กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิ่งมีชีวิตจากบรรพกาลเล็ดลอดผ่านกาลเวลาจนพบที่พำนักอันเหมาะสม มันแยกตัวเป็นเจ็ดร่าง แต่ละร่างมีพลังที่ทัดเทียมกัน เมื่อใดที่ร่างหนึ่งตาย พลังที่มีอยู่จะกลับไปกระจายสู่ร่างที่เหลือทั้งหมด และเมื่อเหลือเพียงหนึ่งจึงจะแยกตัวได้อีกครั้ง
และหนึ่งในชิ้นส่วนทั้งเจ็ดได้ร่วงลงสู่ภูเขาไฟแห่งหนึ่ง มันก่อนกำเนิดร่างเป็นมังกรเกล็ดแดงดังพระเพลิง เมื่อร่างนั้นสมบูรณ์จึงได้รับชื่อเรียก ไอร่า!
ไอร่าถือกำเนิดตั้งแต่ภูเขาไฟแห่งนี้ยังร้อนระอุอยู่ มันสามารถกินหินหลอมเหลวที่ไหลออกมายามฟูเขาไฟปะทุเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังของตนเอง เพราะมันช่วยผู้คนจากเถ้าภูเขาไฟนั่นเองจึงได้รับการเคารพจากมนุษย์มาเกือบพันปี มันได้รับการเคารพราวกับเป็นร่างจำแลงของนักรบเทพและอาศัยอยู่ในภูเขาไฟเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้
มันพบกับผู้ที่ตามล่ามันและพรรคพวกจนได้ แต่เขาน่าสงสารเหลือเกิน ชายผู้นั้นนอนตัวสั่นตาเหลือกอยู่บนพื้นหินอย่างน่าเวทนา ไอร่ากำลังเริ่มปฏิบัติการต่อชิ้นร่างกายที่ถูกจับแยกโดยปิศาจในผ้าคลุมสกปรก มันเข้าไปนอนใกล้เขา แล้วหวังว่าการรักษาตัวของมันจะเผื่อแผ่ไปยังชายคนนั้นด้วย
“ไม่ต้องห่วงไอร่า แค่คำสาปทำงาน ประเดี๋ยวก็ฟื้น” สิ่งน่ากลัวที่ติดตามชายผู้น่าเวทนาคนนั้นพูด
“ไม่เป็นอะไรแน่หรือ” ไอร่าถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่สิ เขาเป็นอมตะ แม้จะทรมานเพราะคำสาปแต่จะฟื้นตัวได้เอง” ชายผู้ทำให้ความกลัวของไอร่าตื่นขึ้นตอบ “เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่าไอร่า เจ้าอาจรู้แล้วว่าเรื่องอะไรแต่ข้าจะพูดซ้ำ...”
แล้วสิ่งน่ากลัวเกินคำบรรยายของไอร่าก็ยื่นข้อเสนอ...
เซ็ทส์ลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขารู้ตัวว่านอนบนที่นอนเพราะสัมผัสความนิ่มและความนุ่มของเบาะผ้าได้ ท่านผู้นั้นอาจพาเขามาพักที่อื่นกระมัง แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นเขาจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งไอร่า ปิศาจในผ้าคลุมสกปรก และรวิกานต์ ทุกอย่างตีกันอยู่ในหัวเขาเต็มไปหมด
ความรู้สึกบางอย่างระหว่างเขากับรวิกานต์ก่อตัวขึ้นทำให้คำสาปทำงาน นี่ก็ผ่านมากว่าสองพันปีแล้ว เขาคิดเอาเองว่าไม่มีทางรักใครได้นอกจากเซเลสอีก
“ลุกไหวไหมเซ็ทส์” เสียงท่านผู้นั้นเร่งให้เขาพยายามลืมตาที่ปวดระบมขึ้นมา ท่านผู้นั้นนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอน ท่าทางเบื่อหน่ายคงหมดหวังกับการดันเซ็ทส์ขึ้นเป็นนักสู้แล้ว ผู้เป็นอมตะครางตอบเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องไอร่า ข้าจัดการไปแล้ว” ท่านผู้นั้นตอบคำถามของเขาแบบรวบรัด “ทีนี้เราก็มุ่งไปยังซูเปอร์เบีย จะได้หมดเรื่องหมดราวกันสักที ดีไหม”
“แต่ว่า...” เซ็ทส์พยายามพูดทั้งที่ไม่มีเรี่ยวแรง ท่านผู้นั้นทักว่าให้นอนนิ่งๆเหมือนทุกครั้ง
”ถึงเวลาของอวาร์ริเทียแล้ว เขารู้ว่าเราจะตามหาซูเปอร์เบียได้อย่างไร เตรียมตัวเตรียมใจเสียเซ็ทส์ ฉากจบใกล้เข้ามาแล้ว” ท่านผู้นั้นเดินมาตบไหล่เขาเบาๆ “เจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วข้าก็จะได้กลับไปพักผ่อนสักที พวกเราเหนื่อยกันมาสองพันปีกว่าๆแล้วนี่”
เซ็ทส์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ที่ข้ารอเจ้าฟื้นก็อยากพูดแค่นี้ จะได้ไม่คาใจเรื่องไอร่าอีก ที่ต้องกังวลคือซูเปอร์เบียที่เจ้าเคยพบแค่ครั้งเดียว เราไม่รู้ว่ามันออกจากอุโมงค์เวลามานานแค่ไหน ไม่รู้ว่ามีพลังแบบใดกันแน่ ดังนั้นคราวนี้เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่าทุกครั้ง เพราะมันอาจหมายถึงครั้งสุดท้ายของเราสองคนด้วย เข้าใจตรงกันนะ”
แล้วท่านผู้นั้นก็ออกไปจากห้อง ทิ้งเซ็ทส์ให้นอนกองหมดสภาพอย่างเดียวดายดังเดิม...
ต้องใช้เวลากว่าสองวันเซ็ทส์จึงจะพร้อมสู้อีกครั้ง เขารู้มาจากไอวี่ว่ารวิกานต์กลับบ้านและถูกลบความทรงจำเรียบร้อย แม้จะกลับไปอย่างปลอดภัยทว่าเซ็ทส์รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรกับคนหน้าเหมือน ปล่อยนางให้มีชีวิตของตัวเอง ตัดใจและเฝ้ารอของรางวัลที่ตนสมควรได้รับ ห้ามคิดถึงนางอีกเพราะจะทำให้คำสาปทำงานจนไร้เรี่ยวแรง
“พร้อมหรือยังเซ็ทส์ เราจะไปกันแล้ว” ท่านผู้นั้นถามให้แน่ใจว่าเขาเตรียมตัวพร้อมสำหรับการต่อสู้ไหม
เซ็ทส์พยักหน้าอย่างหนักแน่น รอให้ท่านผู้นั้นใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปหาอวาร์ริเทีย
สถานที่ที่ท่านผู้นั้นพาเซ็ทส์ไปด้วยมนตร์เคลื่อยย้ายนั้นเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีคริสตัลส่องแสงเรืองรองทั่วทุกด้าน มังกรสีเหลืองทองนั่งรอพวกเขาด้วยใจจดจ่ออยู่ที่ด้านหนึ่งของถ้ำ รายล้อมด้วยอัญมณีและทองคำที่เซ็ทส์ไม่อยากรู้ว่ามันหามาได้อย่างไร
และเบื้องหน้าของมังกรยักษ์มีชายคนหนึ่งนอนสลบไสลอยู่ สายเลือดของท่านผู้นั้น นอนนิ่งเยี่ยงคนที่หมดลมหายใจแล้ว
“เขาเป็นคนหนุ่มที่กล้าหาญ” อวาร์ริเทียถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา” ท่านผู้นั้นทรุดตัวนั่งลงข้างๆอย่างเวทนา
“เขาต้องการพลัง ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้เรื่องข้าได้อย่างไร เขามาหาข้า อยากได้แนวร่วมที่มีพลังอำนาจเวทมนตร์มากมายในยุคนี้ แล้วข้าก็เล่าเรื่องของซูเปอร์เบียว่ามีพลังอำนาจมากเพียงไร เขาจึงอยากต่อรองด้วย ข้าจึงบอกวิธีให้ แล้วก็มาจบลงตรงนี้ล่ะ ข้าลังเลว่าจะทำอย่างไรดี จะช่วยหรือปล่อยให้ตาย แล้วพวกเจ้าก็โผล่เข้ามา”
“แบบนี้เท่ากับจงใจประกาศสงครามกับข้าชัดๆ!” ท่านผู้นั้นคำรามในลำคอ
“ช่วยทันไหมฝ่าบาท” เซ็ทส์องใบหน้าของสายเลือดท่านผู้นั้นด้วยแววตาสงสาร ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาเห็นคนหนุ่มต้องตายเพื่อเจตจำนงของตัวเอง ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับชีวิตมนุษย์
ท่านผู้นั้นส่ายหน้า เท่าที่จำได้ฝ่าบาทของเซ็ทส์ไม่เคยแสดงอาการวิตกเช่นนี้ออกมาเลยสักครั้งตลอดสองพันปี
“ซูเปอร์เบียใช้วิชาบางอย่างดูดพลังออกจากตัวเขาตราบใดที่มีชีวิตอยู่...” ท่านผู้นั้นพูดเสียงเศร้า “คงยากลำบากสินะ มีพลังในยุคที่คนส่วนใหญ่ไร้พลัง แตกต่างกับข้าโดยสิ้นเชิง...นอกจากตายแล้วมีอีกอย่างที่จะตัดท่อเลี้ยงของซูเปอร์เบียได้ เจ้าต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของข้าจะได้มีความสุขในอิเดนที่ข้าสร้างขึ้นเสียที เจ้าวายร้ายซูเปอร์เบียจะได้ดูดพลังไม่ได้ด้วย”
เซ็ทส์ไม่รู้ว่าจะปลอบท่านผู้นั้นอย่างไร ทำได้แต่ยืนนิ่งเหมือนตอไม้ ระหว่างนั้นร่างกายสายเลือดของท่านผู้นั้นก็กลายเป็นฝุ่นละอองไหลเข้าไปในตัวบรรพบุรุษจนหมด ท่านผู้นั้นยืนอย่างสง่างามแล้วหันมาพูดกับเซ็ทส์อย่างเป็นทางการ
“ฆ่ามันให้ได้เซ็ทส์ เอาเลือดมันมาล้างเลือดของลูกหลานข้า”
ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างเยือกเย็น ไม่แสดงความรู้สึกจริงออกมาตรงๆเหมือนเคย
“มั่นใจแล้วหรือว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะฆ่าซูเปอร์เบียได้ ข้าว่าเหมือนเขาขาดบางอย่าง...ไม่รู้สิ” อวาร์ริเทียแทรก
“เปลี่ยนใจไปปกป้องซูเปอร์เบียแล้วหรือไง” ท่านผู้นั้นหัวเราะเบาๆ มังกรทองถอนหายใจพรวด
“ข้าเล่าไปแล้วนี่ เมื่อหลายร้อยปีก่อนพวกเราทั้งห้าเคยต่อกรกับมันมาแล้ว เพราะลักซูเรียยังเล็กเกินไปจึงไม่อยู่ในการต่อสู้ด้วย จุดมุ่งหมายของมันคือก้าวเป็นผู้อยู่เหนือสิ่งทั้งปวงทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในฐานะที่มีต้นกำเนิดจากแห่งเดียวกันพวกเราจึงพยายามหยุดมันด้วยเหตุผลของตัวเอง สุดท้ายก็ไม่รู้ผลจนบัดนี้ ลักซูเรียไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก นางบอบบางเกินไป ข้าไม่อยากดึงเข้าสู่การต่อสู้ด้วย”
“อย่างนั้นช่วยเป็นพลังให้ข้าได้ไหม” เซ็ทผู้ต่อสู้อย่างโดดเดียวอยากได้พวกพ้องเพิ่มขึ้นสักคนก็ยังดี
“เจ้าตอนนี้รับพลังของพวกเราทั้งห้าไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ เจ้าสิ่งน่ากลัวนั่นล่ะที่เป็นคนทำสิ่งนั้นกับเจ้า” อวาร์ริเทียชี้นิ้วไปยังท่านผู้นั้น ซึ่งมีสิ่งหมกเม็ดกองรวมกันเป็นภูเขา
เซ็ทส์มองท่านผู้นั้นแล้วปลงกับตัวเองอีกรอบ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่สามารถง้างปากท่านผู้นั้นได้ว่าทำอะไรแล้วเพราะอะไร
“เมื่อไรจะเลิกเรียกข้าว่าสิ่งน่ากลัวสักที ข้าเข้าใจว่าเรื่องนั้นมีผลต่อพวกเจ้ามากแต่มันเป็นอดีต ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปแล้ว” ท่านผู้นั้นยืนยันจะปิดเรื่องเซ็ทส์เอาไว้เป็นความลับ “เอาเป็นว่าลองส่งเจ้านี่ไปหาซูเปอร์เบียดู หากเห็นท่าไม่ดีข้าค่อยช่วยก็ยังไม่สาย อย่างไรก็เป็นอมตะอยู่แล้วจนกว่าซูเปอร์เบียจะตาย” ท่านผู้นั้นพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบ
“ข้าขอทำข้อตกลงกับท่านบ้างได้หรือไม่ฝ่าบาท” เซ็ทส์พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ แม้จะอยู่เคียงข้างกันมาเป็นพันปี เขาก็ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษอะไรเลยสักอย่าง ท่านผู้นั้นพยักหน้าง่ายๆ “หากข้ากำจัดซูเปอร์เบียได้ ช่วยบอกข้าได้ไหมว่าท่านปิดบังอะไรข้าบ้าง”
“เจ้าไม่อยากรู้หรอก มันเป็นเรื่องทัศนคติระหว่างซูเปอร์เบีย มังกรพวกนี้ แล้วก็เรา ออกแนวน่าเบื่อแต่ก็เล่าได้ ถ้าเจ้าอยาก” ท่านผู้นั้นแกล้งพูดคนละเรื่องอีกแล้ว และเซ็ทส์จะไม่ยอมให้ท่านผู้นั้นปิดบังอะไรจากเขาได้อีก
“เรื่องการเดินทางของข้าฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทจึงลงมาช่วยข้ามากขนาดนี้ ข้าสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น” เซ็ทส์ทำให้ท่านผู้นั้นอ้าปากค้างอย่างหมดท่า
“เรื่องมันยาวนา” ท่านผู้นั้นพูดอย่างลังเล เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของเซ็ทส์จึงยอมตามข้อเสนอของเขา “สังหารซูเปอร์เบียด้วยวิธีใดๆ แล้วข้าจะเล่าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้เลย”
แค่นั้นก็เพียงพอจะจุดไฟแห่งการต่อสู้ของเซ็ทส์ได้อีกครั้งแล้ว เขาพยักหน้ากับอวาร์ริเทียว่าพร้อมต่อสู้แล้ว พิณเทพพิรุณอยู่ในอ้อมแขนของเขาเรียบร้อย
เจ้ามังกรเอ่ยคำ พื้นใต้เท้าของเซ็ทส์และท่านผู้นั้นเปล่งแสงเรืองรองเป็นรูปร่างมนตร์เคลื่อนย้าย ทั้งคู่จมอยู่ในแสงสว่างเพื่อเคลื่อนที่ไปหาซูเปอร์เบีย
เมื่อแสงหายพวกเขาก็พบว่าสถานที่เปลี่ยนไปเป็นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ มันถูกปลูกสร้างด้วยหินสีขาวก่อตัวเป็นโถงกว้างประกอบด้วยเสาสีขาวเรียงรายอยู่ตามขอบของพื้นที่นั้น หลังคาเปิดโล่งเห็นแสงสว่างสีขาวเงินส่องลงมาโดยไม่รู้ว่ามีเพดานหรือไม่มีกันแน่
“ใจกลางดวงดาว สถานที่ที่องค์เอริสกับเทพปิศาจเข้าสู่ผนึก” ท่านผู้นั้นสังเกตรอบด้านแล้วกล่าวขรึมๆ เหตุใดอวาร์ริเทียจึงส่งพวกเขามาที่นี่ “เมื่อหลายพันปีก่อนพวกข้าเคยมาที่นี่เพื่อปลุกจอมเทพสูงสุดให้ตื่นจากผนึก”
(มีต่อ)
จอมเวทอมตะ ตอนที่ 15
และหนึ่งในชิ้นส่วนทั้งเจ็ดได้ร่วงลงสู่ภูเขาไฟแห่งหนึ่ง มันก่อนกำเนิดร่างเป็นมังกรเกล็ดแดงดังพระเพลิง เมื่อร่างนั้นสมบูรณ์จึงได้รับชื่อเรียก ไอร่า!
ไอร่าถือกำเนิดตั้งแต่ภูเขาไฟแห่งนี้ยังร้อนระอุอยู่ มันสามารถกินหินหลอมเหลวที่ไหลออกมายามฟูเขาไฟปะทุเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังของตนเอง เพราะมันช่วยผู้คนจากเถ้าภูเขาไฟนั่นเองจึงได้รับการเคารพจากมนุษย์มาเกือบพันปี มันได้รับการเคารพราวกับเป็นร่างจำแลงของนักรบเทพและอาศัยอยู่ในภูเขาไฟเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้
มันพบกับผู้ที่ตามล่ามันและพรรคพวกจนได้ แต่เขาน่าสงสารเหลือเกิน ชายผู้นั้นนอนตัวสั่นตาเหลือกอยู่บนพื้นหินอย่างน่าเวทนา ไอร่ากำลังเริ่มปฏิบัติการต่อชิ้นร่างกายที่ถูกจับแยกโดยปิศาจในผ้าคลุมสกปรก มันเข้าไปนอนใกล้เขา แล้วหวังว่าการรักษาตัวของมันจะเผื่อแผ่ไปยังชายคนนั้นด้วย
“ไม่ต้องห่วงไอร่า แค่คำสาปทำงาน ประเดี๋ยวก็ฟื้น” สิ่งน่ากลัวที่ติดตามชายผู้น่าเวทนาคนนั้นพูด
“ไม่เป็นอะไรแน่หรือ” ไอร่าถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่สิ เขาเป็นอมตะ แม้จะทรมานเพราะคำสาปแต่จะฟื้นตัวได้เอง” ชายผู้ทำให้ความกลัวของไอร่าตื่นขึ้นตอบ “เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่าไอร่า เจ้าอาจรู้แล้วว่าเรื่องอะไรแต่ข้าจะพูดซ้ำ...”
แล้วสิ่งน่ากลัวเกินคำบรรยายของไอร่าก็ยื่นข้อเสนอ...
เซ็ทส์ลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขารู้ตัวว่านอนบนที่นอนเพราะสัมผัสความนิ่มและความนุ่มของเบาะผ้าได้ ท่านผู้นั้นอาจพาเขามาพักที่อื่นกระมัง แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นเขาจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งไอร่า ปิศาจในผ้าคลุมสกปรก และรวิกานต์ ทุกอย่างตีกันอยู่ในหัวเขาเต็มไปหมด
ความรู้สึกบางอย่างระหว่างเขากับรวิกานต์ก่อตัวขึ้นทำให้คำสาปทำงาน นี่ก็ผ่านมากว่าสองพันปีแล้ว เขาคิดเอาเองว่าไม่มีทางรักใครได้นอกจากเซเลสอีก
“ลุกไหวไหมเซ็ทส์” เสียงท่านผู้นั้นเร่งให้เขาพยายามลืมตาที่ปวดระบมขึ้นมา ท่านผู้นั้นนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอน ท่าทางเบื่อหน่ายคงหมดหวังกับการดันเซ็ทส์ขึ้นเป็นนักสู้แล้ว ผู้เป็นอมตะครางตอบเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องไอร่า ข้าจัดการไปแล้ว” ท่านผู้นั้นตอบคำถามของเขาแบบรวบรัด “ทีนี้เราก็มุ่งไปยังซูเปอร์เบีย จะได้หมดเรื่องหมดราวกันสักที ดีไหม”
“แต่ว่า...” เซ็ทส์พยายามพูดทั้งที่ไม่มีเรี่ยวแรง ท่านผู้นั้นทักว่าให้นอนนิ่งๆเหมือนทุกครั้ง
”ถึงเวลาของอวาร์ริเทียแล้ว เขารู้ว่าเราจะตามหาซูเปอร์เบียได้อย่างไร เตรียมตัวเตรียมใจเสียเซ็ทส์ ฉากจบใกล้เข้ามาแล้ว” ท่านผู้นั้นเดินมาตบไหล่เขาเบาๆ “เจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วข้าก็จะได้กลับไปพักผ่อนสักที พวกเราเหนื่อยกันมาสองพันปีกว่าๆแล้วนี่”
เซ็ทส์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ที่ข้ารอเจ้าฟื้นก็อยากพูดแค่นี้ จะได้ไม่คาใจเรื่องไอร่าอีก ที่ต้องกังวลคือซูเปอร์เบียที่เจ้าเคยพบแค่ครั้งเดียว เราไม่รู้ว่ามันออกจากอุโมงค์เวลามานานแค่ไหน ไม่รู้ว่ามีพลังแบบใดกันแน่ ดังนั้นคราวนี้เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่าทุกครั้ง เพราะมันอาจหมายถึงครั้งสุดท้ายของเราสองคนด้วย เข้าใจตรงกันนะ”
แล้วท่านผู้นั้นก็ออกไปจากห้อง ทิ้งเซ็ทส์ให้นอนกองหมดสภาพอย่างเดียวดายดังเดิม...
ต้องใช้เวลากว่าสองวันเซ็ทส์จึงจะพร้อมสู้อีกครั้ง เขารู้มาจากไอวี่ว่ารวิกานต์กลับบ้านและถูกลบความทรงจำเรียบร้อย แม้จะกลับไปอย่างปลอดภัยทว่าเซ็ทส์รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรกับคนหน้าเหมือน ปล่อยนางให้มีชีวิตของตัวเอง ตัดใจและเฝ้ารอของรางวัลที่ตนสมควรได้รับ ห้ามคิดถึงนางอีกเพราะจะทำให้คำสาปทำงานจนไร้เรี่ยวแรง
“พร้อมหรือยังเซ็ทส์ เราจะไปกันแล้ว” ท่านผู้นั้นถามให้แน่ใจว่าเขาเตรียมตัวพร้อมสำหรับการต่อสู้ไหม
เซ็ทส์พยักหน้าอย่างหนักแน่น รอให้ท่านผู้นั้นใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปหาอวาร์ริเทีย
สถานที่ที่ท่านผู้นั้นพาเซ็ทส์ไปด้วยมนตร์เคลื่อยย้ายนั้นเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีคริสตัลส่องแสงเรืองรองทั่วทุกด้าน มังกรสีเหลืองทองนั่งรอพวกเขาด้วยใจจดจ่ออยู่ที่ด้านหนึ่งของถ้ำ รายล้อมด้วยอัญมณีและทองคำที่เซ็ทส์ไม่อยากรู้ว่ามันหามาได้อย่างไร
และเบื้องหน้าของมังกรยักษ์มีชายคนหนึ่งนอนสลบไสลอยู่ สายเลือดของท่านผู้นั้น นอนนิ่งเยี่ยงคนที่หมดลมหายใจแล้ว
“เขาเป็นคนหนุ่มที่กล้าหาญ” อวาร์ริเทียถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา” ท่านผู้นั้นทรุดตัวนั่งลงข้างๆอย่างเวทนา
“เขาต้องการพลัง ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้เรื่องข้าได้อย่างไร เขามาหาข้า อยากได้แนวร่วมที่มีพลังอำนาจเวทมนตร์มากมายในยุคนี้ แล้วข้าก็เล่าเรื่องของซูเปอร์เบียว่ามีพลังอำนาจมากเพียงไร เขาจึงอยากต่อรองด้วย ข้าจึงบอกวิธีให้ แล้วก็มาจบลงตรงนี้ล่ะ ข้าลังเลว่าจะทำอย่างไรดี จะช่วยหรือปล่อยให้ตาย แล้วพวกเจ้าก็โผล่เข้ามา”
“แบบนี้เท่ากับจงใจประกาศสงครามกับข้าชัดๆ!” ท่านผู้นั้นคำรามในลำคอ
“ช่วยทันไหมฝ่าบาท” เซ็ทส์องใบหน้าของสายเลือดท่านผู้นั้นด้วยแววตาสงสาร ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาเห็นคนหนุ่มต้องตายเพื่อเจตจำนงของตัวเอง ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับชีวิตมนุษย์
ท่านผู้นั้นส่ายหน้า เท่าที่จำได้ฝ่าบาทของเซ็ทส์ไม่เคยแสดงอาการวิตกเช่นนี้ออกมาเลยสักครั้งตลอดสองพันปี
“ซูเปอร์เบียใช้วิชาบางอย่างดูดพลังออกจากตัวเขาตราบใดที่มีชีวิตอยู่...” ท่านผู้นั้นพูดเสียงเศร้า “คงยากลำบากสินะ มีพลังในยุคที่คนส่วนใหญ่ไร้พลัง แตกต่างกับข้าโดยสิ้นเชิง...นอกจากตายแล้วมีอีกอย่างที่จะตัดท่อเลี้ยงของซูเปอร์เบียได้ เจ้าต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของข้าจะได้มีความสุขในอิเดนที่ข้าสร้างขึ้นเสียที เจ้าวายร้ายซูเปอร์เบียจะได้ดูดพลังไม่ได้ด้วย”
เซ็ทส์ไม่รู้ว่าจะปลอบท่านผู้นั้นอย่างไร ทำได้แต่ยืนนิ่งเหมือนตอไม้ ระหว่างนั้นร่างกายสายเลือดของท่านผู้นั้นก็กลายเป็นฝุ่นละอองไหลเข้าไปในตัวบรรพบุรุษจนหมด ท่านผู้นั้นยืนอย่างสง่างามแล้วหันมาพูดกับเซ็ทส์อย่างเป็นทางการ
“ฆ่ามันให้ได้เซ็ทส์ เอาเลือดมันมาล้างเลือดของลูกหลานข้า”
ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างเยือกเย็น ไม่แสดงความรู้สึกจริงออกมาตรงๆเหมือนเคย
“มั่นใจแล้วหรือว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะฆ่าซูเปอร์เบียได้ ข้าว่าเหมือนเขาขาดบางอย่าง...ไม่รู้สิ” อวาร์ริเทียแทรก
“เปลี่ยนใจไปปกป้องซูเปอร์เบียแล้วหรือไง” ท่านผู้นั้นหัวเราะเบาๆ มังกรทองถอนหายใจพรวด
“ข้าเล่าไปแล้วนี่ เมื่อหลายร้อยปีก่อนพวกเราทั้งห้าเคยต่อกรกับมันมาแล้ว เพราะลักซูเรียยังเล็กเกินไปจึงไม่อยู่ในการต่อสู้ด้วย จุดมุ่งหมายของมันคือก้าวเป็นผู้อยู่เหนือสิ่งทั้งปวงทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในฐานะที่มีต้นกำเนิดจากแห่งเดียวกันพวกเราจึงพยายามหยุดมันด้วยเหตุผลของตัวเอง สุดท้ายก็ไม่รู้ผลจนบัดนี้ ลักซูเรียไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก นางบอบบางเกินไป ข้าไม่อยากดึงเข้าสู่การต่อสู้ด้วย”
“อย่างนั้นช่วยเป็นพลังให้ข้าได้ไหม” เซ็ทผู้ต่อสู้อย่างโดดเดียวอยากได้พวกพ้องเพิ่มขึ้นสักคนก็ยังดี
“เจ้าตอนนี้รับพลังของพวกเราทั้งห้าไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ เจ้าสิ่งน่ากลัวนั่นล่ะที่เป็นคนทำสิ่งนั้นกับเจ้า” อวาร์ริเทียชี้นิ้วไปยังท่านผู้นั้น ซึ่งมีสิ่งหมกเม็ดกองรวมกันเป็นภูเขา
เซ็ทส์มองท่านผู้นั้นแล้วปลงกับตัวเองอีกรอบ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่สามารถง้างปากท่านผู้นั้นได้ว่าทำอะไรแล้วเพราะอะไร
“เมื่อไรจะเลิกเรียกข้าว่าสิ่งน่ากลัวสักที ข้าเข้าใจว่าเรื่องนั้นมีผลต่อพวกเจ้ามากแต่มันเป็นอดีต ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปแล้ว” ท่านผู้นั้นยืนยันจะปิดเรื่องเซ็ทส์เอาไว้เป็นความลับ “เอาเป็นว่าลองส่งเจ้านี่ไปหาซูเปอร์เบียดู หากเห็นท่าไม่ดีข้าค่อยช่วยก็ยังไม่สาย อย่างไรก็เป็นอมตะอยู่แล้วจนกว่าซูเปอร์เบียจะตาย” ท่านผู้นั้นพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบ
“ข้าขอทำข้อตกลงกับท่านบ้างได้หรือไม่ฝ่าบาท” เซ็ทส์พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ แม้จะอยู่เคียงข้างกันมาเป็นพันปี เขาก็ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษอะไรเลยสักอย่าง ท่านผู้นั้นพยักหน้าง่ายๆ “หากข้ากำจัดซูเปอร์เบียได้ ช่วยบอกข้าได้ไหมว่าท่านปิดบังอะไรข้าบ้าง”
“เจ้าไม่อยากรู้หรอก มันเป็นเรื่องทัศนคติระหว่างซูเปอร์เบีย มังกรพวกนี้ แล้วก็เรา ออกแนวน่าเบื่อแต่ก็เล่าได้ ถ้าเจ้าอยาก” ท่านผู้นั้นแกล้งพูดคนละเรื่องอีกแล้ว และเซ็ทส์จะไม่ยอมให้ท่านผู้นั้นปิดบังอะไรจากเขาได้อีก
“เรื่องการเดินทางของข้าฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทจึงลงมาช่วยข้ามากขนาดนี้ ข้าสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น” เซ็ทส์ทำให้ท่านผู้นั้นอ้าปากค้างอย่างหมดท่า
“เรื่องมันยาวนา” ท่านผู้นั้นพูดอย่างลังเล เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของเซ็ทส์จึงยอมตามข้อเสนอของเขา “สังหารซูเปอร์เบียด้วยวิธีใดๆ แล้วข้าจะเล่าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้เลย”
แค่นั้นก็เพียงพอจะจุดไฟแห่งการต่อสู้ของเซ็ทส์ได้อีกครั้งแล้ว เขาพยักหน้ากับอวาร์ริเทียว่าพร้อมต่อสู้แล้ว พิณเทพพิรุณอยู่ในอ้อมแขนของเขาเรียบร้อย
เจ้ามังกรเอ่ยคำ พื้นใต้เท้าของเซ็ทส์และท่านผู้นั้นเปล่งแสงเรืองรองเป็นรูปร่างมนตร์เคลื่อนย้าย ทั้งคู่จมอยู่ในแสงสว่างเพื่อเคลื่อนที่ไปหาซูเปอร์เบีย
เมื่อแสงหายพวกเขาก็พบว่าสถานที่เปลี่ยนไปเป็นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ มันถูกปลูกสร้างด้วยหินสีขาวก่อตัวเป็นโถงกว้างประกอบด้วยเสาสีขาวเรียงรายอยู่ตามขอบของพื้นที่นั้น หลังคาเปิดโล่งเห็นแสงสว่างสีขาวเงินส่องลงมาโดยไม่รู้ว่ามีเพดานหรือไม่มีกันแน่
“ใจกลางดวงดาว สถานที่ที่องค์เอริสกับเทพปิศาจเข้าสู่ผนึก” ท่านผู้นั้นสังเกตรอบด้านแล้วกล่าวขรึมๆ เหตุใดอวาร์ริเทียจึงส่งพวกเขามาที่นี่ “เมื่อหลายพันปีก่อนพวกข้าเคยมาที่นี่เพื่อปลุกจอมเทพสูงสุดให้ตื่นจากผนึก”
(มีต่อ)