ฉันเป็นผู้บริจาคโลหิตต่อเนื่อง เหมือนตนเองจะรู้ดีทุกอย่างนะ แต่พอโดนทักหน่อย กลับรู้สึกไม่มั่นใจ เหมือนตนเองชักโง่ๆยังไงไม่รู้
ฉันไปบริจาคโลหิตครั้งล่าสุด ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลการวัดความดัน พอดีเจ้าหน้าที่ทัก ถามฉันทำไมปีนี้บริจาคเพียงแค่ครั้งเดียว
อันนี้จริง คือ ติดที่ฉันไปผ่าตัดมาเล็กมาเมื่อต้นปี เดือน มี.ค. ฉันคำนวนไว้เรียบร้อยแล้ว หลังผ่าตัด 6 เดือน บริจาคได้ เลือกวันที่ใกล้เคียงกับวันเกิด
และก็ใกล้เคียงกับช่วงเวลาอันสำคัญในเดือน ตุลาคม ฉันเตรียมตัวเพื่องานนี้ 2 เดือน ดูแลสุขภาพ ทานยาบำรุงเลือด ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพมาอย่างดี
แต่บังเอิญตอนคุยกับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องผ่าตัด แต่ดันไปพูดกับเขา เรื่องปัญหาที่พบเจอ คือ เลือดจางบ้าง เส้นเลือดตีบบ้าง เลยทำให้บริจาคลดลง
เลือดไม่ค่อยผ่าน เลยไม่อยากมา เจ้าหน้าที่อยากให้ฉันมองอีกมุมหนึ่ง ถ้ารักตัวเองควรจะมาบริจาค เพราะการมาบริจาคก็เหมือนการมาเช็คสุขภาพ
บริจาคไม่ผ่าน อย่าท้อถอย ควรจะมาบริจาคใหม่ ( ฉันรู้สึกเหมือนโดนสอนจรเข้ว่ายน้ำ ฉันรู้ดี เพราะเคยทำมาก่อน สิ่งที่เขาพูดฉันรู้นะ ว่าควรทำยังไง
แต่ก็ไม่น่าเชื่อ คือ ฉันเลิกทำแบบนั้นแล้ว ) เขาแนะนำเราดูแลคนอื่นได้ เราก็ควรจะดูแลตนเองด้วย สิ่งที่เขาพูดเหมือนเป็นสิ่งที่ฉันละเลยไปแล้ว
บริจาคเลือดไม่ผ่าน สำหรับฉัน เมื่อก่อนโดนมาเยอะ หลายรอบมาก ต้องกลับมาบำรุงใหม่ ทานยาบำรุงเลือดวันละ 4 เม็ด ก็เจอมาแล้ว เช็คไม่ผ่าน
กลับไปทานยาต่อ บำรุงเลือดใหม่ ไปเสียเที่ยว 2-3 ครั้งก็เคย กว่าจะให้ได้ ยากเย็นเหลือเกิน
เจ้าหน้าที่บอก การรักตัวเอง คือ การมาบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเช็คสุขภาพว่าเรายังแข็งแรงดีอยู่หรือเปล่า ถ้าบริจาคไม่ผ่าน
ก็เหมือนสุขภาพช่วงนี้ไม่ดีต้องกลับไปบำรุงดีแลใหม่ ทำให้ดี แล้วกลับมาบริจาคอีกครั้ง
เพราะรักตัวเองซิ ฉันถึงหยุดบริจาคบางครั้ง บริจาคมากไป เลือดจางสะสม ฉันรู้สึกว่าร่างกายมันแย่นะ ( คือ จิตใจมันห่อเหี่ยว เราให้มากไปป่าว)
รักตัวเองซิ เก็บเลือดให้ตัวเองใช้บ้าง ไม่ใช่ให้คนอื่นหมด หยุดๆบริจาคบ้าง ไม่ให้คนอื่นแล้ว
แล้วคนเราอายุมากขึ้น ทำงานมาก มันก็มีบ้างซิ ที่พักผ่อนน้อย ทานอาหารไร้สาระ อะไรก็กินๆลงไป ไม่ใส่ใจ เวลาใส่ใจตัวเองน้อยลง
แล้วมันก็ไปฟ้องตอนบริจาคโลหิต เส้นเลือดตีบ เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก เป็นการบริจาคเลือดที่ทรมานมาก เกือบจะไม่รอดแล้ว เกือบโดนทิ้งเลือด
ทำให้เลือดเข้มได้ แต่ทำให้เส้นเลือดแข็งแรงไม่ได้ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
พอรู้ตัวว่า ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงดีเหมือนเมื่อก่อน การลดการบริจาคลง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่พอโดนทักว่า ยิ่งรู้ตัวว่าไม่ดี ยิ่งควรมาบริจาค
การเช็คสุขภาพตนเองปีละครั้งน้อยไป กว่าจะรู้ตัว มันช้า แต่ถ้าเพิ่มการบริจาคเลือด ก็เท่ากับว่า มันเป็นการเพิ่มการเคร่งครัดตนเองมากขึ้น
ใช้ชีวิตตามสบาย ตามใจปาก ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ต้องดูแลตนเองตลอดเวลา
แก่แล้ว บางทีก็รู้ตัวนะ ว่าอนาคตโรคคนแก่จะมาเยือน เพียงแต่ไม่รู้ว่า วันไหน ความดัน เบาหวาน คลอเรสตอลเรลสูง จะมาเยือน
มันเป็นโรคยอดฮิตคนแก่ แต่ถ้าตั้งใจว่าจะบริจาคเลือดต่อเนื่อง นั้นหมายความว่า ห้ามเป็นโรคพวกนี้เด็ดขาด
นี่มันทำให้เราขาดประสบการณ์โรคยอดฮิตไปนะ มันดีหรอ
กว่าฉันจะบริจาคเลือดได้แต่ละครั้ง แทบอยากจะบอกคนรับให้รู้นะ ว่าเลือดมันแพง กว่าจะกินให้เข้มบริจาคได้ เสียตังค์บำรุงไปเยอะนะ
ต้องเสียสละเวลาทำโน้นทำนี่บางส่วน เพื่อการนอน ต้องงด และหลีกเลี่ยงบางอย่าง ไม่กินเลย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
ต้องเตรียมตัวเป็นเดือน เพื่อการบริจาค ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าจะไปบริจาควันไหน ต้องเคลียร์งาน ต้องหาเวลาว่าง มันไม่ใช่ง่ายๆนะ
ไม่ใช่คิดว่าพรุ่งนี้ฉันจะบริจาคแล้วเดินไป บริจาคได้เลย มันไม่ใช่ เลือดมันไม่ได้ดีขนาดนั้นแล้ว มันต้องพยายามและใช้เวลาเตรียมตัวเพื่อให้มันเข้ม
รักชีวิตตัวเองนิดนึง อย่าใช้เลือดเปลือง กว่าจะให้ได้ยากเย็นเหลือเกิน
แก่แล้วบริจาคมากไปก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าบริจาคน้อยไปก็ไม่ดี แล้วเท่าไหร่ ถึงจะดี ทางสายกลางอยู่ตรงไหน ควรปีละกี่ครั้ง
ทางสายกลางของการบริจาคโลหิต ควรจะปีละกี่ครั้ง
ฉันไปบริจาคโลหิตครั้งล่าสุด ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลการวัดความดัน พอดีเจ้าหน้าที่ทัก ถามฉันทำไมปีนี้บริจาคเพียงแค่ครั้งเดียว
อันนี้จริง คือ ติดที่ฉันไปผ่าตัดมาเล็กมาเมื่อต้นปี เดือน มี.ค. ฉันคำนวนไว้เรียบร้อยแล้ว หลังผ่าตัด 6 เดือน บริจาคได้ เลือกวันที่ใกล้เคียงกับวันเกิด
และก็ใกล้เคียงกับช่วงเวลาอันสำคัญในเดือน ตุลาคม ฉันเตรียมตัวเพื่องานนี้ 2 เดือน ดูแลสุขภาพ ทานยาบำรุงเลือด ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพมาอย่างดี
แต่บังเอิญตอนคุยกับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องผ่าตัด แต่ดันไปพูดกับเขา เรื่องปัญหาที่พบเจอ คือ เลือดจางบ้าง เส้นเลือดตีบบ้าง เลยทำให้บริจาคลดลง
เลือดไม่ค่อยผ่าน เลยไม่อยากมา เจ้าหน้าที่อยากให้ฉันมองอีกมุมหนึ่ง ถ้ารักตัวเองควรจะมาบริจาค เพราะการมาบริจาคก็เหมือนการมาเช็คสุขภาพ
บริจาคไม่ผ่าน อย่าท้อถอย ควรจะมาบริจาคใหม่ ( ฉันรู้สึกเหมือนโดนสอนจรเข้ว่ายน้ำ ฉันรู้ดี เพราะเคยทำมาก่อน สิ่งที่เขาพูดฉันรู้นะ ว่าควรทำยังไง
แต่ก็ไม่น่าเชื่อ คือ ฉันเลิกทำแบบนั้นแล้ว ) เขาแนะนำเราดูแลคนอื่นได้ เราก็ควรจะดูแลตนเองด้วย สิ่งที่เขาพูดเหมือนเป็นสิ่งที่ฉันละเลยไปแล้ว
บริจาคเลือดไม่ผ่าน สำหรับฉัน เมื่อก่อนโดนมาเยอะ หลายรอบมาก ต้องกลับมาบำรุงใหม่ ทานยาบำรุงเลือดวันละ 4 เม็ด ก็เจอมาแล้ว เช็คไม่ผ่าน
กลับไปทานยาต่อ บำรุงเลือดใหม่ ไปเสียเที่ยว 2-3 ครั้งก็เคย กว่าจะให้ได้ ยากเย็นเหลือเกิน
เจ้าหน้าที่บอก การรักตัวเอง คือ การมาบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเช็คสุขภาพว่าเรายังแข็งแรงดีอยู่หรือเปล่า ถ้าบริจาคไม่ผ่าน
ก็เหมือนสุขภาพช่วงนี้ไม่ดีต้องกลับไปบำรุงดีแลใหม่ ทำให้ดี แล้วกลับมาบริจาคอีกครั้ง
เพราะรักตัวเองซิ ฉันถึงหยุดบริจาคบางครั้ง บริจาคมากไป เลือดจางสะสม ฉันรู้สึกว่าร่างกายมันแย่นะ ( คือ จิตใจมันห่อเหี่ยว เราให้มากไปป่าว)
รักตัวเองซิ เก็บเลือดให้ตัวเองใช้บ้าง ไม่ใช่ให้คนอื่นหมด หยุดๆบริจาคบ้าง ไม่ให้คนอื่นแล้ว
แล้วคนเราอายุมากขึ้น ทำงานมาก มันก็มีบ้างซิ ที่พักผ่อนน้อย ทานอาหารไร้สาระ อะไรก็กินๆลงไป ไม่ใส่ใจ เวลาใส่ใจตัวเองน้อยลง
แล้วมันก็ไปฟ้องตอนบริจาคโลหิต เส้นเลือดตีบ เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก เป็นการบริจาคเลือดที่ทรมานมาก เกือบจะไม่รอดแล้ว เกือบโดนทิ้งเลือด
ทำให้เลือดเข้มได้ แต่ทำให้เส้นเลือดแข็งแรงไม่ได้ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
พอรู้ตัวว่า ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงดีเหมือนเมื่อก่อน การลดการบริจาคลง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่พอโดนทักว่า ยิ่งรู้ตัวว่าไม่ดี ยิ่งควรมาบริจาค
การเช็คสุขภาพตนเองปีละครั้งน้อยไป กว่าจะรู้ตัว มันช้า แต่ถ้าเพิ่มการบริจาคเลือด ก็เท่ากับว่า มันเป็นการเพิ่มการเคร่งครัดตนเองมากขึ้น
ใช้ชีวิตตามสบาย ตามใจปาก ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ต้องดูแลตนเองตลอดเวลา
แก่แล้ว บางทีก็รู้ตัวนะ ว่าอนาคตโรคคนแก่จะมาเยือน เพียงแต่ไม่รู้ว่า วันไหน ความดัน เบาหวาน คลอเรสตอลเรลสูง จะมาเยือน
มันเป็นโรคยอดฮิตคนแก่ แต่ถ้าตั้งใจว่าจะบริจาคเลือดต่อเนื่อง นั้นหมายความว่า ห้ามเป็นโรคพวกนี้เด็ดขาด
นี่มันทำให้เราขาดประสบการณ์โรคยอดฮิตไปนะ มันดีหรอ
กว่าฉันจะบริจาคเลือดได้แต่ละครั้ง แทบอยากจะบอกคนรับให้รู้นะ ว่าเลือดมันแพง กว่าจะกินให้เข้มบริจาคได้ เสียตังค์บำรุงไปเยอะนะ
ต้องเสียสละเวลาทำโน้นทำนี่บางส่วน เพื่อการนอน ต้องงด และหลีกเลี่ยงบางอย่าง ไม่กินเลย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
ต้องเตรียมตัวเป็นเดือน เพื่อการบริจาค ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าจะไปบริจาควันไหน ต้องเคลียร์งาน ต้องหาเวลาว่าง มันไม่ใช่ง่ายๆนะ
ไม่ใช่คิดว่าพรุ่งนี้ฉันจะบริจาคแล้วเดินไป บริจาคได้เลย มันไม่ใช่ เลือดมันไม่ได้ดีขนาดนั้นแล้ว มันต้องพยายามและใช้เวลาเตรียมตัวเพื่อให้มันเข้ม
รักชีวิตตัวเองนิดนึง อย่าใช้เลือดเปลือง กว่าจะให้ได้ยากเย็นเหลือเกิน
แก่แล้วบริจาคมากไปก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าบริจาคน้อยไปก็ไม่ดี แล้วเท่าไหร่ ถึงจะดี ทางสายกลางอยู่ตรงไหน ควรปีละกี่ครั้ง