ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา (บทที่๓๐)

ในตอนสาย...

ศราเดินออกจากห้องนอนด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในใจ กับการที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นภรรยานอนอยู่เคียงข้าง..เกือบสามสิบปีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น เขาจะไม่ให้เธอห่างหายไปไหนเลย..แล้วยังอาการของลูกสาวอีก ที่ป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา และตัวเขาเอง ก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะมองหน้าลูกได้ในเวลานี้

เมื่อนึกถึงภาพสุดท้ายของลูกสาว ก็ให้เจ็บแปลบในใจ มือกำหัวไม้เท้าแน่นจนสะท้านไปทั้งลำแขน

เขาเดินสู่ห้องโถงหวังออกไปหาพี่ชายที่นั่งเล่นในสวนข้างบ้าน แต่ยามเดินผ่านลูกน้องของตน ก็ต้องนิ่วหน้า เมื่อเห็นบรรดาเจ้าพวกนั้นพากันก้มหน้าหลบสายตาเขาวูบวาบ รวมทั้งบอดี้การ์ดคนสนิท

“เป็นอะไรกันวะ”

และในฐานะหัวหน้า ไนท์ จำเป็นต้องเป็นคนรายงานเจ้านาย ด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง

“คือ..เสือ เขาหนีไปแล้วครับ”

แต่ก็ผิดคาด เมื่อคิดว่าเจ้านายจะต่อว่ารุนแรง..แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นในขณะนี้คือ การทอดถอนใจ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“มันจะไปไหนได้ นอกจากจะไปหาเจ้านายของมันนั่นล่ะ เฮอะ..พวกเอ็งมีเป็นโขยง ยังปล่อยให้มันหนีออกไปได้..แล้วแบบนี้ จะให้กูทำไงกับพวกเอ็งดีวะ”

ทิ้งคำถามให้คิด แล้วก็เดินผ่านไป บรรดาลูกน้องต่างหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก..ไนท์รีบก้าวเดินตามผู้เป็นนาย ขณะที่ลูกน้องคนอื่นๆแยกตัวกันไปอยู่รอบๆบริเวณบ้านเช่นเคย

อชิรปรายสายตามองน้องชายที่กำลังเขย่งไม้เท้าเดินเข้ามาใกล้..เขาวางถ้วยกาแฟ พลางทักทาย ยามน้องชายมาถึงโต๊ะนั่งเล่นและยอบตัวลงนั่งกับเก้าอี้เหล็กอีกตัว

“ไง หน้าตาไม่ดีเลยนะ”

“ครับ” ศราตอบเพียงแค่นั้น แล้วก็ถอนใจ ก่อนเอ่ยถามพี่ชายบ้าง “แล้วซ้อไปไหนล่ะ”

“ไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้ว..ถ้าเขารู้ว่าหวานนอนอยู่ที่นั่น ก็คงจะไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ”

คนฟังเพียงแค่พยักหน้า สายตาครุ่นคิดมองเหม่อไปไกล อชิรมองสีหน้าอมทุกข์ของน้อง แล้วก็อดสงสารไม่ได้
“บางครั้ง มันก็เป็นเรื่องที่คำนวณยากอยู่เหมือนกันนะ ว่าเราจะวางตัวไว้แค่ไหนถึงจะพอดี กับการเป็นพ่อ หรือสามีที่ดี มันไม่มีอะไรมาเป็นมาตรวัดเสียด้วย แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่า เราทำหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้ได้ดีแค่ไหน ก็ดูจากความสุขของคนที่เรารัก ว่าเขามีมากน้อยแค่ไหน..อั๊วว่า เสียงหัวเราะของพวกเขา ถือเป็นรางวัลที่มีค่ามากที่สุดสำหรับชีวิตนะ”

“แต่ผมคงไม่ใช่ทั้งพ่อ ทั้งสามีที่ดีเลย..พวกเขาถึงไม่ค่อยมีความสุข” โดยเฉพาะกับลูกสาว..

อาจเป็นเพราะเขาเกิดมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ และมารดานั้นก็เปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อย ไม่ต่างจากโสเภณี แม้ได้มาอยู่ภายใต้ความดูแลของมารดาอชิร นางไม่เคยแสดงท่าทางชิงชังในตัวเขาเลย และให้ความรักความใส่ใจไม่ต่างกับเป็นลูกอีกคน แต่ถ้อยคำหยามหยันในชาติกำเนิดยังคงฝังหัว จนเมื่อมีครอบครัวเป็นของตนเอง จึงอยากสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และอยากเห็นลูกชายเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขในโลกอันสวยงาม เพื่อช่วยลบภาพชีวิตอันโสมมในวัยเยาว์ของเขาให้หายออกไปจากความทรงจำเสียที

แต่เมื่อทุกอย่างที่วาดฝันไว้พังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี และตัวเขาเองนั้นก็รักภรรยามากจนเกินกว่าจะทอดทิ้งเธอเพื่อไปหาผู้หญิงคนอื่น ความหวังทุกอย่างจึงหันไปทุ่มลงในตัวลูกสาวทั้งหมด โดยไม่สนใจว่า ลูกนั้นจะแบกรับได้หรือไม่ ..ไม่เคยพูดคุยกันอย่างที่พ่อลูกสมควรจะพูดกัน หรือแม้แต่การโอบกอด ก็ลืมเลือนไปแล้ว ว่าได้กอดลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่สิ่งที่ปฏิบัติในทุกๆวัน คือการออกคำสั่ง และเคี่ยวเข็ญในสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งลูกก็เพียรพยายามทำตามคำสั่งทุกอย่าง โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ

พอมานึกย้อนมองกลับไปแล้ว ยังไม่เข้าใจเลย ว่าตนเองกระทำเช่นนั้นกับลูกสาวผู้เป็นดั่งดวงใจได้อย่างไร
เขากล้ำกลืนความรู้สึกผิด ก่อนลุกขึ้น

อชิรเลิกคิ้วกังขา รีบถามขณะที่อีกฝ่ายเดินไปโดยไม่บอกกล่าว
“อ้าว จะไปไหนล่ะ ?”

ศราเหลียวหลังกลับมาตอบ “ไปง้อเมีย” ก่อนหันไปสั่งให้ลูกน้องให้รีบเอารถออก โดยไม่สนใจว่า พี่ชายจะนั่งหัวเราะขบขันเขาสักแค่ไหน

........

พิมพ์ศิริถูกย้ายเข้ามาอยู่ภายในห้องพักฟื้นพิเศษ แต่แพทย์ก็ยังไม่สามารถปลุกหญิงสาวให้ตื่นขึ้นมาจากการเป็นเจ้าหญิงนิทราได้...พิมพ์กมลมือเย็นเฉียบ แม้ว่าจะมีมือของเพื่อนรักกุมไว้ก็ตาม เพราะเธอกำลังรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้ง ที่นางพยาบาลเข้ามาพยายามปลุกลูกสาวของตนด้วยเข็มทิ่มแทงตามเนื้อตัว แต่ลูกของเธอก็ยังนอนนิ่ง ไม่ไหวติง  

หลังจากที่นางพยาบาลออกไปแล้ว ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะกลับเข้ามาใหม่ และก็จะทำซ้ำๆเหมือนเดิม ซึ่งเธอไม่รู้ว่า จะต้องทนเห็นสภาพที่น่าเวทนานี้ไปได้อีกสักกี่ครั้งกัน
“ใจเย็นๆนะหวาน..หนูขวัญคงต้องใช้เวลาอีกหน่อย เดี๋ยวเขาก็ฟื้นแล้วล่ะ” เมธิกาปลอบ และมองใบหน้าที่เหมือนอดนอนมาทั้งคืนด้วยความห่วงใย

“เดี๋ยวฉันไปสั่งข้าวต้มมาให้เธอกินหน่อยดีกว่า แล้วก็จะได้นอนพักผ่อนเสียหน่อยนะ”

“ขอบใจจ้ะ”

“งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”

เมื่อคล้อยหลังเพื่อนรักไปแล้ว พิมพ์กมลเดินมายืนข้างเตียง ยื่นมือที่มีอาการสั่นน้อยๆยามพยายามกลั้นสะอื้นขณะลูบศีรษะของลูกสาว
“แม่อยู่ตรงนี้แล้ว..ต่อไปนี้ จะไม่ปล่อยให้ลูกต้องอยู่เพียงลำพังอีก..แม่ขอโทษนะ รีบๆตื่นขึ้นมาหาแม่นะลูก”

สายตาอ่อนแสงมองดูใบหน้าซูบเซียว ตัดกับแพขนตาดำขลับที่ยังปิดสนิท และหวังว่าดวงตาคู่นี้จะลืมขึ้นมาในเร็ววัน  และขณะนั้น เธอได้ยินเสียงประตูเลื่อนเปิด-ปิดอีกครั้ง จึงหันไปมอง และเห็นร่างของสามียืนอยู่ตรงนั้น..ซึ่งดูเหมือนว่าเขาลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะก้าวเขามาใกล้ เธอเมินหลบและทำท่าจะเดินไปนั่งเก้าอี้อีกมุม เพราะเหนื่อยเกินไป หากจะต้องมีเรื่องโต้แย้งกับเขา แต่ฝ่ามือใหญ่ยื่นมาคว้ามือของเธอไว้แน่น

“ฉันยังไม่กลับหรอกนะคะ..ก็บอกแล้วไงว่าขออยู่กับลูก..ลูกยังไม่ฟื้นเลย”

ศราดึงเธอมากอด และกดใบหน้าให้ซบกับแผงอกอย่างนุ่มนวล
“เราจะอยู่ดูแลลูกด้วยกัน..เขาจะต้องฟื้นขึ้นมาเร็วๆนี้แน่นอน เชื่อผมสิ”

พิมพ์กมลนิ่งขึง แต่ก็ไม่ได้เงยใบหน้าขึ้น เพราะหวาดกลัว หากพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เธอหวัง
“คุณให้อภัยลูกแล้วเหรอคะ..คุณไม่โกรธแกแล้วเหรอคะ”

“ขวัญเป็นลูกของผม ไม่ว่าเขาจะทำอะไรผิด ผมก็ให้อภัยเขาได้เสมอ..และตอนนี้ ผมอยากให้เขาฟื้นขึ้นมามากที่สุด..เรื่องอื่น ผมไม่สนใจแล้ว”

คนฟังปล่อยสะอื้นซบแทบอกอุ่น ตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา เธอเฝ้ามองลูกสาวด้วยความหวาดกลัวว่า ลูกจะไม่ฟื้นขึ้นมา ทั้งๆที่พยายามคิดในแง่ดีว่ามันไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถปัดความคิดอันเลวร้ายนี้ไปได้ และปล่อยให้มันรุมทำร้ายจิตใจของตน ตลอดทั้งค่ำคืน
“..ฉันกลัวเหลือเกินค่ะ..กลัวว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมา..ฉัน..”

ศรากระชับกอดแน่นขึ้น
“ลูกของเราเข้มแข็ง เขาจะต้องฟื้นขึ้นมา เขาไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง..และเราสองคน จะคอยช่วยเขาด้วยกัน..คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเขานะ”

เธอพยักหน้าอยู่กับแผงอก ความตึงเครียดที่แบกรับมาไว้ทั้งคืน เริ่มคลายตัวลงให้รู้สึกผ่อนคลาย


ตลอดทั้งสัปดาห์..

พิมพ์ศิริได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ให้กำเนิดทั้งสอง แต่อนาวินเห็นว่า ศรานั้นยังไม่แข็งแรงเต็มร้อย คงไม่ดีนักหากต้องมาอดหลับอดนอนคอยเฝ้าคนป่วย และดูท่าว่าโรคเบื่อโรงพยาบาลนั้นก็มีมากมายไม่ต่างอะไรกับบิดาของตน เขาจึงให้ผู้อาวุโสทั้งสองกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ส่วนเขารับอาสาเฝ้าหญิงสาวในตอนกลางคืนแทน เพราะลำพังแค่เสือ ที่มือทั้งสองข้างยังบาดเจ็บ ก็คงจะทำอะไรไม่ถนัดนัก และโมรียาก็รีบเสนอตัวเฝ้าญาติสาวอีกแรง

นายแพทย์เห็นว่า ระดับความรู้สึกตัวของคนไข้ดีขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังเติบโตอยู่ในร่างกายของคนไข้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ในความเป็นจริง คนไข้ยังต้องได้รับอาหารเหลวอยู่ และหากปล่อยไป อาจก่อให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษจนนำไปสู่อันตรายร้ายแรงต่อชีวิตของคนไข้ได้ นายแพทย์จึงจำเป็นต้องบอกในสิ่งที่ญาติผู้ป่วยไม่ปรารถนาที่จะได้ยิน

“เราจำเป็นต้องเอาเด็กออกครับ”

ทุกคนต่างนิ่งงัน เพราะไม่ได้เตรียมใจถึงเรื่องนี้ พิมพ์กมลถึงกับสะอื้นไห้ เมื่อคิดว่าจะต้องตัดสินใจเข่นฆ่าสายเลือดอันบริสุทธิ์ที่ยังไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก ในขณะที่ศราเองก็รู้สึกใจหาย เพราะถึงอย่างไร เด็กคนนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหลานของเขา มันจึงยากที่จะตัดสินใจอะไรลงไป

“ขอเวลาเราอีกหน่อยเถอะหมอ”

นายแพทย์จำต้องพยักหน้ารับ
“ผมจะพยายามช่วยยืดเวลาให้นานที่สุด เท่าที่จะสามารถทำให้ได้..เผื่อจะมีปาฏิหาริย์ครับ” และยิ้มอย่างให้กำลังใจ ก่อนขอตัวจากไป

โมรียามองพี่ชายที่ยืนเงียบขรึม ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ จึงฉุดดึงแขนของเขาให้ออกมายืนเจรจากันภายในส่วนที่ลับหู ลับตาผู้คน
“เฮียต้องพาผู้ชายคนนั้นมาแล้วล่ะ..หนูเล็กไม่อยากเสียหลานไปนะ”

อนาวินนิ่วหน้า เมื่อน้องสาวยกเรื่องนี้มาพูดกับเขาอีกครั้ง
“มันไม่มีประโยชน์ที่จะพาผู้ชายคนนั้นมาสร้างความวุ่นวายอีก”

“มีสิ ก็ชีวิตหลานของพวกเราไง หรือว่าเฮียไม่รู้สึกอะไรเลยที่หมอจะจับเจ๊ขวัญทำแท้งน่ะ”

“ทำไมจะไม่รู้สึก แต่เฮียไม่อยากเสี่ยงที่จะทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ด้วยการกระทำอันไร้ประโยชน์”

“เรายังไม่ได้ลองเลย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันไร้ประโยชน์..บางที การที่เราให้ผู้ชายคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆเจ๊ขวัญอีกคน เขาอาจจะช่วยให้เจ๊ฟื้นตัวเร็วขึ้นก็ได้..พวกหมอจะได้ไม่มีข้ออ้างมาทำแท้ง”

อนาวินพ่นลมหายใจฟืด และยืนยันคำเดิม
“ไม่ได้ ก็คือไม่ได้”

โมรียาเม้มปากแน่น
“ฮึ! เฮียมันจอมเผด็จการ ไร้หัวใจ”

แล้วก็เดินปึงปังจากไป

อารมณ์กรุ่นโกรธยังปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของโมรียา แม้กระทั่งเข้ามานั่งภายในรถยนต์แล้วก็ตาม เธอปรายสายตามองว่านที่เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับ และมองเตชิตที่พยักพเยิดใบหน้าให้กับสองบอดี้การ์ดที่แยกไปขึ้นรถอีกคัน ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้ามานั่งข้างกายเช่นปกติ และทันทีที่รถเคลื่อนตัวเธอเลื่อนกระจกกั้นห้องผู้โดยสารขึ้น ก่อนกระเถิบร่างเข้าเบียดซุกร่างใหญ่ที่แสนอุ่น พาดแขนโอบกอดเขา

เตชิตก้มมองคนตัวเล็กที่ซุกซบไม่ต่างจากลูกแมวขี้อ้อน และอดไม่ได้ที่จะลูบเรียวแขนที่โอบรอบเอวของเขาเบาๆ ขณะพูดกับเธอ
“ที่คุณจิลทำ เขาก็มีเหตุผลที่มองข้ามไม่ได้นะครับ”

โมรียาผละจากอกกว้าง และพาลใส่ทันที
“ฮึ! พวกผู้ชายก็มักจะอ้างแต่เหตุผลกันอยู่นั่นล่ะ เอะอะอะไรก็เหตุผลๆ..ความถูกต้องบ้างล่ะ..มันไร้ประโยชน์บ้างล่ะ เฮอะ! งี่เง่าที่สุด”
แล้วก็กอดอกเมินมองไปทางอื่น

“ผมก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ชายที่งี่เง่าพวกนั้นนะ”

หญิงสาวหันขวับ จ้องดวงตาคมสีน้ำตาลเข้ม ที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง ก็เหมือนมีแรงดึงดูดให้เธอถลำลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขาอย่างเต็มใจ และหลุบสายตาลงมองริมฝีปากได้รูปที่ดลบันดาลความสุขอันแสนวิเศษให้เธอได้มากมาย และคนอย่างเธอ ก็ไม่รู้จักพอเสียด้วย

ฝ่ามือบอบบางข้างหนึ่งยกขึ้นแทรกปลายนิ้วเข้ากลุ่มผมยาวเคลียบ่าไปด้านหลังลำคอหนาและยึดไว้ ยามยื่นใบหน้าไปประทับริมฝีปากที่แสดงความเป็นเจ้าของทั้งหมดในตัวของชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ ก่อนกัดริมฝีปากล่างเขาดั่งลงโทษ และกำชับเสียงเข้ม

“พี่เต้ เป็นข้อยกเว้นทุกกรณีสำหรับหนูเล็ก  จำไว้”

พลางใช้หัวแม่มือไล้รอยช้ำจางๆจากการถูกกัด ดวงตาส่องประกายวิบวับ เมื่อรู้ดีว่า ภายใต้ใบหน้าหล่อเหล่าราวประติมากรรมชิ้นเอกที่ไร้จิตใจ แต่แท้จริงแล้ว กำลังสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากตอบโต้การกระทำของเธอจะแย่อยู่แล้ว เพียงแต่ติดที่ยังต้องอยู่ภายใต้สายตาคนอื่น เขาจึงทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมเป็นเบี้ยล่างให้เธอปั่นหัวอยู่เช่นนี้ ซึ่งนั่น มันทำให้เธอรื่นเริงบันเทิงใจเป็นที่สุดในการยั่วเขา

แต่คงต้องพักความรื่นรมย์นี้ไปก่อน เพราะเธอมีสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ จึงเปลี่ยนมาเป็นกอดลำแขนแกร่งไว้แนบอก ก่อนจูบลาดไหล่หนาของเขาพร้อมรอยยิ้มหวานเป็นการขอสงบศึก และออกคำสั่งเปลี่ยนเส้นทางกับสารถี

“ไปคอนโดของเฮียก่อน”


(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่