ได้ดูและเห็นขั้นตอนผลิตแล้ว นึกถึงตอนเด็กๆเลย
ก่อนอื่นต้องย้อนเกรินนำถึงเม็ดมะม่วงหิมพานจ์ก่อน
มาทำความรู้จักกันก่อนครับ
มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ดอกยืนต้น กลุ่มเดียวกับมะม่วงและถั่วพิสตาชีโอ
มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
ปัจจุบันเติบโตแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด
และผล นำเข้ามาปลูกครั้งแรกที่ภาคใต้ของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2444
โดยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง)
เป็นพืชที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง ประกอบด้วยโปรตีนที่ย่อยง่าย
ไขมันที่ส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (เมื่อบริโภคเข้าไปจะไม่เพิ่มไขมันในเส้นเลือด)
คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ, บี, อี และเกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก
ส่วนที่จะปรากฏไปเป็นผลของมะม่วงหิมพานต์นั้น ก็คือ ผลวิสามัญ รูปไข่หรือรูปลูกแพร์
ซึ่งจะเติบโตจากฐานดอกขึ้นมา เมื่อสุกจะมีสีเหลืองหรือส้มแดง มีความยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร
ผลแท้ของมะม่วงหิมพานต์นั้นเป็นผลเมล็ดเดียว รูปไต หรือรูปนวมนักมวย
งอกออกจากปลายของผลเทียม ก้านดอกจะขยายตัวออกมาเป็นผลเทียม
ภายในผลแท้นั้น เป็นเมล็ดเดี่ยว แม้ว่าโดยทั่วไปจะมองว่าส่วนเนื้อขาวนวลนั้นเป็นผลที่มีเปลือกแข็ง (nut)
แต่ในทางพฤกษศาสตร์ถือว่า เป็นเมล็ด (seed) อย่างไรก็ตาม ส่วนของผลแท้นั้น
นักพฤกษศาสตร์บางท่านถือว่าเป็นผลที่มีเปลือกแข็งก็มี เมล็ดนั้นห่อหุ้มด้วยเปลือกสองชั้น
ประกอบด้วยยางฟีโนลิก น้ำมัน พิษที่ระคายเคืองต่อผิวหนังอย่างรุนแรง
บางคนแพ้มะม่วงหิมพานต์ แต่ปกติถือว่าก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่าผลเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ
ลักษณะต้นหน้าตาแบบนี้ครับ
เวลาออกดอกจะเป็นแบบนี้
แล้วก็มีเม็ดโตๆโผล่มา ส่วนผลยังเล็ก
เมื่อผลสุกจะมีสีเหลือและแดง กินสดได้เลยครับ ส่วนเม็ดนั้นต้อง ต้องผ่านขั้นตอนอีกถึงจะกินได้
มาฟังตำนานสนุกๆว่าทำไมถึงได้ชื่อว่ามะม่วงหิมพานต์
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กับตำนานเทพ และสรรพคุณ
ครั้งหนึ่งหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์เกิดป่วยขึ้นมา เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างพากันไปเสาะแสวงหาผลไม้ชนิดต่าง ๆ
มาคั้นเอาน้ำทำยารักษา แต่ก็ยังไม่หาย ตกกลางคืนเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่องค์หนึ่งได้มาเข้าฝันว่า
ผลไม้ที่สามารถรักษาอาการป่วยครั้งนี้ได้นั้นมีอยู่ต้นเดียวและมีผลอยู่ลูกเดียวเท่านั้น อยู่ในป่าหิมพานต์
ลักษณะเป็นผลสีเหลือง ต้นเป็นไม้ใหญ่มีใบหนา แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณที่ขึ้นอย่างกว้างขวาง
ภาพป่าหิมพานต์ในจิตนาการของศิลปิน
เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบเรื่องก็พากันเหาะไปเก็บมาให้ ครั้นได้กินยาที่คั้นจากน้ำผลไม้
แล้วหัวหน้าเทวดาก็หายป่วยอย่างอัศจรรย์ ฝ่ายต้นแม่ของผลไม้นั้น
เมื่อถูกเด็ดลูกไปก็ร้องไห้เสียใจเหมือนแม่ที่ถูกคนอื่นมาพรากลูกไปจากอก
จากกนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจึงออกผลมาอีกผลหนึ่ง และต้นไม้นั้นก็มีอายุมากใกล้จะตายแล้ว
ผลของมันจึงคิดว่าถ้าแม่ตาย มันคงอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีต้นแม่คอยหล่อเลี้ยงอาหาร
จึงคิดจะคายเม็ดออกมาให้หล่นสู่พื้น เพื่อที่จะได้งอกเป็นต้นพันธุ์ต่อไป
ฝ่ายหัวหน้าเทวดาเห็นผลต้นไม้ที่เคยใช้เป็นยากำลังคายเมล็ดเกือบจะร่วงลงดินอยู่แล้วก็ตวาดไปว่า "อย่าร่วง"
ด้วยวาจาสิทธิ์ เมล็ดผลไม้นั้นก็ติดห้อยอยู่กับผลด้านนอกมาตราบทุกวันนี้ คำว่าอย่าร่วงต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น "ยาร่วง"
ซึ่งเป็นชื่อเรียกมะม่วงหิมพานต์ของชาวใต้ ต่อมาเพี้ยนจากยาร่วงมาเป็น "มะม่วง"
และเนื่องจากต้นพันธุ์ดั้งเดิมมีกำเนิดอยู่ในป่าหิมพานต์ จึงมีชื่อเรียกในปัจจุบันว่า "มะม่วงหิมพานต์"
คราวนี้มาดูชื่อเรียกในท้องถิ่นบ้าง
ในประเทศไทย มะม่วงหิมพานต์พบได้ทั่วไปในภาคใต้ และมีชื่อเรียกตามสำเนียงภาษาถิ่นใต้แตกต่างกันไป
เช่น กาหยู กาหยี (เข้าใจว่าเป็นคำยืมจากภาษามลายู ซึ่งยืมจากภาษาโปรตุเกสอีกทอดหนึ่ง) เม็ดล่อ ยาร่วง หัวครก ยาโห้ย เป็นต้น
คราวนี้มาว่าถึงขั้นตอนในการเอาเม็ดเพื่อนำมารับประทาน
ในที่นี้ ผมจะเล่าถึงวิธีการโบราณ ที่ผมเองก็เคยทำตอนเด็กๆครับ
เมื่อเราได้เม็ดดิบมาแล้ว(อาจจะตากให้แห้งสักนิดครับ)
เราก็นำไปคั่วใส่ในภาชนะ ที่โตสักหน่อยอย่างนี้ ใช้ไฟท่วมๆเลย คั่วไปสักแป๊บ
ขั้นตอนนี้ต้องใส่เสื้อผ้าให้รัดกุม มิดชิด เพราะจะมีน้ำยางจากเปลือกกระเด็นออกมา
ไม้ที่ใช้คั่วก็จะยาวหน่อย บริเวณที่คั่วจะต้องโปร่ง โล่ง อากาศถ่ายเทดี
เพราะจะมีควัน ความร้อนของไฟที่ลุกช่วง และยางน้ำมันจากเปลือก
เสร็จแล้วก็ยกมาเทใส่แกลบ เพื่อให้เย็นเร็วและขจัดยางที่ออกจากเม็ด
ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาไม่นาน นำเม็ดมาใส่ในตะแกรงแล้วเทแกลบ เขย่าๆ
สักพักก็หายร้อน แล้วยางก็จะออกหมดไปจากเปลือก
จากนั้นก็นำมาตอก ๆๆๆๆๆๆ แกะเปลือกออก ขั้นตอนนี้ใช้ความชำนาญพอสมควร
เพราะต้องให้เม็ดที่ตอกแล้วมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะได้ราคาดี สวย น่ากิน
เมื่อได้เม็ดสวยๆแบบนี้แล้ว ก็นำไปอบอีกที เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดและสุก กรอบ ทุกเม็ด
ผมมีคลิปให้ดูด้วยครับ ถ่ายและตัดต่อเอง
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนเด็กๆ เมื่อตอนเรียนชั้นประถม
ชวนเพื่อนๆเข้าไปในสวนในป่า เก็บผลมะม่วงหิมพานต์
ผลเราก็กิน กินประสาเด็กๆ ยางก็กัดลิ้น กัดปาก แต่ก็ชอบกิน
เอาผลมาฝานบางๆ กินจิ้มกับเกลือ อร่อยมากครับ
ส่วนเม็ดพวกเราก็เอามาคั่วครับ แต่ก็มีผู้ใหญ่คอยกำกับดูแลครับ
รสชาติที่ออกมา อร่อยเกินบรรยาย
ผมว่าอร่อยมากๆ ขั้นตอนก็ซับซ้อนดี
สรรพคุณของเม็ดมะม่วงหิมพานต์...คุ้มค่า คุ้มราคา
1.เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมด้วยวิตามิน โดยจะประกอบด้วยโปรตีน
และไขมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว คาร์โบไฮเดรต วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน E
เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก
2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรค
โรคที่การทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยได้คือ
โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ประสาทจอตาเสื่อม
3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือกและฟัน
ตลอดจนกระดูกให้แข็งแรง เพราะในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นมีแมกนีเซียมจำนวนมาก
4. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด เพราะมีกรดไลโนเลอิก
5. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีประโยชน์ในเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเส้นใยอาหารสูง ลดการดูดซึมไขมันได้ดี จึงช่วยด้านรูปร่าง
6. เปลือกของต้นมะม่วงหิมพานต์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
7. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเป็นประโยชน์ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย
8. ใบแก่นำมาตำรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้
9. ผลและใบมีสรรพคุณลดไข้ได้
10. เปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการปวดฟันได้
11. ยางจากต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้
12. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณลดความดันโลหิตได้ เนื่องจากแมกนีเซียมที่อยู่ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั่นเอง
คุณค่าทางพลังงาน
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่
ซึ่งนับว่ามีพลังงานสูงมาก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แนะนำให้รับประทานจำนวนมาก
ตอนนี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์( วันที่ลงกระทู้19/10/60) ในช่วงนี้ราคาค่อนข้างสูง
แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ทำให้รู้ว่า
ด้วยประโยชน์ที่มากมาย กับการที่นำไปประกอบอาหาร เครื่องดื่ม หรือของหวาน
ไปหลากหลาย อีกทั้งรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์
ราคาก็จะยังสูงตลอดเวลา
ขอบคุณครับ
[CR] เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วแบบโบราณ
ก่อนอื่นต้องย้อนเกรินนำถึงเม็ดมะม่วงหิมพานจ์ก่อน
มาทำความรู้จักกันก่อนครับ
มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ดอกยืนต้น กลุ่มเดียวกับมะม่วงและถั่วพิสตาชีโอ
มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
ปัจจุบันเติบโตแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด
และผล นำเข้ามาปลูกครั้งแรกที่ภาคใต้ของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2444
โดยพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง)
เป็นพืชที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง ประกอบด้วยโปรตีนที่ย่อยง่าย
ไขมันที่ส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (เมื่อบริโภคเข้าไปจะไม่เพิ่มไขมันในเส้นเลือด)
คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ, บี, อี และเกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก
ส่วนที่จะปรากฏไปเป็นผลของมะม่วงหิมพานต์นั้น ก็คือ ผลวิสามัญ รูปไข่หรือรูปลูกแพร์
ซึ่งจะเติบโตจากฐานดอกขึ้นมา เมื่อสุกจะมีสีเหลืองหรือส้มแดง มีความยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร
ผลแท้ของมะม่วงหิมพานต์นั้นเป็นผลเมล็ดเดียว รูปไต หรือรูปนวมนักมวย
งอกออกจากปลายของผลเทียม ก้านดอกจะขยายตัวออกมาเป็นผลเทียม
ภายในผลแท้นั้น เป็นเมล็ดเดี่ยว แม้ว่าโดยทั่วไปจะมองว่าส่วนเนื้อขาวนวลนั้นเป็นผลที่มีเปลือกแข็ง (nut)
แต่ในทางพฤกษศาสตร์ถือว่า เป็นเมล็ด (seed) อย่างไรก็ตาม ส่วนของผลแท้นั้น
นักพฤกษศาสตร์บางท่านถือว่าเป็นผลที่มีเปลือกแข็งก็มี เมล็ดนั้นห่อหุ้มด้วยเปลือกสองชั้น
ประกอบด้วยยางฟีโนลิก น้ำมัน พิษที่ระคายเคืองต่อผิวหนังอย่างรุนแรง
บางคนแพ้มะม่วงหิมพานต์ แต่ปกติถือว่าก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่าผลเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ
ลักษณะต้นหน้าตาแบบนี้ครับ
เวลาออกดอกจะเป็นแบบนี้
แล้วก็มีเม็ดโตๆโผล่มา ส่วนผลยังเล็ก
เมื่อผลสุกจะมีสีเหลือและแดง กินสดได้เลยครับ ส่วนเม็ดนั้นต้อง ต้องผ่านขั้นตอนอีกถึงจะกินได้
มาฟังตำนานสนุกๆว่าทำไมถึงได้ชื่อว่ามะม่วงหิมพานต์
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กับตำนานเทพ และสรรพคุณ
ครั้งหนึ่งหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์เกิดป่วยขึ้นมา เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างพากันไปเสาะแสวงหาผลไม้ชนิดต่าง ๆ
มาคั้นเอาน้ำทำยารักษา แต่ก็ยังไม่หาย ตกกลางคืนเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่องค์หนึ่งได้มาเข้าฝันว่า
ผลไม้ที่สามารถรักษาอาการป่วยครั้งนี้ได้นั้นมีอยู่ต้นเดียวและมีผลอยู่ลูกเดียวเท่านั้น อยู่ในป่าหิมพานต์
ลักษณะเป็นผลสีเหลือง ต้นเป็นไม้ใหญ่มีใบหนา แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณที่ขึ้นอย่างกว้างขวาง
ภาพป่าหิมพานต์ในจิตนาการของศิลปิน
เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบเรื่องก็พากันเหาะไปเก็บมาให้ ครั้นได้กินยาที่คั้นจากน้ำผลไม้
แล้วหัวหน้าเทวดาก็หายป่วยอย่างอัศจรรย์ ฝ่ายต้นแม่ของผลไม้นั้น
เมื่อถูกเด็ดลูกไปก็ร้องไห้เสียใจเหมือนแม่ที่ถูกคนอื่นมาพรากลูกไปจากอก
จากกนั้นอีกหลายร้อยปีต่อมาจึงออกผลมาอีกผลหนึ่ง และต้นไม้นั้นก็มีอายุมากใกล้จะตายแล้ว
ผลของมันจึงคิดว่าถ้าแม่ตาย มันคงอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีต้นแม่คอยหล่อเลี้ยงอาหาร
จึงคิดจะคายเม็ดออกมาให้หล่นสู่พื้น เพื่อที่จะได้งอกเป็นต้นพันธุ์ต่อไป
ฝ่ายหัวหน้าเทวดาเห็นผลต้นไม้ที่เคยใช้เป็นยากำลังคายเมล็ดเกือบจะร่วงลงดินอยู่แล้วก็ตวาดไปว่า "อย่าร่วง"
ด้วยวาจาสิทธิ์ เมล็ดผลไม้นั้นก็ติดห้อยอยู่กับผลด้านนอกมาตราบทุกวันนี้ คำว่าอย่าร่วงต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น "ยาร่วง"
ซึ่งเป็นชื่อเรียกมะม่วงหิมพานต์ของชาวใต้ ต่อมาเพี้ยนจากยาร่วงมาเป็น "มะม่วง"
และเนื่องจากต้นพันธุ์ดั้งเดิมมีกำเนิดอยู่ในป่าหิมพานต์ จึงมีชื่อเรียกในปัจจุบันว่า "มะม่วงหิมพานต์"
คราวนี้มาดูชื่อเรียกในท้องถิ่นบ้าง
ในประเทศไทย มะม่วงหิมพานต์พบได้ทั่วไปในภาคใต้ และมีชื่อเรียกตามสำเนียงภาษาถิ่นใต้แตกต่างกันไป
เช่น กาหยู กาหยี (เข้าใจว่าเป็นคำยืมจากภาษามลายู ซึ่งยืมจากภาษาโปรตุเกสอีกทอดหนึ่ง) เม็ดล่อ ยาร่วง หัวครก ยาโห้ย เป็นต้น
คราวนี้มาว่าถึงขั้นตอนในการเอาเม็ดเพื่อนำมารับประทาน
ในที่นี้ ผมจะเล่าถึงวิธีการโบราณ ที่ผมเองก็เคยทำตอนเด็กๆครับ
เมื่อเราได้เม็ดดิบมาแล้ว(อาจจะตากให้แห้งสักนิดครับ)
เราก็นำไปคั่วใส่ในภาชนะ ที่โตสักหน่อยอย่างนี้ ใช้ไฟท่วมๆเลย คั่วไปสักแป๊บ
ขั้นตอนนี้ต้องใส่เสื้อผ้าให้รัดกุม มิดชิด เพราะจะมีน้ำยางจากเปลือกกระเด็นออกมา
ไม้ที่ใช้คั่วก็จะยาวหน่อย บริเวณที่คั่วจะต้องโปร่ง โล่ง อากาศถ่ายเทดี
เพราะจะมีควัน ความร้อนของไฟที่ลุกช่วง และยางน้ำมันจากเปลือก
เสร็จแล้วก็ยกมาเทใส่แกลบ เพื่อให้เย็นเร็วและขจัดยางที่ออกจากเม็ด
ขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาไม่นาน นำเม็ดมาใส่ในตะแกรงแล้วเทแกลบ เขย่าๆ
สักพักก็หายร้อน แล้วยางก็จะออกหมดไปจากเปลือก
จากนั้นก็นำมาตอก ๆๆๆๆๆๆ แกะเปลือกออก ขั้นตอนนี้ใช้ความชำนาญพอสมควร
เพราะต้องให้เม็ดที่ตอกแล้วมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะได้ราคาดี สวย น่ากิน
เมื่อได้เม็ดสวยๆแบบนี้แล้ว ก็นำไปอบอีกที เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดและสุก กรอบ ทุกเม็ด
ผมมีคลิปให้ดูด้วยครับ ถ่ายและตัดต่อเอง
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนเด็กๆ เมื่อตอนเรียนชั้นประถม
ชวนเพื่อนๆเข้าไปในสวนในป่า เก็บผลมะม่วงหิมพานต์
ผลเราก็กิน กินประสาเด็กๆ ยางก็กัดลิ้น กัดปาก แต่ก็ชอบกิน
เอาผลมาฝานบางๆ กินจิ้มกับเกลือ อร่อยมากครับ
ส่วนเม็ดพวกเราก็เอามาคั่วครับ แต่ก็มีผู้ใหญ่คอยกำกับดูแลครับ
รสชาติที่ออกมา อร่อยเกินบรรยาย
ผมว่าอร่อยมากๆ ขั้นตอนก็ซับซ้อนดี
สรรพคุณของเม็ดมะม่วงหิมพานต์...คุ้มค่า คุ้มราคา
1.เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมด้วยวิตามิน โดยจะประกอบด้วยโปรตีน
และไขมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว คาร์โบไฮเดรต วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน E
เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก
2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรค
โรคที่การทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยได้คือ
โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ประสาทจอตาเสื่อม
3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือกและฟัน
ตลอดจนกระดูกให้แข็งแรง เพราะในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นมีแมกนีเซียมจำนวนมาก
4. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด เพราะมีกรดไลโนเลอิก
5. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีประโยชน์ในเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเส้นใยอาหารสูง ลดการดูดซึมไขมันได้ดี จึงช่วยด้านรูปร่าง
6. เปลือกของต้นมะม่วงหิมพานต์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
7. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเป็นประโยชน์ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย
8. ใบแก่นำมาตำรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้
9. ผลและใบมีสรรพคุณลดไข้ได้
10. เปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการปวดฟันได้
11. ยางจากต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้
12. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณลดความดันโลหิตได้ เนื่องจากแมกนีเซียมที่อยู่ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั่นเอง
คุณค่าทางพลังงาน
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่
ซึ่งนับว่ามีพลังงานสูงมาก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แนะนำให้รับประทานจำนวนมาก
ตอนนี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์( วันที่ลงกระทู้19/10/60) ในช่วงนี้ราคาค่อนข้างสูง
แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ทำให้รู้ว่า
ด้วยประโยชน์ที่มากมาย กับการที่นำไปประกอบอาหาร เครื่องดื่ม หรือของหวาน
ไปหลากหลาย อีกทั้งรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์
ราคาก็จะยังสูงตลอดเวลา
ขอบคุณครับ