหิวโหยพร้อมกับชงไมโลอย่างรู้งานว่านี่เป็นของชั้น แล้วเข้าไปอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย หลังจากแปลงโฉมกันเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ออกเดินทางไปถ่ายรูปเล่นกันเลยยยย
[CR] [CR-Story] #ตุ๊ดพาเที่ยว ณ เชียงคาน 3วัน 2คืน ตอน ตุ๊ดและผองเพื่อน กับสายหมอกที่หายไป #แก่งก็เช่นกัน (เวอร์ชั่นตามใจปาก)
นี่ก็เป็นกระทู้ที่สองที่ดิชั้นอยากจะทำรีวิวการท่องเที่ยว ผจญภัยไปในสถานที่ต่าง ๆ ของตุ๊ด ซึ่งก็ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมว่า
" ประหยัด มัธยัสถ์ และอดทน "
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกเลยว่าการไปเที่ยวครั้งนี้อาจจะไม่หวือหวามากนัก เพราะว่ากระทู้หรือการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเชียงคานนั้น มีอยู่มากมายตามโลกโซเชี่ยลซึ่ง เพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคนสามารถหาอ่านได้อย่างง่าย แต่ยังไงซะ ตุ๊ดอุตส่าห์ไปเที่ยวทั้งที จะไม่มีเรื่องมาเล่าก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ก็หวังว่าทุกคนจะหาสาระสำคัญจากการอ่านกระทู้นี้ได้บ้างนะคะ เหมือนเดิม ถ้าผิดพลาดประการใด ติ-ชม ให้แก้ไขได้นะคะ ขอบคุณค่ะ
กระทู้นี้อาจจะเต็มไปด้วยภาพและการรีวิวอาหารซึ่งต้องบอกจริงๆว่าจขกท.ก็ไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีมากมายขนาดนี้ (อาหารอร่อยจริงๆแก) ก็ถ้าใครคาดหวังว่าจะเป็นการรีวิวแบบสถานที่ท่องเที่ยวจ๋าเลยก็ขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
วันเดินทาง : 16 กรกฎาคม 2559
จุดเริ่มต้น ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องบอกว่าก่อนหน้าที่จะมาวันนี้ก็ค่อนข้างวุ่นวายกับการหาที่เที่ยว หาที่พัก จองตั๋วรถไฟ แต่ก็ลงเอยได้ด้วยดี โดยให้เพื่อนชะนีนางนึงซึ่งบ้านนางอยู่ใกล้สถานีรถไฟมากสุด เป็นคนไปจองตั๋วรถไฟ ณ ตอนเช้าตรู่ เนื่องจากว่าช่วงวันที่ทางรัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดนั้น เราไม่สามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ (สอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าระบบจะเปิดให้จองได้แค่ช่วงเทศกาลวันสงกรานต์กับวันปีใหม่ เท่านั้นนน!!) บวกกับความคิดที่ว่า วันหยุดยาว คนที่อยู่ในกรุงเทพก็อยากออก คนข้างนอกก็อยากเข้า ซึ่งอนุมานได้ว่า คนต้องโครตบรมมะเยอะแน่นอน แล้วการเดินทางด้วยรถไฟนั้น มีที่นั่งว่านรกแล้ว ถ้าไม่มีที่นั่งจะนรกแตกขนาดไหน เราจึงวางแผนไปจองตั๋วรถไฟฟรีให้เร็วที่สุด
.
และแล้วก็เป็นไปตามคาด เรา 3 คนได้ตั๋วมีที่นั่ง รอบ 21.06 น. ขึ้นที่สถานีชุมทางรถไฟบางซื่อ ไปลงที่สถานีอุดรธานี โดยที่เรานัดเจอกันที่สถานีบางซื่อตอนประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ โดยที่ดิชั้นไปถึงสถานีคนแรก แต่ด้วยความหิวนั้น จึงเดินไปรอบ ๆ สถานีใกล้ ๆ แล้วไปพบกับร้านนี้เข้า
ชื่อร้านว่า ก๋วยจั๊บสามทุ่ม อยู่ด้านข้างกับสถานีชุมทางบางซื่อโซนอีสานและเหนือ ซึ่งตอนแรกที่เดินหาร้านอาหาร เพื่อหาอะไรรองท้องก็พบกับผู้คนมากมายกำลังนั่งกินก๋วยจั๊บร้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ดิชั้นก็อนุมานไปเองก่อนว่า " มันต้องอร่อยแน่ ๆ เลยแก " ก็เลยเดินไปสั่งก๋วยจั๊บมานั่งทานรอผองเพื่อนชะนีที่กำลังเดินทางมา
น่าตาใช้ได้ ราคา 35 บาท ซึ่งถือว่าราคาน่าคบมาก แต่สิ่งที่เซอร์ไพร์สดิชั้นคือ วัตถุดิบต่าง ๆ คือดีมากกกกก เต้าหู้ทอดกรอบคือกรอบจริง เครื่องในดี เนื้อหมูก็ดี เส้นก็โอเค คืออร่อยโครต โครต โครต (ไม่ได้อวยนะคะ รสชาติถูกปากสุด) ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้หรือเดินทางรถไฟผ่านสถานีบางซื่อไม่ควรพลาดจริง ๆ แต่ถึงแม้รสชาติจะถูกปากแต่สิ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างก็คือ หนู ค่ะ ตัวใหญ่มากกกก แล้วที่สำคัญคือมันเดินชิวมาก เดินไปเดินมา ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวผู้คน ใครที่ไม่ชอบหนูก็อาจจะต้องระวังตัวหน่อยนะคะ
หลังจากรับประทานเสร็จแล้ว เพื่อนชะนี 2 นางก็มาพอดีเลยค่ะ นี่ก็ไปนั่งรอพวกนางทานข้าวกันต่อ เสร็จแล้วก็ไปนั่งรอรถไฟที่ชานชาลา เพราะมันก็ใกล้เวลาที่รถจะมาแล้ว นั่งรอให้ยุงขบเล่นไปสักพักใหญ่รถไฟไทยสาย 133 ที่เราจะนั่งไปอุดรนั้นได้เลท เป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็คงจะว่าอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นวันหยุดยาว รอจนเวลา 4 ทุ่มกว่า รถไฟก็ได้เดินทางมาถึงชุมทางรถไฟบางซื่อซะที
วันเดินทางวันที่ 2 : 17 กรกฎาคม 2559
บอกเลยว่าช่วงเวลาค่ำคืนบนรถไฟนั้นผ่านไปช้าและยาวนานมากก เพราะนอนไม่ค่อยจะหลับกัน (ต้องเรียกว่านอนไม่ได้กันมากกว่า ) แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรที่ต้องมาสนใจ เอาเป็นว่าทุกคนที่ไปเที่ยวผ่านเส้นทางคมนาคมโดยรถไฟนั้นก็คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาไม่ใช่น้อย นั่งมาสักพักนึงก็เข้าสู่เช้าวันต่อไปแล้วว (เวลาผ่านไปเร็วเนอะ)
บนรถไฟสายอีสานนี้มีอาหารขึ้นมาขายน้อยมากจากที่สังเกต มีแค่ไก่ย่างทั้งตัว ข้าวเหนียวหมู ผลไม้ พุทรา บลาๆ แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะรู้สึกยังไม่อยากเสียเงินถึงแม้ว่าตุ๊ดจะรู้สึกหิวกระหายทั้งคืน นั่งรถไฟจนถึง 10 โมงกว่า ๆ รถไฟก็ถึงสถานีอุดรแล้ว
มาถึงก็จะมีรถสามล้อของจังหวัดอุดรรอต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมาย แต่แน่นอนค่ะ เราได้ศึกษาเส้นทางที่ประหยัดที่สุดมาไว้หมดแล้ว (งกให้ถึงที่สุด) เราก็เลือกที่จะเดินออกมาจากสถานีรถไฟ แล้วก็ถามคนแถวนั้น โดยที่ไปเจอลุงยามคนนึงค่ะ ตุ๊ดก็เดินไปถามเขาว่า "ลุงคะ บขส. อยู่ทางไหนหรอคะ" ลุงแกก็บอกให้เดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวไปด้านนี้ เราก็ถามต่อ "คือพวกหนูจะไปเลยกัน มันนั่งจากตรงนี้ได้ใช่ไหมคะ ?" ลุงแกตอบกลับมาว่า "บขส. ตรงนี้ไปทุกที่" ด้วยน้ำเสียงอันมั่นใจของลุงทำให้เรา 3 คนเชื่อใจแล้วเดินมาตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับถามทางไปคนท้องที่ไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่หลง จนเดินมาได้สักพักนึงเราก็ถามทางกับคุณป้าท่านนึงเรื่องบขส. และการนั่งรถต่อไปจังหวัดเลย "ถ้าหนูจะนั่งรถไปเลย พวกหนูนั่งตรงนี้ไปได้ใช่ไหมคะ?" สิ้นสุดน้ำเสียง ป้าตอบมาว่า "อ่อ ถ้าจะไปเลย หนูต้องนั่งรถไปขึ้นที่ บขส. ใหม่นะ ตรงนี้ไม่มีรถไปเลย" พอได้ยินป้าตอบมาแบบนี้ คิดในใจก่อนเลยว่า อีลุง ไหนบอกมันไปได้ทุกที่ แต่กะไรนั้นเราก็ถามทางไปบขส.ใหม่ว่าต้องไปขึ้นรถตรงไหนอะไรยังไง เพราะจากข้อมูลที่จขกท.นั้นเตรียมมา ก็บอกว่าต้องไปต่อรถทั้บขส.ใหม่ เราก็ได้ความมาว่า ให้เดินไปตรง 7-11 บขส.เก่าจะมีรถสองแถวสาย 6 ไป เราก็ขอบคุณป้า ๆ เสร็จแล้วก็เดินต่อไปจนมาถึง 7-11 เหล่าเพื่อนชะนีสองนางก็แวะเข้าไปหาอะไรรองท้อง แต่อีนี่ยังคงตระหรี่อยู่กับการไม่กินอะไร (เพราะคิดในใจว่ามันน่าจะใช้เวลาแปบเดียวเดี๋ยวก็ถึงเชียงคานแล้วแหละเนอะ) พอเพื่อนนี่ซื้อของเสร็จ ก็ยืนรอรถที่หน้าเซเว่นกัน
ยืนรอรถมาได้สักพักใหญ่ ผ่านไปเกือบ ๆ จะ 20 นาที ไม่มีวี่แววของรถสองแถวสาย 6 สักคัน เราจึงตัดสินใจถามสองแถวคันอื่นว่า จะไปบขส.ใหม่ยังไง ก็ได้ความมาว่าต้องไปขึ้นรถแถว ๆ 5แยก พร้อมกับคำพูดทิ้งท้ายว่าขึ้นรถพี่มาเลย พี่คิด 10 บาท แน่นอนค่ะว่าไม่ได้แอ้มเงินจากตุ๊ดแน่นอน เราก็ขอบคุณเขาพร้อมกัน Keep walking กันต่อ (แต่ถ้าให้แนะนำสำหรับคนที่จะไปเชียงคานโดยรถไฟจริง ๆ ถ้าไปกับเพื่อนหลายคนแล้วราคาตกคนละ 20 บาทก็นั่งกันไปเถอะค่ะ เพราะระยะทางมันไกลจริง ๆ ) ลากสังขารกันมาพักใหญ่จนถึง 5 แยกแล้ว ก็เห็นวี่แววมา เห้ย!! มีรถสองแถวสาย 6 ด้วยว่ะ แต่มันอยู่อีกเส้น (ไม่ใช่เส้นที่ไปบขส.ใหม่นั้นเอง) เราก็เลยไม่แน่ใจว่ามาถูกทางกันรึเปล่า เลยจะเดินข้ามถนนกันไป แต่ระหว่างที่อยู่ตรงเกาะกลางนั้น ก็ได้เหลือบไปเห็นกับรถสองแถวซึ่งก็ไม่รู้ว่าสายอะไรเพราะแดดร้อนและแรงมากก ก็เลยช่วยกันมอง ให้ตายเถอะ! รถสองแถวสาย 6 มา อีนี่ไม่คิดอะไร เดินไปตรงกลางถนนพร้อมกับโบกให้รถสองแถวจอด (ตอนนั้นรถไม่ค่อยมี แล้วกลัวเขาไม่เห็น) แล้วก็ขึ้นรถกันไปสุดสายเลยจ้าา ราคาคนละ 10 บาท
นั่งมาจนสุดสายก็ถึงบขส.ใหม่แล้วว มาถึงพวกเรา 3 นางก็เดินไปซื้อตั๋ว ราคาคนละ 91 บาทไปเมืองเลย (ถ้าเขาถามว่าลงไหนก็บอกว่าบขส.เลย) เสร็จแล้วก็ขึ้นรถทัวร์ไปนั่งรอรถออกกัน
ซื้อแล้วไม่รับคืนด้วยนะเออ
ต้องบอกว่าระหว่างทางบนรถทัวร์จำความอะไรไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะนั่งหลับตลอดเส้นทาง แต่รู้แค่ว่าใช้เวลาเดินทางจากอุดรธานีมาเลยประมาณ 3 ชั่วโมง โดยที่รถจะแวะจอดเรื่อย ๆ ตามความต้องการลงของผู้โดยสาร นั่งมาได้สักพักใหญ่ก็ถึงสถานีปลายทาง บขส.เลยเรียบร้อยแล้ว เราทั้ง 3 คนก็เดินลงจากรถไปถามคนแถว ๆ บขส.ต่อว่านั่งรถไปเชียงคานตรงไหน เขาก็ชี้ทางให้ เราก็เดินไปขึ้นรถกันต่อ
อันนี้เป็นรถที่เราจะนั่งไปเมืองเชียงคานกัน
นั่งรถว่าง ๆ ก็ถ่ายรูปเล่นซะหน่อย
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่กรุงเทพมาจนถึงบนรถที่กำลังจะนั่งไปเชียงคานต้องบอกว่าทรหดมาก ข้าวก็ยังไม่ได้กิน หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็ต้องอดทน (ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้นหรอก อาจจะเป็นเพราะหิวจัดมากกว่า) ค่าโดยสารตกคนละ 35 บาท นั่งมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงเชียงคานแต่รถก็ไปยูเทิร์นและเลี้ยวเข้าไปในตลาดเชียงคานซึ่งไกลจากที่พักพอสมควร พอมาถึงเชียงคานแล้วสิ่งที่ตุ๊ดคิดก็คือ ชั้นต้องไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด เพราะกระเป๋าหนักมาก และตอนนี้คือเพลียมาก ก็เลยเดินทิ้งเพื่อนชะนีสองคนไว้ข้างหลัง (นางก็แวะซื้อของที่ 7-11 กัน) เดินตากแดดตลอดเส้นทางเข้าไปในซอยศรีเชียงคานทะลุไปเส้นถนนคนเดิน ต้องบอกว่าตอนนั้นหงุดหงิดทุกสิ่งทุกอย่างมาก เดินหลงอีกต่างหากเพราะดูในแมพที่พักเราอยู่ซอย 19 แต่จำได้ว่าเพื่อนเคยบอกว่าอยู่ซอย 9 แล้วตุ๊ดหาที่พักไม่เจอ เดินวนไปวนมาแล้วไปถามคนแถวนั้นพบว่าที่พักตรงซอย 19 นั้นกำลังซ่อมแซม สาขาที่เราพักนั้นอยู่ซอยเก้า เราก็เริ่มไม่โอเคมานิดนึงเพราะร้อนและหนักกระเป๋ามาก เดินไปเจอยำมะม่วง จึงเกิดอาการไม่ไหวแล้ว ต้องหาอะไรกิน ก็เลยสั่งยำมะม่วงป้ากิน (ราคา 30 บาทจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงบริเวณไหน) แล้วเพื่อนก็โทรมาตามว่าอยู่ไหนถึงที่พักกันแล้ว เราก็บอกว่าสั่งยำอยู่เดี๊ยวตามไป รู้ว่าที่พักอยู่ไหน (ฟอร์มไว้ก่อน) ยำมะม่วงเสร็จแล้วเราก็เดินไปตรงที่พักจากการถามคนเป็นระยะ ๆ จนในที่สุดก็ถึงที่พักสักทีนึง เฮ้ออออ
ไทยกันเองสาขา 2 อยู่บริเวณซอยศรีเชียงคาน 9
โซนจอดจักรยาน
มุมกาแฟก็มี มุมโปรดจขกท.เลยค่ะ เพราะกินไมโลฟรีคุ้มค่าที่พักมาก 55555
หลังจากมาถึงที่พักสิ่งแรกที่ทุกคนทำคือเข้าไปอาบน้ำสระผมล้างกลิ่นสนิมที่ติดตัวมาจากรถไฟกันก่อนเลยค่ะ ยกเว้นดิชั้นที่นั่งโซ้ยยำมะม่วงอย่างหิวโหยพร้อมกับชงไมโลอย่างรู้งานว่านี่เป็นของชั้น แล้วเข้าไปอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย หลังจากแปลงโฉมกันเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ออกเดินทางไปถ่ายรูปเล่นกันเลยยยย