(เรื่องย่อ) Based on a True Story (สร้างจากเรื่องจริง)
ที่สหรัฐอเมริกา เมืองบอสตัน ณ งานบอสตันมาราธอน วันที่ 15 เมษายน 2013 เวลา 14:49 น. เกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณก่อนถึงเส้นชัย แรงระเบิดกินวงกว้าง 190 เมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บนับร้อย บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นสูญเสียแขน-ขา 16 คน
หนึ่งในผู้บาดเจ็บรุนแรง คือชายหนุ่มวัย 27 ปี นามว่า Jeff Bauman (เจฟฟ์ เบาว์แมน) ที่กำลังวาดอนาคตกับ Erin Hurley (อีริน เฮอร์ลีย์) แฟนสาวไว้อย่างสวยงาม แต่ทุกอย่างกลับพังทะลาย เมื่อเจฟฟ์กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่โดนลูกหลงจากการวางระเบิดที่งานบอสตันมาราธอน เพราะไปยืนเชียร์อีรินซึ่งร่วมวิ่งอยู่บริเวณเส้นชัยพอดี เจฟฟ์ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินนำส่งโรงพยาบาลทันที ด้วยสภาพที่ อึ้ง งงงวย และช็อค
ตากล้องที่อยู่แถวนั้น จับภาพวินาทีวิปโยคขณะที่เจฟฟ์กำลังถูกส่งโรงพยาบาล ท่อนล่างของขาขวาเจฟฟ์หายไปแล้ว ส่วนท่อนล่างขาซ้ายห้อยต่องแต่งเห็นถึงกระดูก ภาพถ่ายนี้กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตสู่สายตาคนทั่วโลก
เจฟฟ์รู้สึกตัวอีกครั้งในวันที่ 16 เมษายน 2013 โดยไร้ขาทั้งสอง เพราะทีมแพทย์จำเป็นต้องตัดออกเพื่อช่วยชีวิตเจฟฟ์ ในเวลาต่อมาเจฟฟ์กลับกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการตามล่า 2 ผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดให้มารับผิด เพราะภาพถ่ายที่ขาห้อยต่องแต่งของเจฟฟ์ กลายเป็นภาพที่เป็นตัวแทนของความโหดร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้
แม้ว่าเจฟฟ์ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป แต่คำว่ายอมแพ้ ไม่เคยเป็นตัวเลือกของเจฟฟ์ เจฟฟ์ยิ้มรับกับเรื่องที่เกิด มองโลกในแง่ดี และทำทุกอย่างเพื่อให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง โดยมีอีรินแฟนสาวคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลาในยามยากลำบากของชีวิต เรื่องราวของเจฟฟ์ จะมอบแรงใจให้กับทุกคนที่กำลังมีปัญหาและท้อถอย ให้กลับมาฮึดสู้กับชะตาชีวิตและโลกที่โหดร้ายอีกครั้ง..
ที่มาของการสร้างภาพยนตร์
Todd Lieberman (ท็อดด์ ลีเบอร์แมน) แห่งบริษัท Mandeville Films ได้ยินเรื่องราวของเจฟฟ์ตั้งแต่ช่วงแรกๆหลังจากเกิดเรื่ิอง แต่ในเวลานั้นเจฟฟ์ยังคงอยู่ในช่วงแรกของการรักษาตัว และคงจะไม่ถูกกาลเทศะนัก ถ้าจะไปเยี่ยมในตอนที่เจฟฟ์กำลังพยายามสุดตัว เพื่อเอาชนะอุปสรรค และให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จืตใจเจฟฟ์เริ่มมั่นคงเข้มแข็งขึ้น ลีเบอร์แมนจึงไปพบเจฟฟ์กับเจฟฟ์ในที่สุด ซึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ลีเบอร์แมนได้พบ ลีเบอร์แมนก็บอกกับเจฟฟ์ตรงๆว่า
“ชีวิตของคุณทั้งชีวิต กำลังจะถูกเปิดเผย ทุกความอ่อนไหว และความเจ็บปวดของคุณ จะถูกเล่าออกมา ผมไม่อยากปรุงแต่ง มันต้องสมจริงและซื่อสัตย์ต่อเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทั้งอารมณ์และอุปสรรคที่คุณต้องฝ่าฟัน ถ้าคุณอยากมีส่วนร่วม ผมพร้อมจะก้าวไปกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่ ผมก็เข้าใจ..”
ท้ายที่สุด เจฟฟ์ เบาว์แมน
ก็ตัดสินใจเขียนหนังสือออกมาในชื่อ STRONGER
และมอบลิขสิทธิ์ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ให้บริษัทลีเบอร์แมน
บทสัมภาษณ์ของนักแสดงกับเจ้าของเรื่องราว
***Jake Gyllenhaal (เจค จิลเลนฮาล) นักแสดงหนุ่มฝีมือดีชาวอเมริกัน รับบทเป็น Jeff Bauman (เจฟฟ์ เบาว์แมน) และภาพยนตร์เรื่อง Stronger เป็นผลงานชิ้นแรกของบริษัท Nine Stories Production บริษัทโปรดัคชั่นที่เจคเปิดร่วมกับหุ้นส่วน***
ซ้ายเจฟฟ์ / ขวาเจค
คุณคิดว่าหนังออกมาเป็นไงบ้าง?
เบาว์แมน: "ยิ่งผมดูซ้ำเท่าไหร่ มันยิ่งเหมือนภาพเก่าๆย้อนกลับมา คุณสัมผัสได้ถึงความพยายาม และความทุ่มเทของทีมงาน ในการทำมันออกมา ผมเคารพพวกเขา(ทีมงานหนัง)จยหมดหัวใจ ผมชอบหนังเรื่องนี้นะ แต่..ไม่รู้ว่าผมจะกระตุ้นตัวเองเพื่อดูมันเต็มๆได้มั๊ย"
จิลเลนฮาล : "นายบอกว่านายชอบนี่นา"
เบาว์แมน: "ก็ชอบนะ แน่นอนผมชอบ"
แล้วสำหรับคุณ (ถามเจค) มันยากขนาดไหนที่ต้องรับบทเป็นชายที่เพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายมา?
จิลเลนฮาล: "ครั้งแรกที่ผมอ่านบท ผมคิดกับตัวเองว่า
‘โอเค นี่มันต้องซึ้งมากแน่ๆ’ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้น แต่มันมีหลายครั้งเหมือนกันที่ผมหัวเราะเพราะสิ่งที่เจฟฟ์พูด แล้วการที่ได้พบกับเขาตัวจริง ได้ใช้เวลาร่วมกับเขา มันทำให้ผมประทับใจมาก ที่ได้รู้ว่าเขาใช้อารมณ์ขันของตัวเองผ่านสถานการณ์นี้มาได้ แต่ยังไงก็ตาม ความเจ็บปวดของเขามันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ผมไม่มีวันเข้าใจ ตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมคงถ่ายทอดตัวตนของเขาออกมาไม่ได้เต็ม 100% เหมือนเริ่มการเดินทางโดยที่ผมรู้ว่า มันต้องล้มเหลวในที่สุด ที่แปลกคือ มันยิ่งทำให้ผมมุ่งมั่นกว่าเดิม ยิ่งต้องการเข้าใจเจฟฟ์และโลกรอบตัวเขา คนรอบข้าง ครอบครัว คนที่ดูแลเขา ทุกคนที่ช่วยเขาผ่านมาได้ และเมื่อผมได้เจอพวกเขาทุกคน คุยกับพวกเขา ผมจึงเริ่มได้รู้ว่าการเดินทางนั้นเป็นยังไง ซึ่งมันช่วยพัฒนาการแสดงของผม"
หลายจุดของหนังมันสื่อว่า ตัวเจฟฟ์เองไม่เข้าใจหรือไม่อยากจะเข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน คุณช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่า ทำไมเจฟฟ์ถึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหมู่มาก?
จิลเลนฮาล: "อย่างแรก ผมเข้าใจเลยนะว่าทำไมเขาคิดแบบนั้น เพราะคุณกำลังปรับตัวให้กับชีวิตแบบใหม่โดยไม่มีสิทธ์เลือก คุณพยายามทำความเข้าใจโลกแบบที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งมันเปลี่ยนตัวตนคุณไป ไม่ใช่แค่กายภาพ แต่รวมถึงสภาพจิตใจ คุณกำลังรับมือกับแผลใจ ในการหาที่ยืนสำหรับตัวเองบนโลกนี้อีกครั้ง ผมเข้าใจอุปสรรคที่เขาเคยเผชิญ ผมว่าปีที่ผ่านมา (2016) ผมกลายเป็นเพื่อนกับเจฟฟ์หลังจากที่เราถ่ายทำกันจนจบ ปีที่แล้วอาจจะเป็นปีที่สำคัญที่สุดของเขา เขาเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เขาเป็นพ่อคน เขารู้ตัวว่าสามารถเป็นพ่อที่ดีได้ เขาเลิกดื่มมา 13 เดือน 15 เดือน ?"
เบาว์แมน: "15 เดือน"
จิลเลนฮาล: ผมคิดว่าในที่สุดเขายอมรับว่า ตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น เพราะจริงๆแล้วเขาเป็นคนประเภทที่.. เราพูดกันตลอดว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่หัดเดินอีกครั้ง และฮีโร่ตัวจริงตามที่เจฟฟ์บอก คือหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน พวกเขาสุดยอดมาก แต่ผมคิดว่า การเข้าใจว่าเขาต้องแลกอะไรบ้างเพื่อให้ยืนได้อีกครั้ง เดินได้อีกครั้ง มันคือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่"
คุณเริ่มสบายใจมากขึ้นหรือยัง ในการเป็นคนของประชาชน
เบาว์แมน: "ก็ใช่ สิ่งที่ผมเรียนรู้ตลอดสามปีที่ผ่านมา เมื่อมันกระทบถึงคนรอบตัวคุณด้วย ทุกคนต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก เผชิญกับความสูญเสีย อย่างตัวผมที่เสียขาทั้งสองข้างไป คนอื่นๆก็สูญเสียคนที่พวกเขารักเช่นกัน ผมมาตระหนักได้ว่า พวกเราต้องการกันและกัน ซึ่งมันเป็นมุมที่ผมชอบนะ มีผู้หญิงคนหนึ่งเขียนหนังสือเรื่องผม แต่ส่วนนึงในใจผมคิดว่า
‘เธอมาเขียนเรื่องฉันทำไมเนี่ย’ อีกส่วนหนึ่งกลับคิดว่า
‘จริงเหรอ! มันดีมั๊ย?’ เธอเขียนว่าไงบ้าง? ผมอยากรู้มากเลย"
จิลเลนฮาล: "เจฟฟ์เคยพูดสิ่งที่น่าสนใจมาก เเจฟฟ์โพสท์มันลงในเพจเฟสบุ๊ก มันมีประโยคนึงที่เขาพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขึ้นพาดหัว ก็เป็นคนแกร่งได้” การที่เขาเองต้องอยู่บนพาดหัวข่าว แต่สิ่งที่เขาแสดงให้พวกเราเห็นคือ ถ้าเขาเองผ่านมันไปได้ ทุกคนก็ทำได้ มันมีประโยคนี้ในหนังด้วยซ้ำ.. เขาเป็นคนใส่ใจคนอื่นจริงๆ นะ เขารับฟังแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆก็ตาม มีอยู่วันนึงที่ผมปวดคอมาก เพราะให้สัมภาษณ์เยอะไป เขาถามว่าผมปวดข้างไหน เพราะเขาจะสลับด้านที่นั่งกับผม ผมจะได้ไม่ต้องหันคอมาก"
มันคงต้องมีช่วงหนึ่งที่คุณคิดว่า คงกลับมาเดินไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม เจฟฟ์?
เบาว์แมน: "แน่นอนครับในช่วงแรก แม้ผมจะเข้าศูนย์ฟื้นฟูสปอลดิ้งแล้วก็ตาม ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า ขาเทียมคืออะไร ทำงานยังไง แต่พอผมได้เห็นทหารที่เคยบาดเจ็บจากสงครามมาที่นี่ พวกเขาเดินได้สบาย ซึ่งตอนแรกสภาพพวกเขาเละกว่าผมด้วยซ้ำ ผมคิดในใจว่า
‘คนพวกนี้โคตรแกร่ง’ ผมเห็นคนพิการหลายคนที่เขาสู้ ผมเลยตระหนักได้ว่า มันสร้างแรงบันดาลใจให้ผม จนผมเชื่อว่าผมต้องเดินได้อีกครั้งในซักวัน.."
ทุกวันนี้คุณยังกังวลเวลาที่ต้องอยู่ในที่คนเยอะๆบ้างไหม?
เบาว์แมน: "ผมไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องด้วยซ้ำ ผมชอบคิดกับตัวเองว่า
‘ฉันมาทำอะไรในที่แบบนี้’ ผมยอมรับเลยนะว่า ผมยังกลัวฝูงชนอยู่ เพราะวันที่เกิดเรื่องคนเยอะมาก ทุกวันนี้ผมยังทำตัวไม่ถูกถ้าต้องอยู่ในฝูงชน มันทำให้ผมกังวล คอยมองหน้ามองหลังตลอดเวลา"
แล้วคุณมีวิธีผ่านคืนวันอันเลวร้ายมาได้อย่างไร?
เบาว์แมน: "ผมไม่ค่อยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมากตอนแรกๆ ผมพยายามรักษากับจิตแพทย์ แต่ทุกครั้งที่ผมพยายามข่มตาหลับ ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันย้อนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นแบบนี้ตลอดสามปีแรก จนผมเริ่มเปิดใจ เผยแพร่เรื่องของผมสู่สาธารณะ การที่ผมได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม มันช่วยได้มากนะ ผมหลับสบายขึ้นเรื่อยๆ ฝันร้ายมันค่อยๆหายไป"
คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้มอบอะไรให้กับคนดูบ้าง?
เบาว์แมน: "ผมว่า.. มันจะพาให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาลำบาก เมื่อสี่ปีก่อนผมนอนบนเตียงในโรงพยาบาล มองไม่เห็นอนาคตตัวเอง แต่วันนี้ผมมาอยู่ตรงนี้ นั่งตอบคำถามคุณ ผมอยากให้ผู้ชมที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ได้รับ
ความหวังกลับไป"
จิลเลนฮาล: "ผมอยากให้คนดูรู้สึกอิ่มเอมหลังออกจากโรงหนัง ผมอยากให้คนดูรู้สึกว่า สิ่งต่างๆสามารถดีขึ้นได้ หากคุณกำลังเผชิญกับเรื่องเลวร้าย ให้พวกเขาโทรหาคนที่พวกเขารักหลังดูหนังจบ ด้วยความอบอุ่นเต็มหัวใจ ผมว่านี่แหละ คือเหตุผลที่เราทำหนังเรื่องนี่กัน.."
ตัวอย่างภาพยนตร์ "Stronger หัวใจไม่แพ้"
.
.
.
.
.
.
จบกระทู้พรีวิวข้อมูลภาพยนตร์ "Stronger หัวใจไม่แพ้"
กำหนดฉาย 2 พฤศจิกายน 2017
สวัสดีครับ
พรีวิวข้อมูลภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Stronger เรื่องราวของ Jeff Bauman ชายผู้สูญเสียขาสองข้างจากเหตุระเบิด by หลวงจีนหอไตร
ที่สหรัฐอเมริกา เมืองบอสตัน ณ งานบอสตันมาราธอน วันที่ 15 เมษายน 2013 เวลา 14:49 น. เกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณก่อนถึงเส้นชัย แรงระเบิดกินวงกว้าง 190 เมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บนับร้อย บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นสูญเสียแขน-ขา 16 คน
หนึ่งในผู้บาดเจ็บรุนแรง คือชายหนุ่มวัย 27 ปี นามว่า Jeff Bauman (เจฟฟ์ เบาว์แมน) ที่กำลังวาดอนาคตกับ Erin Hurley (อีริน เฮอร์ลีย์) แฟนสาวไว้อย่างสวยงาม แต่ทุกอย่างกลับพังทะลาย เมื่อเจฟฟ์กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่โดนลูกหลงจากการวางระเบิดที่งานบอสตันมาราธอน เพราะไปยืนเชียร์อีรินซึ่งร่วมวิ่งอยู่บริเวณเส้นชัยพอดี เจฟฟ์ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินนำส่งโรงพยาบาลทันที ด้วยสภาพที่ อึ้ง งงงวย และช็อค
ตากล้องที่อยู่แถวนั้น จับภาพวินาทีวิปโยคขณะที่เจฟฟ์กำลังถูกส่งโรงพยาบาล ท่อนล่างของขาขวาเจฟฟ์หายไปแล้ว ส่วนท่อนล่างขาซ้ายห้อยต่องแต่งเห็นถึงกระดูก ภาพถ่ายนี้กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตสู่สายตาคนทั่วโลก
เจฟฟ์รู้สึกตัวอีกครั้งในวันที่ 16 เมษายน 2013 โดยไร้ขาทั้งสอง เพราะทีมแพทย์จำเป็นต้องตัดออกเพื่อช่วยชีวิตเจฟฟ์ ในเวลาต่อมาเจฟฟ์กลับกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการตามล่า 2 ผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดให้มารับผิด เพราะภาพถ่ายที่ขาห้อยต่องแต่งของเจฟฟ์ กลายเป็นภาพที่เป็นตัวแทนของความโหดร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้
แม้ว่าเจฟฟ์ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป แต่คำว่ายอมแพ้ ไม่เคยเป็นตัวเลือกของเจฟฟ์ เจฟฟ์ยิ้มรับกับเรื่องที่เกิด มองโลกในแง่ดี และทำทุกอย่างเพื่อให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง โดยมีอีรินแฟนสาวคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลาในยามยากลำบากของชีวิต เรื่องราวของเจฟฟ์ จะมอบแรงใจให้กับทุกคนที่กำลังมีปัญหาและท้อถอย ให้กลับมาฮึดสู้กับชะตาชีวิตและโลกที่โหดร้ายอีกครั้ง..
ที่มาของการสร้างภาพยนตร์
Todd Lieberman (ท็อดด์ ลีเบอร์แมน) แห่งบริษัท Mandeville Films ได้ยินเรื่องราวของเจฟฟ์ตั้งแต่ช่วงแรกๆหลังจากเกิดเรื่ิอง แต่ในเวลานั้นเจฟฟ์ยังคงอยู่ในช่วงแรกของการรักษาตัว และคงจะไม่ถูกกาลเทศะนัก ถ้าจะไปเยี่ยมในตอนที่เจฟฟ์กำลังพยายามสุดตัว เพื่อเอาชนะอุปสรรค และให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จืตใจเจฟฟ์เริ่มมั่นคงเข้มแข็งขึ้น ลีเบอร์แมนจึงไปพบเจฟฟ์กับเจฟฟ์ในที่สุด ซึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ลีเบอร์แมนได้พบ ลีเบอร์แมนก็บอกกับเจฟฟ์ตรงๆว่า
“ชีวิตของคุณทั้งชีวิต กำลังจะถูกเปิดเผย ทุกความอ่อนไหว และความเจ็บปวดของคุณ จะถูกเล่าออกมา ผมไม่อยากปรุงแต่ง มันต้องสมจริงและซื่อสัตย์ต่อเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทั้งอารมณ์และอุปสรรคที่คุณต้องฝ่าฟัน ถ้าคุณอยากมีส่วนร่วม ผมพร้อมจะก้าวไปกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่ ผมก็เข้าใจ..”
ท้ายที่สุด เจฟฟ์ เบาว์แมน
ก็ตัดสินใจเขียนหนังสือออกมาในชื่อ STRONGER
และมอบลิขสิทธิ์ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ให้บริษัทลีเบอร์แมน
บทสัมภาษณ์ของนักแสดงกับเจ้าของเรื่องราว
***Jake Gyllenhaal (เจค จิลเลนฮาล) นักแสดงหนุ่มฝีมือดีชาวอเมริกัน รับบทเป็น Jeff Bauman (เจฟฟ์ เบาว์แมน) และภาพยนตร์เรื่อง Stronger เป็นผลงานชิ้นแรกของบริษัท Nine Stories Production บริษัทโปรดัคชั่นที่เจคเปิดร่วมกับหุ้นส่วน***
ซ้ายเจฟฟ์ / ขวาเจค
คุณคิดว่าหนังออกมาเป็นไงบ้าง?
เบาว์แมน: "ยิ่งผมดูซ้ำเท่าไหร่ มันยิ่งเหมือนภาพเก่าๆย้อนกลับมา คุณสัมผัสได้ถึงความพยายาม และความทุ่มเทของทีมงาน ในการทำมันออกมา ผมเคารพพวกเขา(ทีมงานหนัง)จยหมดหัวใจ ผมชอบหนังเรื่องนี้นะ แต่..ไม่รู้ว่าผมจะกระตุ้นตัวเองเพื่อดูมันเต็มๆได้มั๊ย"
จิลเลนฮาล : "นายบอกว่านายชอบนี่นา"
เบาว์แมน: "ก็ชอบนะ แน่นอนผมชอบ"
แล้วสำหรับคุณ (ถามเจค) มันยากขนาดไหนที่ต้องรับบทเป็นชายที่เพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายมา?
จิลเลนฮาล: "ครั้งแรกที่ผมอ่านบท ผมคิดกับตัวเองว่า ‘โอเค นี่มันต้องซึ้งมากแน่ๆ’ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้น แต่มันมีหลายครั้งเหมือนกันที่ผมหัวเราะเพราะสิ่งที่เจฟฟ์พูด แล้วการที่ได้พบกับเขาตัวจริง ได้ใช้เวลาร่วมกับเขา มันทำให้ผมประทับใจมาก ที่ได้รู้ว่าเขาใช้อารมณ์ขันของตัวเองผ่านสถานการณ์นี้มาได้ แต่ยังไงก็ตาม ความเจ็บปวดของเขามันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่า ผมไม่มีวันเข้าใจ ตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมคงถ่ายทอดตัวตนของเขาออกมาไม่ได้เต็ม 100% เหมือนเริ่มการเดินทางโดยที่ผมรู้ว่า มันต้องล้มเหลวในที่สุด ที่แปลกคือ มันยิ่งทำให้ผมมุ่งมั่นกว่าเดิม ยิ่งต้องการเข้าใจเจฟฟ์และโลกรอบตัวเขา คนรอบข้าง ครอบครัว คนที่ดูแลเขา ทุกคนที่ช่วยเขาผ่านมาได้ และเมื่อผมได้เจอพวกเขาทุกคน คุยกับพวกเขา ผมจึงเริ่มได้รู้ว่าการเดินทางนั้นเป็นยังไง ซึ่งมันช่วยพัฒนาการแสดงของผม"
หลายจุดของหนังมันสื่อว่า ตัวเจฟฟ์เองไม่เข้าใจหรือไม่อยากจะเข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน คุณช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่า ทำไมเจฟฟ์ถึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหมู่มาก?
จิลเลนฮาล: "อย่างแรก ผมเข้าใจเลยนะว่าทำไมเขาคิดแบบนั้น เพราะคุณกำลังปรับตัวให้กับชีวิตแบบใหม่โดยไม่มีสิทธ์เลือก คุณพยายามทำความเข้าใจโลกแบบที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งมันเปลี่ยนตัวตนคุณไป ไม่ใช่แค่กายภาพ แต่รวมถึงสภาพจิตใจ คุณกำลังรับมือกับแผลใจ ในการหาที่ยืนสำหรับตัวเองบนโลกนี้อีกครั้ง ผมเข้าใจอุปสรรคที่เขาเคยเผชิญ ผมว่าปีที่ผ่านมา (2016) ผมกลายเป็นเพื่อนกับเจฟฟ์หลังจากที่เราถ่ายทำกันจนจบ ปีที่แล้วอาจจะเป็นปีที่สำคัญที่สุดของเขา เขาเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เขาเป็นพ่อคน เขารู้ตัวว่าสามารถเป็นพ่อที่ดีได้ เขาเลิกดื่มมา 13 เดือน 15 เดือน ?"
เบาว์แมน: "15 เดือน"
จิลเลนฮาล: ผมคิดว่าในที่สุดเขายอมรับว่า ตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น เพราะจริงๆแล้วเขาเป็นคนประเภทที่.. เราพูดกันตลอดว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่หัดเดินอีกครั้ง และฮีโร่ตัวจริงตามที่เจฟฟ์บอก คือหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน พวกเขาสุดยอดมาก แต่ผมคิดว่า การเข้าใจว่าเขาต้องแลกอะไรบ้างเพื่อให้ยืนได้อีกครั้ง เดินได้อีกครั้ง มันคือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่"
คุณเริ่มสบายใจมากขึ้นหรือยัง ในการเป็นคนของประชาชน
เบาว์แมน: "ก็ใช่ สิ่งที่ผมเรียนรู้ตลอดสามปีที่ผ่านมา เมื่อมันกระทบถึงคนรอบตัวคุณด้วย ทุกคนต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก เผชิญกับความสูญเสีย อย่างตัวผมที่เสียขาทั้งสองข้างไป คนอื่นๆก็สูญเสียคนที่พวกเขารักเช่นกัน ผมมาตระหนักได้ว่า พวกเราต้องการกันและกัน ซึ่งมันเป็นมุมที่ผมชอบนะ มีผู้หญิงคนหนึ่งเขียนหนังสือเรื่องผม แต่ส่วนนึงในใจผมคิดว่า ‘เธอมาเขียนเรื่องฉันทำไมเนี่ย’ อีกส่วนหนึ่งกลับคิดว่า ‘จริงเหรอ! มันดีมั๊ย?’ เธอเขียนว่าไงบ้าง? ผมอยากรู้มากเลย"
จิลเลนฮาล: "เจฟฟ์เคยพูดสิ่งที่น่าสนใจมาก เเจฟฟ์โพสท์มันลงในเพจเฟสบุ๊ก มันมีประโยคนึงที่เขาพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขึ้นพาดหัว ก็เป็นคนแกร่งได้” การที่เขาเองต้องอยู่บนพาดหัวข่าว แต่สิ่งที่เขาแสดงให้พวกเราเห็นคือ ถ้าเขาเองผ่านมันไปได้ ทุกคนก็ทำได้ มันมีประโยคนี้ในหนังด้วยซ้ำ.. เขาเป็นคนใส่ใจคนอื่นจริงๆ นะ เขารับฟังแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆก็ตาม มีอยู่วันนึงที่ผมปวดคอมาก เพราะให้สัมภาษณ์เยอะไป เขาถามว่าผมปวดข้างไหน เพราะเขาจะสลับด้านที่นั่งกับผม ผมจะได้ไม่ต้องหันคอมาก"
มันคงต้องมีช่วงหนึ่งที่คุณคิดว่า คงกลับมาเดินไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม เจฟฟ์?
เบาว์แมน: "แน่นอนครับในช่วงแรก แม้ผมจะเข้าศูนย์ฟื้นฟูสปอลดิ้งแล้วก็ตาม ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า ขาเทียมคืออะไร ทำงานยังไง แต่พอผมได้เห็นทหารที่เคยบาดเจ็บจากสงครามมาที่นี่ พวกเขาเดินได้สบาย ซึ่งตอนแรกสภาพพวกเขาเละกว่าผมด้วยซ้ำ ผมคิดในใจว่า ‘คนพวกนี้โคตรแกร่ง’ ผมเห็นคนพิการหลายคนที่เขาสู้ ผมเลยตระหนักได้ว่า มันสร้างแรงบันดาลใจให้ผม จนผมเชื่อว่าผมต้องเดินได้อีกครั้งในซักวัน.."
ทุกวันนี้คุณยังกังวลเวลาที่ต้องอยู่ในที่คนเยอะๆบ้างไหม?
เบาว์แมน: "ผมไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องด้วยซ้ำ ผมชอบคิดกับตัวเองว่า ‘ฉันมาทำอะไรในที่แบบนี้’ ผมยอมรับเลยนะว่า ผมยังกลัวฝูงชนอยู่ เพราะวันที่เกิดเรื่องคนเยอะมาก ทุกวันนี้ผมยังทำตัวไม่ถูกถ้าต้องอยู่ในฝูงชน มันทำให้ผมกังวล คอยมองหน้ามองหลังตลอดเวลา"
แล้วคุณมีวิธีผ่านคืนวันอันเลวร้ายมาได้อย่างไร?
เบาว์แมน: "ผมไม่ค่อยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมากตอนแรกๆ ผมพยายามรักษากับจิตแพทย์ แต่ทุกครั้งที่ผมพยายามข่มตาหลับ ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันย้อนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นแบบนี้ตลอดสามปีแรก จนผมเริ่มเปิดใจ เผยแพร่เรื่องของผมสู่สาธารณะ การที่ผมได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม มันช่วยได้มากนะ ผมหลับสบายขึ้นเรื่อยๆ ฝันร้ายมันค่อยๆหายไป"
คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้มอบอะไรให้กับคนดูบ้าง?
เบาว์แมน: "ผมว่า.. มันจะพาให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาลำบาก เมื่อสี่ปีก่อนผมนอนบนเตียงในโรงพยาบาล มองไม่เห็นอนาคตตัวเอง แต่วันนี้ผมมาอยู่ตรงนี้ นั่งตอบคำถามคุณ ผมอยากให้ผู้ชมที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ได้รับความหวังกลับไป"
จิลเลนฮาล: "ผมอยากให้คนดูรู้สึกอิ่มเอมหลังออกจากโรงหนัง ผมอยากให้คนดูรู้สึกว่า สิ่งต่างๆสามารถดีขึ้นได้ หากคุณกำลังเผชิญกับเรื่องเลวร้าย ให้พวกเขาโทรหาคนที่พวกเขารักหลังดูหนังจบ ด้วยความอบอุ่นเต็มหัวใจ ผมว่านี่แหละ คือเหตุผลที่เราทำหนังเรื่องนี่กัน.."
ตัวอย่างภาพยนตร์ "Stronger หัวใจไม่แพ้"
.
.
.
.
.
.
จบกระทู้พรีวิวข้อมูลภาพยนตร์ "Stronger หัวใจไม่แพ้"
กำหนดฉาย 2 พฤศจิกายน 2017
สวัสดีครับ