Stronger (David Gordon Green, 2017) คะแนน A
By Form Corleone
"บทสำรวจหัวใจที่แข็งแกร่ง ในวันที่หัวใจไม่ยอมแพ้" ถ้าจะหาภาพยนตร์ที่ให้กำลังใจในชีวิต ไม่ว่าจะประสบเรื่องอะไรก็ตาม 'Stronger' ถือเป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดูเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้แข็งแรง+ต่อสู้กับสิ่งร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ในมิติเชิงลึกแบบปัจเจกบุคคล หนังพาเราไปสำรวจแง่มุมความเป็นปัจเจกของคนๆหนึ่งที่ประสบเหตุร้ายจากการก่อการร้ายในวันแข่งขันวิ่งมาราธอน จนสูญเสียขาทั้งสองข้างไป 'เจฟฟ์ บาวแมน(เจค จิลเลินฮาล)' ต้องเผชิญกับการฉาบหน้าด้วยคำว่า 'ฮีโร่' เมื่อเขาสามารถระบุตัวตนของผู้ก่อการร้ายได้ในวันที่ลืมตาตื่นมาพบว่าขาทั้งสองข้างได้หายไปจากร่างกาย ภาระในการต้องเข้มแข็งในวันที่อ่อนแอจึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง และการแสดงของ 'เจค จิลเลินฮาล' ที่ให้สภาพทางร่างกายและจิตใจได้อย่างสมจริงนั้นคงจะส่งให้ได้เข้าชิงออสการ์สาขานำชายสักที แง่มุมการสะท้อนสภาพจิตใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอนั้นสวยงามและกินใจมากๆ รวมทั้งยังพาเราไปนั่งพิจารณาถึงตัวตนของชายผู้เสียขาทั้งสองข้างได้ลุ่มลึก และเจนจัดไปด้วยการเล่าเรื่องที่ตัดสลับภาพเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนพาให้เราอินไปกับพล็อตเรื่องแบบไม่ยัดเยียด ความเป็นธรรมชาติในการโฟกัสไปที่ตัวบุคคลของหนังเรื่องนี้จึงทำให้ช่วงขณะของการนั่งดูเป็นเสมือนบทสะท้อนถึงชีวิตให้เราด้วยเช่นกัน ทั้งหมดจึงนำพามาด้วยความเศร้าและกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปจนอดที่จะเสียน้ำตาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังเองยังมีองค์ประกอบของคนรอบข้างที่ช่วยให้หนังมีพลังในการถ่ายทอด อาทิ แฟนสาวที่คอยดูแลและเคียงข้างจนก่อร่างสร้างครอบครัวไปกับเขา และ คนเป็นแม่ ที่แม้จะพยายามสร้างให้ลูกชายตัวเองเป็นฮีโร่จนกลายเป็นภาวะกดดันอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็เป็นเพียงความหวังดีในสิ่งที่แม่จะทำให้ลูกชายได้เท่านั้น ความละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ทั้งหมดกลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
"ในวันที่ชีวิตแทบที่จะไม่เหลืออะไร หัวใจยังคงเต้นอยู่" การกำกับของ 'กอร์ดอน กรีน' สามารถจัดวางองค์ประกอบในการสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาได้อย่างดีมาก ทั้งการจัดวางฉากหลัง และตัวละครแวดล้อมที่คอยช่วยเสริมและในทางกลับกันก็ลดทอนคุณค่าในชีวิต จนเสมือนชีวิตจริงที่มีทั้งคนที่ช่วยให้กำลังใจ คนที่ไม่ทำอะไรเลย และคนที่คอยจะทำให้กำลังใจลดถอยลง นอกจากนี้ บริบทของของสังคมบอสตันที่สร้างแคมเปญ 'บอสตันสตรอง' เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายครั้งนี้ ยังดูเข้มแข็งต่อภาพรวมในสังคมซึ่งเป็นแง่มุมในเชิงกว้าง แต่ตัว 'กอร์ดอน กรีน' กลับเลือกที่จะใส่รายละเอียดในมุมแคบลงไปที่ตัวบุคคลในผลกระทบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า และถ้ามองไปที่ความเป็นตัวบุคคลแล้ว สภาพแวดล้อมที่ตัวละครได้พบเจอจึงดูเสมือนเรื่องราวที่ไม่ได้เวอร์วังและเข้าใจได้ง่ายๆ ทำให้เราเชื่อสนิทใจว่าเป็นเรื่องจริงและมันสามารถเกิดขึ้นกับใครคนใดก็ได้ในบริบทชีวิตแบบตัวละครในเรื่อง ทั้งหมดจึงเป็นการกำกับที่สามารถควบคุมมิติในเชิงกว้างและมิติในเชิงแคบได้อย่างลงตัว แม้จะมีบางช่วงเวลาที่หนังจะหลุดกรอบออกไปเล็กน้อย และเนิบช้าในบางช่วงจังหวะบ้างก็ตาม ซึงจุดนี้ก็น่าจะได้ลุ้นว่า 'กอร์ดอน กรีน' จะได้เข้าชิงสาขาผู้กำกับหรือเปล่า? แต่ที่แน่นอนที่สุด 'Stronger' คงจะมีสาขานำชายการันตีแน่นอน!!!
บทภาพยนตร์และวิธีการเล่าเรื่องที่พาเราไปเรียนรู้ช่วงชีวิตในการก้าวข้ามเอาชนะ และกล้าออกไปเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ณ ขณะปัจจุบัน ส่งผลเป็นพลังงานที่ถ่ายทอดไปถึงผู้อื่น สำหรับเราคือความสำเร็จของ 'Stronger' การถ่ายทอดชีวิตของตัวละครหรือแสดงบุคลิกบางอย่างในความเป็นตัวตนของตัวละครตัวนี้ ตั้งแต่ต้นเรื่องก่อนจะประสบเคราะห์ร้าย และการใช้ชีวิตต่อสู้หลังจากนั้น คือการลำดับเรื่องราวให้เรามองเห็นพัฒนาการของตัวละครได้ด้วยตัวของมันเอง และเพียงอาศัยมุมกล้องที่ช่วงส่งเสริมวิธีการเล่าในการตระหนักถึงชีวิตได้เองของตัวละครควบคู่ไปพร้อมกันนั้นยังช่วยเป็นแรงผลักดันให้หนังสามารถขับเคลื่อนไปถึงช่วงท้ายเรื่องได้อย่างสวยงาม จนเสมือนการกลับมาอยู่ในจุดที่แสนธรรมดาอีกครั้งของชีวิตคนๆหนึ่งแต่แฝงไปด้วยกำลังใจ ทั้งหมดจึงแสดงให้เราเห็นถึงวันที่ท้อแท้และวันที่หมดกำลังใจที่จะยิ้มสู้แต่ต้องฝืนยิ้ม+ยกนิ้วโป้งว่ายังไหวนะ บอกทุกคนว่าไม่เป็นไร มันสุดแสนจะทรมานมากแค่ไหน ตัวละครในเรื่องจึงเป็นการสอนใจให้เราได้กลับมาดูแลคนที่เรารัก และมอบความเข้าใจรวมถึงคอยอยู่ข้างๆคนที่เรารักในวันที่เขาคนนั้นอ่อนแอที่สุด
ท้ายสุด 'Stronger' จึงเป็นภาพยนตร์ที่พาเราไปสำรวจสภาพจิตใจของคนๆหนึ่ง และร่วมสัมผัสความเป็นคนธรรมดาที่ต้องสูญเสียอวัยวะทางร่างกาย จากวันที่ยอมแพ้จนกลายเป็นวันที่เข้มแข็ง จากวันที่เจ็บปวดจนกลายเป็นวันที่ได้รับความรักและได้ส่งมอบความรัก สะท้อนความเป็นมนุษย์ของตัวละครทั้งหมดและการกำกับที่จับประเด็นในการเล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ งานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ผสมทั้งความโรแมนติก+อารมณ์ขัน ฟีลกู๊ด+ดราม่า ในสมดุลที่พอดีไม่มากเกินและไม่น้อยเกิน ทั้งหมดทำให้เราสามารถอินไปกับเรื่องราวได้โดยไม่รู้สึกถึงการถูกชักจูงจนเกินไป มันจึงทำให้เราซาบซึ้งและเสียน้ำตาให้กับความจริงใจที่หนังถ่ายทอดออกมา พลังของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นการส่งสาสน์ที่ให้เรากลายเป็นคนที่เข้มแข็งได้มากขึ้นกว่าเดิมในวันที่เรารู้สึกอ่อนแอกับอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Stronger (David Gordon Green, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"บทสำรวจหัวใจที่แข็งแกร่ง ในวันที่หัวใจไม่ยอมแพ้" ถ้าจะหาภาพยนตร์ที่ให้กำลังใจในชีวิต ไม่ว่าจะประสบเรื่องอะไรก็ตาม 'Stronger' ถือเป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดูเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้แข็งแรง+ต่อสู้กับสิ่งร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ในมิติเชิงลึกแบบปัจเจกบุคคล หนังพาเราไปสำรวจแง่มุมความเป็นปัจเจกของคนๆหนึ่งที่ประสบเหตุร้ายจากการก่อการร้ายในวันแข่งขันวิ่งมาราธอน จนสูญเสียขาทั้งสองข้างไป 'เจฟฟ์ บาวแมน(เจค จิลเลินฮาล)' ต้องเผชิญกับการฉาบหน้าด้วยคำว่า 'ฮีโร่' เมื่อเขาสามารถระบุตัวตนของผู้ก่อการร้ายได้ในวันที่ลืมตาตื่นมาพบว่าขาทั้งสองข้างได้หายไปจากร่างกาย ภาระในการต้องเข้มแข็งในวันที่อ่อนแอจึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง และการแสดงของ 'เจค จิลเลินฮาล' ที่ให้สภาพทางร่างกายและจิตใจได้อย่างสมจริงนั้นคงจะส่งให้ได้เข้าชิงออสการ์สาขานำชายสักที แง่มุมการสะท้อนสภาพจิตใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอนั้นสวยงามและกินใจมากๆ รวมทั้งยังพาเราไปนั่งพิจารณาถึงตัวตนของชายผู้เสียขาทั้งสองข้างได้ลุ่มลึก และเจนจัดไปด้วยการเล่าเรื่องที่ตัดสลับภาพเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนพาให้เราอินไปกับพล็อตเรื่องแบบไม่ยัดเยียด ความเป็นธรรมชาติในการโฟกัสไปที่ตัวบุคคลของหนังเรื่องนี้จึงทำให้ช่วงขณะของการนั่งดูเป็นเสมือนบทสะท้อนถึงชีวิตให้เราด้วยเช่นกัน ทั้งหมดจึงนำพามาด้วยความเศร้าและกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปจนอดที่จะเสียน้ำตาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังเองยังมีองค์ประกอบของคนรอบข้างที่ช่วยให้หนังมีพลังในการถ่ายทอด อาทิ แฟนสาวที่คอยดูแลและเคียงข้างจนก่อร่างสร้างครอบครัวไปกับเขา และ คนเป็นแม่ ที่แม้จะพยายามสร้างให้ลูกชายตัวเองเป็นฮีโร่จนกลายเป็นภาวะกดดันอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็เป็นเพียงความหวังดีในสิ่งที่แม่จะทำให้ลูกชายได้เท่านั้น ความละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ทั้งหมดกลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
"ในวันที่ชีวิตแทบที่จะไม่เหลืออะไร หัวใจยังคงเต้นอยู่" การกำกับของ 'กอร์ดอน กรีน' สามารถจัดวางองค์ประกอบในการสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาได้อย่างดีมาก ทั้งการจัดวางฉากหลัง และตัวละครแวดล้อมที่คอยช่วยเสริมและในทางกลับกันก็ลดทอนคุณค่าในชีวิต จนเสมือนชีวิตจริงที่มีทั้งคนที่ช่วยให้กำลังใจ คนที่ไม่ทำอะไรเลย และคนที่คอยจะทำให้กำลังใจลดถอยลง นอกจากนี้ บริบทของของสังคมบอสตันที่สร้างแคมเปญ 'บอสตันสตรอง' เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายครั้งนี้ ยังดูเข้มแข็งต่อภาพรวมในสังคมซึ่งเป็นแง่มุมในเชิงกว้าง แต่ตัว 'กอร์ดอน กรีน' กลับเลือกที่จะใส่รายละเอียดในมุมแคบลงไปที่ตัวบุคคลในผลกระทบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า และถ้ามองไปที่ความเป็นตัวบุคคลแล้ว สภาพแวดล้อมที่ตัวละครได้พบเจอจึงดูเสมือนเรื่องราวที่ไม่ได้เวอร์วังและเข้าใจได้ง่ายๆ ทำให้เราเชื่อสนิทใจว่าเป็นเรื่องจริงและมันสามารถเกิดขึ้นกับใครคนใดก็ได้ในบริบทชีวิตแบบตัวละครในเรื่อง ทั้งหมดจึงเป็นการกำกับที่สามารถควบคุมมิติในเชิงกว้างและมิติในเชิงแคบได้อย่างลงตัว แม้จะมีบางช่วงเวลาที่หนังจะหลุดกรอบออกไปเล็กน้อย และเนิบช้าในบางช่วงจังหวะบ้างก็ตาม ซึงจุดนี้ก็น่าจะได้ลุ้นว่า 'กอร์ดอน กรีน' จะได้เข้าชิงสาขาผู้กำกับหรือเปล่า? แต่ที่แน่นอนที่สุด 'Stronger' คงจะมีสาขานำชายการันตีแน่นอน!!!
บทภาพยนตร์และวิธีการเล่าเรื่องที่พาเราไปเรียนรู้ช่วงชีวิตในการก้าวข้ามเอาชนะ และกล้าออกไปเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ณ ขณะปัจจุบัน ส่งผลเป็นพลังงานที่ถ่ายทอดไปถึงผู้อื่น สำหรับเราคือความสำเร็จของ 'Stronger' การถ่ายทอดชีวิตของตัวละครหรือแสดงบุคลิกบางอย่างในความเป็นตัวตนของตัวละครตัวนี้ ตั้งแต่ต้นเรื่องก่อนจะประสบเคราะห์ร้าย และการใช้ชีวิตต่อสู้หลังจากนั้น คือการลำดับเรื่องราวให้เรามองเห็นพัฒนาการของตัวละครได้ด้วยตัวของมันเอง และเพียงอาศัยมุมกล้องที่ช่วงส่งเสริมวิธีการเล่าในการตระหนักถึงชีวิตได้เองของตัวละครควบคู่ไปพร้อมกันนั้นยังช่วยเป็นแรงผลักดันให้หนังสามารถขับเคลื่อนไปถึงช่วงท้ายเรื่องได้อย่างสวยงาม จนเสมือนการกลับมาอยู่ในจุดที่แสนธรรมดาอีกครั้งของชีวิตคนๆหนึ่งแต่แฝงไปด้วยกำลังใจ ทั้งหมดจึงแสดงให้เราเห็นถึงวันที่ท้อแท้และวันที่หมดกำลังใจที่จะยิ้มสู้แต่ต้องฝืนยิ้ม+ยกนิ้วโป้งว่ายังไหวนะ บอกทุกคนว่าไม่เป็นไร มันสุดแสนจะทรมานมากแค่ไหน ตัวละครในเรื่องจึงเป็นการสอนใจให้เราได้กลับมาดูแลคนที่เรารัก และมอบความเข้าใจรวมถึงคอยอยู่ข้างๆคนที่เรารักในวันที่เขาคนนั้นอ่อนแอที่สุด
ท้ายสุด 'Stronger' จึงเป็นภาพยนตร์ที่พาเราไปสำรวจสภาพจิตใจของคนๆหนึ่ง และร่วมสัมผัสความเป็นคนธรรมดาที่ต้องสูญเสียอวัยวะทางร่างกาย จากวันที่ยอมแพ้จนกลายเป็นวันที่เข้มแข็ง จากวันที่เจ็บปวดจนกลายเป็นวันที่ได้รับความรักและได้ส่งมอบความรัก สะท้อนความเป็นมนุษย์ของตัวละครทั้งหมดและการกำกับที่จับประเด็นในการเล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ งานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ผสมทั้งความโรแมนติก+อารมณ์ขัน ฟีลกู๊ด+ดราม่า ในสมดุลที่พอดีไม่มากเกินและไม่น้อยเกิน ทั้งหมดทำให้เราสามารถอินไปกับเรื่องราวได้โดยไม่รู้สึกถึงการถูกชักจูงจนเกินไป มันจึงทำให้เราซาบซึ้งและเสียน้ำตาให้กับความจริงใจที่หนังถ่ายทอดออกมา พลังของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นการส่งสาสน์ที่ให้เรากลายเป็นคนที่เข้มแข็งได้มากขึ้นกว่าเดิมในวันที่เรารู้สึกอ่อนแอกับอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/