เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักหนึ่งในนักแสดงแถวหน้าของวงการอย่าง 'เจค จิลเลนฮาล' ที่เคยฝากผลงานอย่าง Brokeback Mountain จนมีชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชาย รวมไปถึงเคยมีผลงานคุณภาพอีกมากมายอย่าง Nightcrawler, Prisoners , Enemy และ Zodiac แม้ที่ผ่านมาเขาจะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม หรือเข้าถึงบทบาทตัวละครมากแค่ไหน ก็มักจะถูกมองข้ามจากรางวัลเวทีต่างๆโดยเฉพาะเวทีออสการ์อยู่บ่อยครั้ง
แต่ทว่าการกลับมาในครั้งนี้เขาก็มีการเตรียมตัว ศึกษาข้อมูล รวมไปถึงฝึกฝนร่างกายและสภาพจิตใจมาเป็นอย่างดี เพื่อรับบทบาทสุดท้าทายในหนังดราม่าที่สร้างจากเหตุการณ์จริงอย่าง Stronger ซึ่งบทบาทดังกล่าวนักวิจารณ์หลายสำนักต่างก็ยกย่องว่า
เป็นหนึ่งในการเเสดงระดับมาสเตอร์พีซ เเละควรค่าต่อการเข้าชิงรางวัลออสการ์์
โดยหนังเรื่องนี้พูดถึง 'เจฟฟ์ เบาว์แมน' (เจค จิลเลนฮาล) หนุ่มวัย 27 ปี ที่ชีวิตกำลังดำเนินไปได้สวยกับแฟนสาว แต่ทุกอย่างกลับพังทะลายเมื่อเจฟฟ์กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกลูกหลงจากการวางระเบิดที่บอสตัน เจฟฟ์ตื่นขึ้นมาในวันที่ 16 ตุลาคม 2013 พร้อมกับสภาพที่สูญเสียขาทั้งสองข้าง แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับมัน แต่เจฟฟ์ก็ยังไม่หมดกำลังใจและลุกขึ้นสู้ ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ อีกทั้งเจฟฟ์ยังเป็นกุญแจสำคัญในการระบุตัวคนร้ายเหตุลอบวางระเบิด นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนต่างก็ยกย่องเจฟฟ์ว่าเป็น 'ฮีโร่'
.
.
.
.
.
1. 'เจค จิลเลนฮาล' ใช้เวลากว่า 4 เดือน อยู่คลุกคลีกับ 'เจฟฟ์ เบาว์แมน' เพื่อศึกษาตัวตนที่แท้จริง
ในฐานะของนักแสดงต่างก็รู้ดีว่าการจะเข้าถึงบทบาทของตัวละครที่ตนได้รับมอบหมายมานั้นจำเป็นต้องค้นหาความจริง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวละคร และที่สำคัญต้องถ่ายออกมาให้ผู้ชมเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าคุณคือตัวละครนั้นจริงๆ เจคจึงเลือกที่จะเข้าหาเจฟฟ์โดยตรง เพื่อศึกษาอุปนิสัย บุคลิกท่าทาง และรายละเอียดการใช้ชีวิต รวมถึงรับรู้ทัศนคติของผู้คนรอบตัวที่มีต่อเจฟฟ์เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือน
2. 'เจค จิลเลนฮาล' ซ้อมวิ่งวันละ 24 กิโลเมตร เพื่อทดสอบขีดจำกัดความอดทนของจิตใจ
หัวใจสำคัญของ Stronger คือการถ่ายเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านโศกนาฏกรรมมาได้ด้วยความหวัง ลองจินตนาการดูว่าหากมนุษย์คนหนึ่งต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองสูญเสียขาซึ่งเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เขาต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร และกว่าที่จะมาเป็นต้นแบบของแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายได้นั้น ต้องผ่านความเจ็บปวด ความยากลำบากที่มากมายแค่ไหน ซึ่งเจคก็ตระหนักดีว่ามันเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะจินตนาการ และมันคงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เจฟฟ์ต้องเผชิญ และในฐานะของนักแสดง
สิ่งที่เจคทำได้ก็คือพยายามเข้าใกล้ความกล้าหาญอันทรหด ความรู้สึกอดทนที่เจฟฟ์ต้องแสดงออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งเจคเองก็เลือกที่จะซ้อมวิ่งถึงวันละ 24 กิโลเมตร เพื่อรับรู้ความเหน็ดเหนื่อยที่ร่างกายได้รับ และทดสอบขีดจำกัดความอดทนของสภาพจิตใจ
3. 'เจค จิลเลนฮาล' ต้องฝึกใช้ขาเทียมระหว่างรอรับบท
แน่นอนว่าบทบาทของเจคคือ การแสดงเป็นชายที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง ต้องปรับกระบวนความคิดและแนวทางการใช้ชีวิตใหม่ด้วยขาเทียม
ซึ่งขาเทียมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เจค ต้องเรียนรู้ทั้งจากตัวเจฟฟ์โดยตรง รวมถึงทำการรีเสิร์ชข้อมูล สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การเคลื่อนไหวดูสมจริงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด
4. 'เจค จิลเลนฮาล' เข้ามาเป็นโปรดิวเซอร์เพื่อช่วยดูแลงานให้ออกมาดูดีที่สุด
ทางผู้กำกับ ทีมผู้สร้างและเหล่านักแสดงในเรื่อง ต่างรู้ดีว่าเจครู้สึกรักและยกย่องในความอดทน ความกล้าหาญของตัวละครนี้มาก จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาอาสารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ของหนัง เพราะนอกเหนือจากการเอาใจใส่รายละเอียดของการแสดงแล้ว
ในระหว่างถ่ายทำเจคก็คอยออกไอเดียต่างๆ อย่างซีนนี้ควรใช้เลนส์อะไร มุมกล้องแบบไหน รวมถึงควรเพิ่มหรือลดช็อตไหนเพื่อทำให้การเล่าเรื่องดูไหลลื่นมากขึ้น และเพื่อเสริมการแสดงของเขาให้ดูโดดเด่นเเละมีประสิทธิภาพในสายตาผู้ชมมากที่สุด
5. 'เจค จิลเลนฮาล' ต้องค้นหาวิธีตีความตัวละครให้ออกมาน่าเชื่อถือที่สุด
แม้เจคจะรับรู้เรื่องราว รายละเอียดต่างๆในชีวิตของตัวละครผ่าน 'เจฟฟ์ เบาว์แมน' โดยตรง แต่การที่ต้องแสดงเป็นตัวละครนั้นๆให้ผู้ชมเชื่อ และตอบโจทย์กับแนวทางหนังที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทคาดหวังไว้ เจคต้องทำอย่างไร? นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องค้นหา โดยเจคตระหนักดีว่าชาวบอสตันโดยส่วนใหญ่เป็นคนพูดน้อย มีทัศนคติที่ชอบเก็บซ่อนความรู้สึก และสิ่งที่เจคแสดงออกมาก็คือ
เน้นถ่ายทอดสภาวะเศร้าหมอง ความซับซ้อนและความคิดที่ถูกเก็บไว้ในเบื้องลึกของตัวละคร ผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งเขาก็ทำได้มหัศจรรย์มากๆจนผู้กำกับและทีมงานต่างก็ทึ่งในความดิบและสมจริง เสมือนว่าเขาคือผู้ที่ต้องผ่านโศกนาฏกรรมที่น่ากลัวมาด้วยตนเอง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทยวันที่ 2 พฤศจิกายน 2017
5 การเตรียมความพร้อมของ'เจค จิลเลนฮาล' เพื่อเข้าถึงบทบาทสุดท้าทายใน Stronger
เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักหนึ่งในนักแสดงแถวหน้าของวงการอย่าง 'เจค จิลเลนฮาล' ที่เคยฝากผลงานอย่าง Brokeback Mountain จนมีชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชาย รวมไปถึงเคยมีผลงานคุณภาพอีกมากมายอย่าง Nightcrawler, Prisoners , Enemy และ Zodiac แม้ที่ผ่านมาเขาจะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม หรือเข้าถึงบทบาทตัวละครมากแค่ไหน ก็มักจะถูกมองข้ามจากรางวัลเวทีต่างๆโดยเฉพาะเวทีออสการ์อยู่บ่อยครั้ง
แต่ทว่าการกลับมาในครั้งนี้เขาก็มีการเตรียมตัว ศึกษาข้อมูล รวมไปถึงฝึกฝนร่างกายและสภาพจิตใจมาเป็นอย่างดี เพื่อรับบทบาทสุดท้าทายในหนังดราม่าที่สร้างจากเหตุการณ์จริงอย่าง Stronger ซึ่งบทบาทดังกล่าวนักวิจารณ์หลายสำนักต่างก็ยกย่องว่าเป็นหนึ่งในการเเสดงระดับมาสเตอร์พีซ เเละควรค่าต่อการเข้าชิงรางวัลออสการ์์
โดยหนังเรื่องนี้พูดถึง 'เจฟฟ์ เบาว์แมน' (เจค จิลเลนฮาล) หนุ่มวัย 27 ปี ที่ชีวิตกำลังดำเนินไปได้สวยกับแฟนสาว แต่ทุกอย่างกลับพังทะลายเมื่อเจฟฟ์กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกลูกหลงจากการวางระเบิดที่บอสตัน เจฟฟ์ตื่นขึ้นมาในวันที่ 16 ตุลาคม 2013 พร้อมกับสภาพที่สูญเสียขาทั้งสองข้าง แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับมัน แต่เจฟฟ์ก็ยังไม่หมดกำลังใจและลุกขึ้นสู้ ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ อีกทั้งเจฟฟ์ยังเป็นกุญแจสำคัญในการระบุตัวคนร้ายเหตุลอบวางระเบิด นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนต่างก็ยกย่องเจฟฟ์ว่าเป็น 'ฮีโร่'
.
.
.
.
.
1. 'เจค จิลเลนฮาล' ใช้เวลากว่า 4 เดือน อยู่คลุกคลีกับ 'เจฟฟ์ เบาว์แมน' เพื่อศึกษาตัวตนที่แท้จริง
ในฐานะของนักแสดงต่างก็รู้ดีว่าการจะเข้าถึงบทบาทของตัวละครที่ตนได้รับมอบหมายมานั้นจำเป็นต้องค้นหาความจริง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวละคร และที่สำคัญต้องถ่ายออกมาให้ผู้ชมเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าคุณคือตัวละครนั้นจริงๆ เจคจึงเลือกที่จะเข้าหาเจฟฟ์โดยตรง เพื่อศึกษาอุปนิสัย บุคลิกท่าทาง และรายละเอียดการใช้ชีวิต รวมถึงรับรู้ทัศนคติของผู้คนรอบตัวที่มีต่อเจฟฟ์เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือน
2. 'เจค จิลเลนฮาล' ซ้อมวิ่งวันละ 24 กิโลเมตร เพื่อทดสอบขีดจำกัดความอดทนของจิตใจ
หัวใจสำคัญของ Stronger คือการถ่ายเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านโศกนาฏกรรมมาได้ด้วยความหวัง ลองจินตนาการดูว่าหากมนุษย์คนหนึ่งต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองสูญเสียขาซึ่งเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เขาต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร และกว่าที่จะมาเป็นต้นแบบของแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายได้นั้น ต้องผ่านความเจ็บปวด ความยากลำบากที่มากมายแค่ไหน ซึ่งเจคก็ตระหนักดีว่ามันเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะจินตนาการ และมันคงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เจฟฟ์ต้องเผชิญ และในฐานะของนักแสดง สิ่งที่เจคทำได้ก็คือพยายามเข้าใกล้ความกล้าหาญอันทรหด ความรู้สึกอดทนที่เจฟฟ์ต้องแสดงออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งเจคเองก็เลือกที่จะซ้อมวิ่งถึงวันละ 24 กิโลเมตร เพื่อรับรู้ความเหน็ดเหนื่อยที่ร่างกายได้รับ และทดสอบขีดจำกัดความอดทนของสภาพจิตใจ
3. 'เจค จิลเลนฮาล' ต้องฝึกใช้ขาเทียมระหว่างรอรับบท
แน่นอนว่าบทบาทของเจคคือ การแสดงเป็นชายที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง ต้องปรับกระบวนความคิดและแนวทางการใช้ชีวิตใหม่ด้วยขาเทียม ซึ่งขาเทียมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เจค ต้องเรียนรู้ทั้งจากตัวเจฟฟ์โดยตรง รวมถึงทำการรีเสิร์ชข้อมูล สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การเคลื่อนไหวดูสมจริงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด
4. 'เจค จิลเลนฮาล' เข้ามาเป็นโปรดิวเซอร์เพื่อช่วยดูแลงานให้ออกมาดูดีที่สุด
ทางผู้กำกับ ทีมผู้สร้างและเหล่านักแสดงในเรื่อง ต่างรู้ดีว่าเจครู้สึกรักและยกย่องในความอดทน ความกล้าหาญของตัวละครนี้มาก จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาอาสารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ของหนัง เพราะนอกเหนือจากการเอาใจใส่รายละเอียดของการแสดงแล้ว ในระหว่างถ่ายทำเจคก็คอยออกไอเดียต่างๆ อย่างซีนนี้ควรใช้เลนส์อะไร มุมกล้องแบบไหน รวมถึงควรเพิ่มหรือลดช็อตไหนเพื่อทำให้การเล่าเรื่องดูไหลลื่นมากขึ้น และเพื่อเสริมการแสดงของเขาให้ดูโดดเด่นเเละมีประสิทธิภาพในสายตาผู้ชมมากที่สุด
5. 'เจค จิลเลนฮาล' ต้องค้นหาวิธีตีความตัวละครให้ออกมาน่าเชื่อถือที่สุด
แม้เจคจะรับรู้เรื่องราว รายละเอียดต่างๆในชีวิตของตัวละครผ่าน 'เจฟฟ์ เบาว์แมน' โดยตรง แต่การที่ต้องแสดงเป็นตัวละครนั้นๆให้ผู้ชมเชื่อ และตอบโจทย์กับแนวทางหนังที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทคาดหวังไว้ เจคต้องทำอย่างไร? นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องค้นหา โดยเจคตระหนักดีว่าชาวบอสตันโดยส่วนใหญ่เป็นคนพูดน้อย มีทัศนคติที่ชอบเก็บซ่อนความรู้สึก และสิ่งที่เจคแสดงออกมาก็คือเน้นถ่ายทอดสภาวะเศร้าหมอง ความซับซ้อนและความคิดที่ถูกเก็บไว้ในเบื้องลึกของตัวละคร ผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งเขาก็ทำได้มหัศจรรย์มากๆจนผู้กำกับและทีมงานต่างก็ทึ่งในความดิบและสมจริง เสมือนว่าเขาคือผู้ที่ต้องผ่านโศกนาฏกรรมที่น่ากลัวมาด้วยตนเอง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทยวันที่ 2 พฤศจิกายน 2017