ในหลวง ร.๙ ทรงพระผนวช ะหว่างวันที่ 22 ต.ค.-5 พ.ย. ปี พ.ศ.2499 ร (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
..ทุกคนที่ถือตัวว่าเป็นชาวพุทธ จะต้องสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาตามภูมิปัญญา ความสามารถ และโอกาสของตนที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจที่กระจ่างถูกต้องในหลักธรรม และเมื่อศึกษาเข้าใจแล้ว เห็นประโยชน์แล้ว ก็น้อมนำมาปฏิบัติ ทั้งในกิจวัตรและในกิจการงานของตน เพื่อให้ได้รับผล คือความสุข ความสงบร่มเย็น และความเจริญงอกงามในชีวิตเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ตามขีดความสามารถและความประพฤติปฏิบัติของแต่ละคน...
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อเชิญไปอ่านในวันเปิดประชุมใหญ่ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ครั้งที่ 15 ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2529
สมเด็จพระราชชนนี ถวายบาตรสำหรับพระราชพิธีอุปสมบทกรรม(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ปีพุทธศักราช 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี นายกรัฐมนตรี(จอมพล ป. พิบูลสงคราม)ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอรับพระราชภาระ สนองพระเดชพระคุณในการทรงพระผนวชในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทน ราษฎร
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงจรดพระกรรไกรบิดเปลื้องพระเกศาเป็นปฐมฤกษ์(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และคณะทูตานุทูตเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาท ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เพื่อทรงแถลงพระราชดำริในการที่จะเสด็จออกทรงพระผนวช และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ราษฎรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เพื่อมีพระราชดำรัสแก่ประชาราษฎร ความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ท่านทั้งปวงมาร่วมประชุมกัน ณ ที่นี้ ขอถือโอกาสแจ้งดำริที่จะบรรพชาอุปสมบทให้บรรดาอาณาประชาราษฎรทราบทั่วกัน”
ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุภูมิพโล ทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากทรงเจริญพระเกศาโดยสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงจรดพระกรรไกรบิดเปลื้องพระเกศาเป็นปฐมฤกษ์แล้ว ทรงเครื่องเศวตพัสตรีทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี และพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ทรงรับผ้าไตรจากสมเด็จพระราชชนนีแล้วทรงเข้าบรรพชาอุปสมบทในท่ามกลางสังฆสมาคม ซึ่งมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน
เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงได้รับสมญานามจากพระราชอุปัชฌาจารย์ว่า“ภูมิพโล”(ภูมิพโลภิกขุ) ในระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ ทรงรับประเคนผ้าไตรจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงรับไทยธรรมจากสมเด็จพระบรมราชชนนี ตามลำดับ
ภาพเมื่อครั้ง ในหลวง ร.๙ ทรงพระผนวช ถูกติดแสดงไว้ที่วัดบวร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระผนวชเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 โดยระหว่างทรงพระผนวชพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จมาประทับ ณ “พระตำหนักปั้นหย่า”(พระตำหนักปั้นหยา) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พระตำหนักปั้นหย่า เป็นตึก 3 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบยุโรป เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่ทรงพระผนวช หลังจากนั้นที่นี่เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดนี้ โดยในวันลาสิขาบท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปลูกต้นสักไว้ที่ด้านหลังพระตำหนักปั้นหย่า ที่วันนี้เติบโตสูงใหญ่ให้ร่มเงาร่มรื่น
พระแท่นหน้าพระอุโบสถ เป็นพระแท่นที่ประทับสำหรับในหลวง ร.๙ เมื่อครั้งประทับที่วัดบวรฯ(ภาพจากแฟ้ม)
ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า-เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัย ออกรับบิณฑบาตเหมือนพระภิกษุทั่วไป เป็นต้น
สำหรับการทรงพระผนวชของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี พ.ศ. 2499 นั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 19 ได้เคยตรัสเอาไว้ว่า
“พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะได้ทรงผนวชตามราชประเพณีอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแม้จริง มิได้ทรงเป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่าหัวใหม่ ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา ฉะนั้นถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า บวชด้วยศรัทธา เพราะทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาประกอบด้วย พระปัญญา และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด”
พระตำหนักปั้นหย่า
ขณะที่ “สมเด็จพระวันรัต”(จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวรวิหาร ได้เล่าย้อนรำลึกถึงพระจริยวัตรอันงดงามเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระผนวช ผ่านบทความ “ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธา” (หน้าจุดประกาย นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 ต.ค.59) ดังความตอนหนึ่งว่า
“อาตมาเคยอยู่ร่วมวัดเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอนพระองค์ทรงพระผนวชในปี พ.ศ. 2499 ตอนนั้นอาตมาเป็นพระใหม่ พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยปฏิบัติด้วยความศรัทธา ทรงเสด็จฯ ออกบิณฑบาตทั้งในวัง ส่วนราชการ และทั่วไป ซึ่งประชาชนก็ไม่คิดว่าจะได้ใส่บาตร เพราะไม่รู้ว่าพระภิกษุสงฆ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงออกบิณฑบาตวันไหน เมื่อไหร่”
ต้นสักที่ในหลวง ร.๙ ทรงปลูก ในวันลาผนวชเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2499
เที่ยววัดบวรนิเวศ
สำหรับวันที่ 22 ต.ค. 2560 ถือเป็นวันครบรอบ 61 ปี ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระผนวช ซึ่งผู้สนใจสามารถตามรอยพระราชาเมื่อครั้งทรงพระผนวชได้ที่ พระตำหนักปั้นหย่า ชมต้นสักที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปลูกที่หลังพระตำหนัก ชมและสักการะพระแท่น(หน้าพระอุโบสถ)ที่พระองค์ท่านเคยเสด็จประทับ
นอกจากนี้ผู้มาเยือนวัดบวรนิเวศยังสามารถเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจอันหลากหลายภายในวัดแห่งนี้ อาทิ
-พระอุโบสถ ที่ชวนมองด้วยผนังหินอ่อนสีขาวตัดกับสีทองของประตูและหน้าต่าง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน 2 องค์ คือ “พระสุวรรณเขต” หรือ “พระโต” (พระประธานองค์หลัง)เป็นพระประธานสมัยแรก และ “พระพุทธชินสีห์”(พระประธานองค์หน้า) พระประธานที่สร้างขึ้นมาในสมัยหลัง
พระมหาเจดีย์ใหญ่ สีทองสุกใสสูงโดดเด่นเป็นสง่า เป็นเจดีย์ทรงกลมกลม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
-พระเจดีย์ไพรีพินาศ อันเป็นที่ประดิษฐาน พระไพรีพินาศ พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญและมีชื่อเสียงของวัดบวรฯ
-ศาลาพระพุทธบาท ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นแผ่นศิลาสลักรอยพระพุทธบาทคู่ ซึ่ง กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ นำมาจากจังหวัดชัยนาท
ประตูเซี่ยวกาง ที่มีทวารบาลสร้างตามคตินิยมแบบจีน โดยประตูทางเข้าวัดที่ตรงกับโบสถ์ (ฝั่งตรงข้ามร้านข้าวต้มวัดบวรฯ) ที่ปากของทวารบาลจะดูดำเป็นปื้นและมีพวงมาลัย ถุงโอยัวะแขวนห้อยอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งชาวบ้านได้มาบนบานศาลกล่าวตามความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวจีนคนหนึ่งติดฝิ่นงอมแงมได้มาเสียชีวิตที่นี่ และได้มาเข้าฝันท่านเจ้าอาวาส(สมัยนั้น)ว่า ดวงวิญญาณของเขาจะขอสิงสถิตเฝ้าวัดบวรนิเวศให้
และนี่ก็คืออีกหนึ่งความทรงคุณค่าของวัดบวรนิเวศ ที่นอกจากจะเป็นสถานที่ประทับในเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระผนวชแล้ว วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ยังเป็น 1 ใน 2 วัด ที่หลังพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จะมีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาบรรจุไว้ที่วัดบวรนิเวศแห่งนี้
วัดบวรนิเวศ 1 ใน 2 วัด ที่มีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาบรรจุ
หมายเหตุ : อีกหนึ่งวัดที่มีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปบรรจุ คือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
อ่านรายละเอียดได้จาก อ้างอิง...
https://mgronline.com/travel/detail/9600000107082
เมื่อสัปดาห์ก่อนไปเที่ยวมาค่ะ...คนไทยคิดถึงพ่อ มากราบพ่อได้ที่นี่นะคะ..
~มาลาริน~** “วัดบวรนิเวศ” ที่ประทับเมื่อครั้งในหลวง ร.๙ ทรงพระผนวชและ 1ใน2 วัดที่มีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารมาบรรจุ
ในหลวง ร.๙ ทรงพระผนวช ะหว่างวันที่ 22 ต.ค.-5 พ.ย. ปี พ.ศ.2499 ร (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
..ทุกคนที่ถือตัวว่าเป็นชาวพุทธ จะต้องสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาตามภูมิปัญญา ความสามารถ และโอกาสของตนที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจที่กระจ่างถูกต้องในหลักธรรม และเมื่อศึกษาเข้าใจแล้ว เห็นประโยชน์แล้ว ก็น้อมนำมาปฏิบัติ ทั้งในกิจวัตรและในกิจการงานของตน เพื่อให้ได้รับผล คือความสุข ความสงบร่มเย็น และความเจริญงอกงามในชีวิตเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ตามขีดความสามารถและความประพฤติปฏิบัติของแต่ละคน...
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อเชิญไปอ่านในวันเปิดประชุมใหญ่ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ครั้งที่ 15 ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2529
สมเด็จพระราชชนนี ถวายบาตรสำหรับพระราชพิธีอุปสมบทกรรม(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ปีพุทธศักราช 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงพระผนวชในพระบวรพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี นายกรัฐมนตรี(จอมพล ป. พิบูลสงคราม)ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอรับพระราชภาระ สนองพระเดชพระคุณในการทรงพระผนวชในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทน ราษฎร
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงจรดพระกรรไกรบิดเปลื้องพระเกศาเป็นปฐมฤกษ์(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และคณะทูตานุทูตเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาท ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เพื่อทรงแถลงพระราชดำริในการที่จะเสด็จออกทรงพระผนวช และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ราษฎรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เพื่อมีพระราชดำรัสแก่ประชาราษฎร ความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ท่านทั้งปวงมาร่วมประชุมกัน ณ ที่นี้ ขอถือโอกาสแจ้งดำริที่จะบรรพชาอุปสมบทให้บรรดาอาณาประชาราษฎรทราบทั่วกัน”
ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุภูมิพโล ทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากทรงเจริญพระเกศาโดยสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงจรดพระกรรไกรบิดเปลื้องพระเกศาเป็นปฐมฤกษ์แล้ว ทรงเครื่องเศวตพัสตรีทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี และพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ทรงรับผ้าไตรจากสมเด็จพระราชชนนีแล้วทรงเข้าบรรพชาอุปสมบทในท่ามกลางสังฆสมาคม ซึ่งมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน
เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงได้รับสมญานามจากพระราชอุปัชฌาจารย์ว่า“ภูมิพโล”(ภูมิพโลภิกขุ) ในระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ ทรงรับประเคนผ้าไตรจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงรับไทยธรรมจากสมเด็จพระบรมราชชนนี ตามลำดับ
ภาพเมื่อครั้ง ในหลวง ร.๙ ทรงพระผนวช ถูกติดแสดงไว้ที่วัดบวร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระผนวชเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 โดยระหว่างทรงพระผนวชพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จมาประทับ ณ “พระตำหนักปั้นหย่า”(พระตำหนักปั้นหยา) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พระตำหนักปั้นหย่า เป็นตึก 3 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบยุโรป เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่ทรงพระผนวช หลังจากนั้นที่นี่เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดนี้ โดยในวันลาสิขาบท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปลูกต้นสักไว้ที่ด้านหลังพระตำหนักปั้นหย่า ที่วันนี้เติบโตสูงใหญ่ให้ร่มเงาร่มรื่น
พระแท่นหน้าพระอุโบสถ เป็นพระแท่นที่ประทับสำหรับในหลวง ร.๙ เมื่อครั้งประทับที่วัดบวรฯ(ภาพจากแฟ้ม)
ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า-เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัย ออกรับบิณฑบาตเหมือนพระภิกษุทั่วไป เป็นต้น
สำหรับการทรงพระผนวชของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี พ.ศ. 2499 นั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 19 ได้เคยตรัสเอาไว้ว่า
“พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะได้ทรงผนวชตามราชประเพณีอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแม้จริง มิได้ทรงเป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่าหัวใหม่ ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา ฉะนั้นถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า บวชด้วยศรัทธา เพราะทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาประกอบด้วย พระปัญญา และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด”
พระตำหนักปั้นหย่า
ขณะที่ “สมเด็จพระวันรัต”(จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวรวิหาร ได้เล่าย้อนรำลึกถึงพระจริยวัตรอันงดงามเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระผนวช ผ่านบทความ “ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธา” (หน้าจุดประกาย นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 ต.ค.59) ดังความตอนหนึ่งว่า
“อาตมาเคยอยู่ร่วมวัดเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอนพระองค์ทรงพระผนวชในปี พ.ศ. 2499 ตอนนั้นอาตมาเป็นพระใหม่ พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยปฏิบัติด้วยความศรัทธา ทรงเสด็จฯ ออกบิณฑบาตทั้งในวัง ส่วนราชการ และทั่วไป ซึ่งประชาชนก็ไม่คิดว่าจะได้ใส่บาตร เพราะไม่รู้ว่าพระภิกษุสงฆ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงออกบิณฑบาตวันไหน เมื่อไหร่”
ต้นสักที่ในหลวง ร.๙ ทรงปลูก ในวันลาผนวชเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2499
เที่ยววัดบวรนิเวศ
สำหรับวันที่ 22 ต.ค. 2560 ถือเป็นวันครบรอบ 61 ปี ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระผนวช ซึ่งผู้สนใจสามารถตามรอยพระราชาเมื่อครั้งทรงพระผนวชได้ที่ พระตำหนักปั้นหย่า ชมต้นสักที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปลูกที่หลังพระตำหนัก ชมและสักการะพระแท่น(หน้าพระอุโบสถ)ที่พระองค์ท่านเคยเสด็จประทับ
นอกจากนี้ผู้มาเยือนวัดบวรนิเวศยังสามารถเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจอันหลากหลายภายในวัดแห่งนี้ อาทิ
-พระอุโบสถ ที่ชวนมองด้วยผนังหินอ่อนสีขาวตัดกับสีทองของประตูและหน้าต่าง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน 2 องค์ คือ “พระสุวรรณเขต” หรือ “พระโต” (พระประธานองค์หลัง)เป็นพระประธานสมัยแรก และ “พระพุทธชินสีห์”(พระประธานองค์หน้า) พระประธานที่สร้างขึ้นมาในสมัยหลัง
พระมหาเจดีย์ใหญ่ สีทองสุกใสสูงโดดเด่นเป็นสง่า เป็นเจดีย์ทรงกลมกลม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
-พระเจดีย์ไพรีพินาศ อันเป็นที่ประดิษฐาน พระไพรีพินาศ พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญและมีชื่อเสียงของวัดบวรฯ
-ศาลาพระพุทธบาท ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นแผ่นศิลาสลักรอยพระพุทธบาทคู่ ซึ่ง กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ นำมาจากจังหวัดชัยนาท
ประตูเซี่ยวกาง ที่มีทวารบาลสร้างตามคตินิยมแบบจีน โดยประตูทางเข้าวัดที่ตรงกับโบสถ์ (ฝั่งตรงข้ามร้านข้าวต้มวัดบวรฯ) ที่ปากของทวารบาลจะดูดำเป็นปื้นและมีพวงมาลัย ถุงโอยัวะแขวนห้อยอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งชาวบ้านได้มาบนบานศาลกล่าวตามความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวจีนคนหนึ่งติดฝิ่นงอมแงมได้มาเสียชีวิตที่นี่ และได้มาเข้าฝันท่านเจ้าอาวาส(สมัยนั้น)ว่า ดวงวิญญาณของเขาจะขอสิงสถิตเฝ้าวัดบวรนิเวศให้
และนี่ก็คืออีกหนึ่งความทรงคุณค่าของวัดบวรนิเวศ ที่นอกจากจะเป็นสถานที่ประทับในเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระผนวชแล้ว วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ยังเป็น 1 ใน 2 วัด ที่หลังพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จะมีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาบรรจุไว้ที่วัดบวรนิเวศแห่งนี้
วัดบวรนิเวศ 1 ใน 2 วัด ที่มีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาบรรจุ
หมายเหตุ : อีกหนึ่งวัดที่มีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปบรรจุ คือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
อ่านรายละเอียดได้จาก อ้างอิง...
https://mgronline.com/travel/detail/9600000107082
เมื่อสัปดาห์ก่อนไปเที่ยวมาค่ะ...คนไทยคิดถึงพ่อ มากราบพ่อได้ที่นี่นะคะ..