.
ตะวันแดงแต่งแต้มฟากฟ้าไกล ปุยเมฆหม่นลอยฟ่องอ้อนขุนเขาสูง สายลมเศร้าลูบไล้แมกไม้ บรรยากาศอึมครึมราวกับภูตผีนรกจะกระโจนออกมาจากฝันร้าย รถประจำทางวิ่งคลุกฝุ่นศิลาแลงแดงสวยมาจอดหน้าศาลาริมทาง ซึ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับสาวบ้านนาผิดหวังรัก มาแขวนคอตายอย่างหดหู่เดียวดายกลายเป็นวิญญาณร้ายสิงสู่คอยหลอกหลอนผู้คน
หนุ่มเถิง กระโดดลงจากท้ายรถด้วยประสาทตื่นตัวระแวดระวังสุดขีด ก้มหัวต่ำราวกับทหารกล้าท้ารบในสมรภูมิเลือด ด้วยอาการหัวใจเต้นแรง มือขวาล้วงลงไปในย่ามผ้าประจำตำแหน่งกุมด้ามสากบินไร้เงาแน่น พร้อมจะขว้างออกไปหากโดนโจมตีด้วยศัตรู แต่นอกจากรถสองแถวชราภาพใกล้วันสิ้นอายุขัยที่กำลังคลานออกไปอย่างเศร้าสร้อย ก็ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชิวิตอื่นใดให้เห็น เขาถอนลมหายใจยาวบรรจงยิ้มมุมปากอย่างโล่งอก ควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า ดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งคาบไว้มุมปาก เตรียมจุดไม้ขีด แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีทั้งซองบุหรี่และไม้ขีดไฟ เขาไม่เคยบุหรี่และไม่เคยพกบุหรี่ติดตัวมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาบบุหรี่สูบ หนุ่มบ้านนานึกอย่างแปลกใจก่อนสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณอย่างไม่ไว้วางใจ
เปล่า...หนุ่มเถิงไม่เคยมีศัตรู เขาเพียงซ้อมท่วงท่าการแสดงเอาไว้ เผื่อว่าอนาคตจะมีเสือมองมาทาบทามให้ไปเป็นพระเอกหนังกับเขาบ้างเท่านั้น หลายปีกับการเดินทางเข้าเมืองกรุง ไปประกอบกิจการก่อตั้งบริษัทส่วนตัวเล็กๆโดยการลงทุนเปิดเพิงสุนัขแหงน ขายส้มตำหน้าโรงงานแห่งหนึ่ง จนพบรักกับสาวแรงงานชาวเขมร หลายปีกับการลืมกลิ่นโคลนสาบควายท้องทุ่งรวงทอง ในที่สุดบริษัทส่วนตัวล่มสลาย เมื่อโรงงานปิดตัวลงเพราะแรงงานต่างชาติถูกผลักออกนอกประเทศ รวมทั้งความรักที่หลุดลอย รักที่ถูกลืม เสียงหัวใจที่ไร้เธอ ช่างเขาเถิดนะหัวใจ หนุ่มเถิงต้องกลับสู่บ้านนาอย่างอดสู เขาจะมองหน้าสายบัว คนรักเก่าที่บ้านเกิด ได้อย่างไร
จะมองหน้าควายทุยและนกเอี้ยงจ๋าได้อย่างไร
จะมองโคนต้นกระโดน (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง) ปลายนาได้อย่างไร
เพราะสี่ปีก่อนเขากับสายบัวเคยนั่งไหล่ชิดติดกันดูหนังสือการ์ตูนสยองขวัญด้วยกันอย่างแสนหวานใต้ต้นกระโดน หลังจากเกี่ยวก้อยกันไปกินลมชมความสวยงามของป่าช้าประจำหมู่บ้าน ไปชมพิธีการเผาศพไม่มีญาติมองดูเปลวไฟลามเลียกองฟอนอย่างหิวกระหายในสายลมอ้างว้างสิ้นหวัง ฟังเสียงหมาหอนประสานเสียงเยือกเย็นจับใจไพเราะแห่งบทเพลงโหยหวนชวนฝัน
“รอพี่นะ บัว” คำมั่นสัญญาใจของคนทั้งคู่ก่อร่างสร้างรักขึ้นมาก่อนจากลาวันอาลัย
“บัวจะรอพี่เถิง ใต้ต้นกระโดน”
“เถิงจะคิดถึงบัวเสมอ ทั้งยามกิน ยามนอน ยามเดิน ยามนั่ง แม้ยามตำส้มตำ”
“สายบัวจะคิดถึงพี่เถิงเสมอเมื่อมองหน้าควายทุย”
“หน้าพี่เหมือนควายหรือจ๊ะบัว” เขายิ้มเจื่อน นึกไม่ออกว่าตัวเองกับควายใครหล่อกว่ากัน
“เปล่าจ๊ะ บัวคิดว่าควายหน้ามาเหมือนพี่เอง ควายมันน่ารักนะพี่”
“น่ารักตรงไหน”
“หน้ามันทุยๆดี”
ลมหวนพัดครืนราวจะเป็นพยานในสัญญารัก ต้นกระโดนสะบัดกิ่งใบไหวโครมคราม นกกระจอกตัวหนึ่งโผบินออกมาอย่างตกใจ ปฏิกิริยาของหนุ่มเถิงรวดเร็วปานสายฟ้าด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่า เขากระโดดสุดแรงลอยตัวเฉียงออกไปด้านข้างสะบัดมือวูบ ไม้ง่ามหนังสะติ๊กคู่ใจติดมือออกมาทันที พร้อมกับลูกกระสุนขนาด 25 ม.ม. ทำจากดินเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมแข็ง เหนี่ยวสายยางง้างยิงออกไปดุจประกายไฟ กระสุนดินพิฆาตยังไม่ถึงตัวแต่รังสีอำมหิตถึงตัวนกกระจอกก่อนแล้ว แต่นกตัวนั้นมิเสียทีเกิดเป็นนก สะบัดปีกเอียงตัวโฉบหลบวิถีกระสุนไปได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียว บินตีวงโค้งกลับมา ปรับแพนหางเอียงปีกโคลงลำตัวไปมาราวเยาะเย้ย ก่อนเชิดหน้าเร่งความเร็วบินสูงหายลับไปกับตา
หนุ่มเถิงยังคงอยู่ในท่วงท่าสวยงามกับการลอยตัว แม้กระทั่งร่างร่วงลงกระแทกพื้น ยังคงรักษาท่วงท่าไว้ได้ แต่หัวใจแตกสลายลงแล้ว ตั้งใจว่าจะทำเท่ ยิงนกโชว์สาวให้เห็นฝีมือยิงหนังสะติ๊กอันเฉียบขาดของนักฆ่าบ้านนา แต่ความผิดพลาดกลับทำลายขวัญและกำลังใจอย่างสิ้นเชิง น้ำตาแห่งความสิ้นหวังเสียใจไหลลงเป็นทางซึมลงพื้นนา หมดสิ้นแล้วกับการทำเท่ บางครั้งชีวิตคล้ายกระสุน ยิงออกไปแล้วบางทีก็ผิดพลาด แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งคนเราสามารถยิงย้ำซ้ำใหม่อีกครั้ง ..อีกครั้ง ..และอีกครั้ง ตามแรงใจมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย เพียงไม่ยอมแพ้สักวันคงยิงโดนเป้าหมายแห่งชีวิตที่ปลายฝัน แต่หนุ่มเถิงคล้ายหมดพลังใจเสียแล้ว ไม่มีปัญญาลุกขึ้นวิ่งไล่ตามยิงนกตัวนั้นอีกต่อไป
ฤา นั่นจะเป็นลางร้าย
ภาพแห่งความหลังไหววูบหายไป หนุ่มเถิงต้องยอมรับความจริงอันแสนขมขื่น หนุ่มบ้านนาทิ้งคนรักจากไปหางานทำในเมืองใหญ่ คนรอคอยที่คอยรอ เป็นฉากโศกนาฏกรรมปรากฏทุกยุคทุกสมัย
ทางเข้าหมู่บ้านผ่านปลายนา ต้นกระโดนพยานรักยังคงยืนต้นรอคอยอยู่เสมอ หลายครั้งยืนส่งคนเดินทางออกไป หลายครั้งยืนรอรับคนเดินทางกลับบ้านนา
สายบัวยืนอยู่ใต้ต้นกระโดน เธอมักจะมายืนรอแทบทุกวัน เพราะยึดมั่นคำสัญญา
กลางแสงระโหยโรยราของดวงตะวัน ภาพหนุ่มเถิงเดินมุ่งหน้ามาคล้ายกำลังลากหัวใจหนักอึ้ง ความละอายใจ ความรู้สึกผิด ผสมผสานปนเปกันยากจำแนกแยกแยะ ความวุ่นวายสับสนทำให้ลืมมองดูเส้นทาง เท้าสะดุดคันนาอย่างจังหัวทิ่มลงทันที แต่ด้วยประสาทสั่งงานฉับไว หนุ่มบ้านนาพลิกตัวลงกับพื้นทันควันกลิ้งไปหลายรอบอย่างสวยงามราวพระเอกหนังหลบลูกปืน ก่อนลุกขึ้นมานั่งชันเข่าข้างหนึ่งหลังยืดตรงเอียงคอเล็กน้อย สายตาเข้มกวาดมองรอบข้าง ปืนในมือส่ายไปมาพร้อมจะลั่นไกได้ทุกเมื่อ เผื่อว่าปีศาจร้ายแห่งท้องทุ่งจะตะกายขึ้นมาจากพื้นดินด้วยร่างเน่าเฟะชวนสยดสยอง เป็นอีกครั้งที่เขาเพิ่งรู้ว่าไม่มีปืนอยู่ในมือ
แม้แต่คันนายังต่อต้านกลั่นแกล้ง ถ้าเจอเจ้าทุยมันคงเมินหน้าใส่แบบควายงอน กลับถึงบ้านพ่อแม่คงชักบันไดขึ้นเรือน ไม่ให้เข้าบ้าน ไอ้ด่างหมาประจำถิ่นคงเดินหนี ผีบ้านบ้านเรือนคงออกมาแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างสาแก่ใจ คิดแล้วช่างแสนเศร้าเหลือเกิน
มือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้เห็นในสายตาพร่ามัวเลือนรางเพราะรื้นน้ำตา มือของสายบัว สาวบ้านนา คนรักเก่าที่บ้านเกิดนั่นเอง
หนุ่มเถิงฝืนใจเงยหน้าขึ้นมอง สายบัวยังคงเป็นสายบัวคนเดิม วันเวลาไม่อาจเปลี่ยนแปลงความมั่นคง วันเวลาไม่เคยละลายความรักความคิดถึงความจริงใจของของสาวบ้านนา ไม่ว่าสรรพสิ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน ความรักของสายบัวยังคงมั่นคงเหมือนต้นกระโดนตำนานพยานรัก
“บัวรอพี่เถิงเสมอ ใต้ต้นกระโดน นานแค่ไหนก็จะรอ”
น้ำตาของลูกผู้ชายชื่อไอ้เถิงร่วงพรูลงทันที คำพูดซื่อๆ ของสายบัวตอกย้ำความรู้สึกผิดให้ปะทุท่วมท้นล้นทะลักจากหัวใจอันร้าวราน ทำไมเขาถึงผละหนีจากเธอไปได้ ทำไมต้องทิ้งบ้านนาไปหาความฝันเลื่อนลอยไร้แก่นสาร โดยคิดว่าบริษัทส้มตำจะไปด้วยดี คิดฝันลมๆแล้งๆ ว่าจะมีเสือมองพบเห็น แล้วพาไปเข้าวงการภาพยนตร์คนเห็นผีนี่หรือคน ทำไมมองข้ามน้ำใจงดงามบริสุทธิ์ของสาวบ้านนาป่าดงไปได้ ทำไมถึงต้องเป็นเรา
พลังใจกลับมาอีกครั้งแม้ว่ายังระริกร้าว หนุ่มเถิงกุมมือสายบัวยันกายลุกขึ้น แทบไม่กล้ามองสาวคนรักเพราะความรู้สึกผิดยังดิ้นพราดอยู่ในหัวใจ เอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือ เต็มไปด้วยความรู้สึกสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดสุดบรรยาย
“บัว พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ”
เป็นคำขอโทษจากคำพูดและหัวใจของหนุ่มบ้านนาผู้หลงผิด “พี่ขอโทษด้วยที่ทิ้งบัวไปเมืองกรุง จนร้านส้มตำเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันระหว่างพวกแรงงานเขมรและแรงงานเมียนมา จนพี่โดนลูกหลงถูกยิงตายคาครกส้มตำ พี่เสียใจจริงๆ ยกโทษให้พี่ด้วยนะจ๊ะบัว”
สายบัวยิ้มเศร้าๆ มองหน้าหนุ่มคนรักที่รอคอยมาหลายปี สายตาเต็มเปี่ยมด้วยแววแห่งความรัก และการให้อภัยไม่เคยจืดจางห่างหาย
“พี่เถิงไม่ต้องเสียใจหรอกจ๊ะ พวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว สามเดือนก่อนบัวผูกคอตายใต้ต้นกระโดนต้นนี้ เพราะเสียใจที่พี่เถิงไม่เคยส่งข่าวกลับมาเลย แต่ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะจ๊ะ พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
การรอคอยสิ้นสุดลง สายลมเยือกเย็นพัดวูบผ่านไป ร่างของสองหนุ่มสาวจางหายไปในอากาศกับลำแสงสุดท้าย เมื่อม่านดำแห่งค่ำคืนมาเยือน เสียงใบไม้พลิกไหวสะบัดใบคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของคนรักกำลังพูดคุยกันอย่างสุขสมหวัง เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นเป็นบทเพลงบรรเลงกล่อมขับขานวิญญาณรักแห่งท้องทุ่งบ้านนา
“พวกคุณเขียนเรื่องสั้นบ้าบอ อะไรกัน”
บรรณาธิการวิธัต อุตสาหกรรม แห่งสำนักพิมพ์บันเทิงสาน ขว้างต้นฉบับที่มีเพียงสองสามแผ่นลงบนโต๊ะอย่างแรง ต่อหน้าหนุ่มสาวสี่คนผู้นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สายตาหลังแว่นมีทั้งความไม่เข้าใจและไม่พอใจ
“ใครที่ไหนบ้าง เขียนเรื่องผิดๆมั่วๆ แบบนี้ ตัวละครก็เหมือนคนโรคประสาทบรรยายเหมือนคนโรคจิต ใส่เข้าไปได้ยังไง มั่วกันไปหมด ทั้งฉากแอคชั่น ทั้งฉากสยอง ฉากมาม่า ฉากผีบ้าผีบอ พวกคุณคิดจะทำให้ผมบ้าตายหรือยังไง”
“อ้าว....ก็บอกอบอกให้พวกเราสี่คนร่วมมือกันเขียนเรื่องสั้นเรื่องเดียวกันไม่ใช่หรือคะ” มีมี่นักเขียนสาวหน้าไฟแรงเป็นคนตอบด้วยน้ำเสียงไม่อ่อนข้อให้ เธอเป็นนักเขียนแนวชีวิตรักคนหนึ่งกำลังโด่งดัง มีผลงานตีพิมพ์หลายเล่ม “และบอกอเองยังสั่งว่าให้พวกเราประสานลายมือพวกเราเข้าด้วยกันให้ได้ ทั้งคุณปูเป้ นักเขียนแนวแอคชั่น คุณธวัช นักเขียนแนวสยองขวัญ คุณจอยนักเขียนแนวผีบ้าบอคอแตก พวกเราสี่คนทำเต็มที่แล้วนะคะ”
“แต่....”
ไม่มีแต่” มีมี่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เธอลุกขึ้นจับต้นฉบับขึ้นมาแล้วเหวี่ยงลงบนโต๊ะแบบเดียวกับที่ บรรณาธิการหนุ่มทำบ้างเพื่อไม่ให้เสียเปรียบทางบุคลิกภาพ
“ตามสัญญาคุณต้องจ่ายค่าต้นฉบับให้พวกเราทุกคน เป็นแนวคิดโครงการพิเศษของคุณเอง เพราะคุณอยากเป็นหัวหอกผู้นำเปิดแนวทางใหม่ให้นักเขียน โดยการเขียนร่วมกันแบบผสมผสาน พวกเราก็เขียนให้แล้ว ถ้าไม่พอใจก็แค่จ่ายเงินที่เหลือมา อย่าเรื่องมาก ต้นฉบับถ้าไม่เอาก็ว่ามา พวกเราจะได้เอาไปให้สำนักพิมพ์อื่น เพราะในสัญญาไม่ได้บังคับห้ามหวง”
ว่าแล้วคว้าต้นฉบับขึ้นมาอีกครั้ง บรรณาธิการหนุ่มรีบตะครุบเอาไว้ก่อนอย่างหวุดหวิด
"ไม่มีทาง ผมจ่ายเงินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังไงก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน แล้วผมจะตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะเอาไปลงในหนังสือค้างหัวเราะหรือเปล่า ว่าแต่พวกคุณสามคนไม่มีอะไรจะพูดหรือครับ”
ประโยคหลัง บรรณาธิการหนุ่มหันไปถามสามหนุ่มนักเขียนผู้นั่งนิ่งไม่มีปากไม่มีเสียงตั้งแต่แรก คนตอบคำถามยังคงเป็นสาวมั่นมีมี่เช่นเคย
“อ๋อ...ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้เป็นคนพูดคนเดียว เขียนด้วยกันคุณยังรับไม่ได้ ถ้าพวกเราสี่คนผสมผสานกันพูด คุณจะไม่บ้าตายไปก่อนหรือคะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะคะ พวกเราได้เงิน บอกอได้เรื่องตามข้อตกลง”
“ก็ได้....ก็ได้ พวกคุณชนะ บ่ายนี้เงินที่เหลือจะโอนเข้าบัญชีของพวกคนทุกคนตามสัญญา เอาล่ะไปได้แล้ว ผมจะทำงาน”
พูดจบบรรณาธิการหนุ่มโบกมือเป็นเชิงขอเวลาส่วนตัว นักเขียนทั้งสี่พากันกลั้นยิ้ม ขณะพากันทยอยเดินออกจากห้องไป วิธัตเอามือบีบขมับตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนหยิบต้นฉบับเรื่องสั้นมาอ่านอีกครั้งอย่างพิจารณาถี่ถ้วน แล้วรอยยิ้มก็เริ่มปรากฏบนใบหน้าก่อนขยายกว้างเป็นเสียงหัวเราะลั่นราวคนบ้า
“เออ..บ้าก็บ้า...! มันแกล้งกันชัดๆ เจ้าพวกบ้า... ! มีที่ไหนเขียนกันแบบนี้ บางทีทำอะไรบ้าๆ ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ เสียเงินซื้อเรื่องมาแล้ว ก็ต้องลองเสี่ยงลงพิมพ์ดู ส่งไปขายในโรงพยาบาลบ้าคงขายดีเป็นแน่แท้ ว่าแต่ตูข้าทำอะไรผิดไปหนอนี่ เจ้าข้าเอ้ย..! มันเป็นยังงี้ได้ยังไง”
จบแล้วเด้อครับ
บ้านนา สัญญารัก
ตะวันแดงแต่งแต้มฟากฟ้าไกล ปุยเมฆหม่นลอยฟ่องอ้อนขุนเขาสูง สายลมเศร้าลูบไล้แมกไม้ บรรยากาศอึมครึมราวกับภูตผีนรกจะกระโจนออกมาจากฝันร้าย รถประจำทางวิ่งคลุกฝุ่นศิลาแลงแดงสวยมาจอดหน้าศาลาริมทาง ซึ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับสาวบ้านนาผิดหวังรัก มาแขวนคอตายอย่างหดหู่เดียวดายกลายเป็นวิญญาณร้ายสิงสู่คอยหลอกหลอนผู้คน
หนุ่มเถิง กระโดดลงจากท้ายรถด้วยประสาทตื่นตัวระแวดระวังสุดขีด ก้มหัวต่ำราวกับทหารกล้าท้ารบในสมรภูมิเลือด ด้วยอาการหัวใจเต้นแรง มือขวาล้วงลงไปในย่ามผ้าประจำตำแหน่งกุมด้ามสากบินไร้เงาแน่น พร้อมจะขว้างออกไปหากโดนโจมตีด้วยศัตรู แต่นอกจากรถสองแถวชราภาพใกล้วันสิ้นอายุขัยที่กำลังคลานออกไปอย่างเศร้าสร้อย ก็ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชิวิตอื่นใดให้เห็น เขาถอนลมหายใจยาวบรรจงยิ้มมุมปากอย่างโล่งอก ควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า ดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งคาบไว้มุมปาก เตรียมจุดไม้ขีด แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีทั้งซองบุหรี่และไม้ขีดไฟ เขาไม่เคยบุหรี่และไม่เคยพกบุหรี่ติดตัวมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาบบุหรี่สูบ หนุ่มบ้านนานึกอย่างแปลกใจก่อนสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณอย่างไม่ไว้วางใจ
เปล่า...หนุ่มเถิงไม่เคยมีศัตรู เขาเพียงซ้อมท่วงท่าการแสดงเอาไว้ เผื่อว่าอนาคตจะมีเสือมองมาทาบทามให้ไปเป็นพระเอกหนังกับเขาบ้างเท่านั้น หลายปีกับการเดินทางเข้าเมืองกรุง ไปประกอบกิจการก่อตั้งบริษัทส่วนตัวเล็กๆโดยการลงทุนเปิดเพิงสุนัขแหงน ขายส้มตำหน้าโรงงานแห่งหนึ่ง จนพบรักกับสาวแรงงานชาวเขมร หลายปีกับการลืมกลิ่นโคลนสาบควายท้องทุ่งรวงทอง ในที่สุดบริษัทส่วนตัวล่มสลาย เมื่อโรงงานปิดตัวลงเพราะแรงงานต่างชาติถูกผลักออกนอกประเทศ รวมทั้งความรักที่หลุดลอย รักที่ถูกลืม เสียงหัวใจที่ไร้เธอ ช่างเขาเถิดนะหัวใจ หนุ่มเถิงต้องกลับสู่บ้านนาอย่างอดสู เขาจะมองหน้าสายบัว คนรักเก่าที่บ้านเกิด ได้อย่างไร
จะมองหน้าควายทุยและนกเอี้ยงจ๋าได้อย่างไร
จะมองโคนต้นกระโดน (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง) ปลายนาได้อย่างไร
เพราะสี่ปีก่อนเขากับสายบัวเคยนั่งไหล่ชิดติดกันดูหนังสือการ์ตูนสยองขวัญด้วยกันอย่างแสนหวานใต้ต้นกระโดน หลังจากเกี่ยวก้อยกันไปกินลมชมความสวยงามของป่าช้าประจำหมู่บ้าน ไปชมพิธีการเผาศพไม่มีญาติมองดูเปลวไฟลามเลียกองฟอนอย่างหิวกระหายในสายลมอ้างว้างสิ้นหวัง ฟังเสียงหมาหอนประสานเสียงเยือกเย็นจับใจไพเราะแห่งบทเพลงโหยหวนชวนฝัน
“รอพี่นะ บัว” คำมั่นสัญญาใจของคนทั้งคู่ก่อร่างสร้างรักขึ้นมาก่อนจากลาวันอาลัย
“บัวจะรอพี่เถิง ใต้ต้นกระโดน”
“เถิงจะคิดถึงบัวเสมอ ทั้งยามกิน ยามนอน ยามเดิน ยามนั่ง แม้ยามตำส้มตำ”
“สายบัวจะคิดถึงพี่เถิงเสมอเมื่อมองหน้าควายทุย”
“หน้าพี่เหมือนควายหรือจ๊ะบัว” เขายิ้มเจื่อน นึกไม่ออกว่าตัวเองกับควายใครหล่อกว่ากัน
“เปล่าจ๊ะ บัวคิดว่าควายหน้ามาเหมือนพี่เอง ควายมันน่ารักนะพี่”
“น่ารักตรงไหน”
“หน้ามันทุยๆดี”
ลมหวนพัดครืนราวจะเป็นพยานในสัญญารัก ต้นกระโดนสะบัดกิ่งใบไหวโครมคราม นกกระจอกตัวหนึ่งโผบินออกมาอย่างตกใจ ปฏิกิริยาของหนุ่มเถิงรวดเร็วปานสายฟ้าด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่า เขากระโดดสุดแรงลอยตัวเฉียงออกไปด้านข้างสะบัดมือวูบ ไม้ง่ามหนังสะติ๊กคู่ใจติดมือออกมาทันที พร้อมกับลูกกระสุนขนาด 25 ม.ม. ทำจากดินเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมแข็ง เหนี่ยวสายยางง้างยิงออกไปดุจประกายไฟ กระสุนดินพิฆาตยังไม่ถึงตัวแต่รังสีอำมหิตถึงตัวนกกระจอกก่อนแล้ว แต่นกตัวนั้นมิเสียทีเกิดเป็นนก สะบัดปีกเอียงตัวโฉบหลบวิถีกระสุนไปได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียว บินตีวงโค้งกลับมา ปรับแพนหางเอียงปีกโคลงลำตัวไปมาราวเยาะเย้ย ก่อนเชิดหน้าเร่งความเร็วบินสูงหายลับไปกับตา
หนุ่มเถิงยังคงอยู่ในท่วงท่าสวยงามกับการลอยตัว แม้กระทั่งร่างร่วงลงกระแทกพื้น ยังคงรักษาท่วงท่าไว้ได้ แต่หัวใจแตกสลายลงแล้ว ตั้งใจว่าจะทำเท่ ยิงนกโชว์สาวให้เห็นฝีมือยิงหนังสะติ๊กอันเฉียบขาดของนักฆ่าบ้านนา แต่ความผิดพลาดกลับทำลายขวัญและกำลังใจอย่างสิ้นเชิง น้ำตาแห่งความสิ้นหวังเสียใจไหลลงเป็นทางซึมลงพื้นนา หมดสิ้นแล้วกับการทำเท่ บางครั้งชีวิตคล้ายกระสุน ยิงออกไปแล้วบางทีก็ผิดพลาด แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งคนเราสามารถยิงย้ำซ้ำใหม่อีกครั้ง ..อีกครั้ง ..และอีกครั้ง ตามแรงใจมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย เพียงไม่ยอมแพ้สักวันคงยิงโดนเป้าหมายแห่งชีวิตที่ปลายฝัน แต่หนุ่มเถิงคล้ายหมดพลังใจเสียแล้ว ไม่มีปัญญาลุกขึ้นวิ่งไล่ตามยิงนกตัวนั้นอีกต่อไป
ฤา นั่นจะเป็นลางร้าย
ภาพแห่งความหลังไหววูบหายไป หนุ่มเถิงต้องยอมรับความจริงอันแสนขมขื่น หนุ่มบ้านนาทิ้งคนรักจากไปหางานทำในเมืองใหญ่ คนรอคอยที่คอยรอ เป็นฉากโศกนาฏกรรมปรากฏทุกยุคทุกสมัย
ทางเข้าหมู่บ้านผ่านปลายนา ต้นกระโดนพยานรักยังคงยืนต้นรอคอยอยู่เสมอ หลายครั้งยืนส่งคนเดินทางออกไป หลายครั้งยืนรอรับคนเดินทางกลับบ้านนา
สายบัวยืนอยู่ใต้ต้นกระโดน เธอมักจะมายืนรอแทบทุกวัน เพราะยึดมั่นคำสัญญา
กลางแสงระโหยโรยราของดวงตะวัน ภาพหนุ่มเถิงเดินมุ่งหน้ามาคล้ายกำลังลากหัวใจหนักอึ้ง ความละอายใจ ความรู้สึกผิด ผสมผสานปนเปกันยากจำแนกแยกแยะ ความวุ่นวายสับสนทำให้ลืมมองดูเส้นทาง เท้าสะดุดคันนาอย่างจังหัวทิ่มลงทันที แต่ด้วยประสาทสั่งงานฉับไว หนุ่มบ้านนาพลิกตัวลงกับพื้นทันควันกลิ้งไปหลายรอบอย่างสวยงามราวพระเอกหนังหลบลูกปืน ก่อนลุกขึ้นมานั่งชันเข่าข้างหนึ่งหลังยืดตรงเอียงคอเล็กน้อย สายตาเข้มกวาดมองรอบข้าง ปืนในมือส่ายไปมาพร้อมจะลั่นไกได้ทุกเมื่อ เผื่อว่าปีศาจร้ายแห่งท้องทุ่งจะตะกายขึ้นมาจากพื้นดินด้วยร่างเน่าเฟะชวนสยดสยอง เป็นอีกครั้งที่เขาเพิ่งรู้ว่าไม่มีปืนอยู่ในมือ
แม้แต่คันนายังต่อต้านกลั่นแกล้ง ถ้าเจอเจ้าทุยมันคงเมินหน้าใส่แบบควายงอน กลับถึงบ้านพ่อแม่คงชักบันไดขึ้นเรือน ไม่ให้เข้าบ้าน ไอ้ด่างหมาประจำถิ่นคงเดินหนี ผีบ้านบ้านเรือนคงออกมาแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างสาแก่ใจ คิดแล้วช่างแสนเศร้าเหลือเกิน
มือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้เห็นในสายตาพร่ามัวเลือนรางเพราะรื้นน้ำตา มือของสายบัว สาวบ้านนา คนรักเก่าที่บ้านเกิดนั่นเอง
หนุ่มเถิงฝืนใจเงยหน้าขึ้นมอง สายบัวยังคงเป็นสายบัวคนเดิม วันเวลาไม่อาจเปลี่ยนแปลงความมั่นคง วันเวลาไม่เคยละลายความรักความคิดถึงความจริงใจของของสาวบ้านนา ไม่ว่าสรรพสิ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน ความรักของสายบัวยังคงมั่นคงเหมือนต้นกระโดนตำนานพยานรัก
“บัวรอพี่เถิงเสมอ ใต้ต้นกระโดน นานแค่ไหนก็จะรอ”
น้ำตาของลูกผู้ชายชื่อไอ้เถิงร่วงพรูลงทันที คำพูดซื่อๆ ของสายบัวตอกย้ำความรู้สึกผิดให้ปะทุท่วมท้นล้นทะลักจากหัวใจอันร้าวราน ทำไมเขาถึงผละหนีจากเธอไปได้ ทำไมต้องทิ้งบ้านนาไปหาความฝันเลื่อนลอยไร้แก่นสาร โดยคิดว่าบริษัทส้มตำจะไปด้วยดี คิดฝันลมๆแล้งๆ ว่าจะมีเสือมองพบเห็น แล้วพาไปเข้าวงการภาพยนตร์คนเห็นผีนี่หรือคน ทำไมมองข้ามน้ำใจงดงามบริสุทธิ์ของสาวบ้านนาป่าดงไปได้ ทำไมถึงต้องเป็นเรา
พลังใจกลับมาอีกครั้งแม้ว่ายังระริกร้าว หนุ่มเถิงกุมมือสายบัวยันกายลุกขึ้น แทบไม่กล้ามองสาวคนรักเพราะความรู้สึกผิดยังดิ้นพราดอยู่ในหัวใจ เอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือ เต็มไปด้วยความรู้สึกสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดสุดบรรยาย
“บัว พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ”
เป็นคำขอโทษจากคำพูดและหัวใจของหนุ่มบ้านนาผู้หลงผิด “พี่ขอโทษด้วยที่ทิ้งบัวไปเมืองกรุง จนร้านส้มตำเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันระหว่างพวกแรงงานเขมรและแรงงานเมียนมา จนพี่โดนลูกหลงถูกยิงตายคาครกส้มตำ พี่เสียใจจริงๆ ยกโทษให้พี่ด้วยนะจ๊ะบัว”
สายบัวยิ้มเศร้าๆ มองหน้าหนุ่มคนรักที่รอคอยมาหลายปี สายตาเต็มเปี่ยมด้วยแววแห่งความรัก และการให้อภัยไม่เคยจืดจางห่างหาย
“พี่เถิงไม่ต้องเสียใจหรอกจ๊ะ พวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว สามเดือนก่อนบัวผูกคอตายใต้ต้นกระโดนต้นนี้ เพราะเสียใจที่พี่เถิงไม่เคยส่งข่าวกลับมาเลย แต่ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะจ๊ะ พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
การรอคอยสิ้นสุดลง สายลมเยือกเย็นพัดวูบผ่านไป ร่างของสองหนุ่มสาวจางหายไปในอากาศกับลำแสงสุดท้าย เมื่อม่านดำแห่งค่ำคืนมาเยือน เสียงใบไม้พลิกไหวสะบัดใบคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของคนรักกำลังพูดคุยกันอย่างสุขสมหวัง เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นเป็นบทเพลงบรรเลงกล่อมขับขานวิญญาณรักแห่งท้องทุ่งบ้านนา
“พวกคุณเขียนเรื่องสั้นบ้าบอ อะไรกัน”
บรรณาธิการวิธัต อุตสาหกรรม แห่งสำนักพิมพ์บันเทิงสาน ขว้างต้นฉบับที่มีเพียงสองสามแผ่นลงบนโต๊ะอย่างแรง ต่อหน้าหนุ่มสาวสี่คนผู้นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สายตาหลังแว่นมีทั้งความไม่เข้าใจและไม่พอใจ
“ใครที่ไหนบ้าง เขียนเรื่องผิดๆมั่วๆ แบบนี้ ตัวละครก็เหมือนคนโรคประสาทบรรยายเหมือนคนโรคจิต ใส่เข้าไปได้ยังไง มั่วกันไปหมด ทั้งฉากแอคชั่น ทั้งฉากสยอง ฉากมาม่า ฉากผีบ้าผีบอ พวกคุณคิดจะทำให้ผมบ้าตายหรือยังไง”
“อ้าว....ก็บอกอบอกให้พวกเราสี่คนร่วมมือกันเขียนเรื่องสั้นเรื่องเดียวกันไม่ใช่หรือคะ” มีมี่นักเขียนสาวหน้าไฟแรงเป็นคนตอบด้วยน้ำเสียงไม่อ่อนข้อให้ เธอเป็นนักเขียนแนวชีวิตรักคนหนึ่งกำลังโด่งดัง มีผลงานตีพิมพ์หลายเล่ม “และบอกอเองยังสั่งว่าให้พวกเราประสานลายมือพวกเราเข้าด้วยกันให้ได้ ทั้งคุณปูเป้ นักเขียนแนวแอคชั่น คุณธวัช นักเขียนแนวสยองขวัญ คุณจอยนักเขียนแนวผีบ้าบอคอแตก พวกเราสี่คนทำเต็มที่แล้วนะคะ”
“แต่....”
ไม่มีแต่” มีมี่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เธอลุกขึ้นจับต้นฉบับขึ้นมาแล้วเหวี่ยงลงบนโต๊ะแบบเดียวกับที่ บรรณาธิการหนุ่มทำบ้างเพื่อไม่ให้เสียเปรียบทางบุคลิกภาพ
“ตามสัญญาคุณต้องจ่ายค่าต้นฉบับให้พวกเราทุกคน เป็นแนวคิดโครงการพิเศษของคุณเอง เพราะคุณอยากเป็นหัวหอกผู้นำเปิดแนวทางใหม่ให้นักเขียน โดยการเขียนร่วมกันแบบผสมผสาน พวกเราก็เขียนให้แล้ว ถ้าไม่พอใจก็แค่จ่ายเงินที่เหลือมา อย่าเรื่องมาก ต้นฉบับถ้าไม่เอาก็ว่ามา พวกเราจะได้เอาไปให้สำนักพิมพ์อื่น เพราะในสัญญาไม่ได้บังคับห้ามหวง”
ว่าแล้วคว้าต้นฉบับขึ้นมาอีกครั้ง บรรณาธิการหนุ่มรีบตะครุบเอาไว้ก่อนอย่างหวุดหวิด
"ไม่มีทาง ผมจ่ายเงินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังไงก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน แล้วผมจะตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะเอาไปลงในหนังสือค้างหัวเราะหรือเปล่า ว่าแต่พวกคุณสามคนไม่มีอะไรจะพูดหรือครับ”
ประโยคหลัง บรรณาธิการหนุ่มหันไปถามสามหนุ่มนักเขียนผู้นั่งนิ่งไม่มีปากไม่มีเสียงตั้งแต่แรก คนตอบคำถามยังคงเป็นสาวมั่นมีมี่เช่นเคย
“อ๋อ...ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้เป็นคนพูดคนเดียว เขียนด้วยกันคุณยังรับไม่ได้ ถ้าพวกเราสี่คนผสมผสานกันพูด คุณจะไม่บ้าตายไปก่อนหรือคะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะคะ พวกเราได้เงิน บอกอได้เรื่องตามข้อตกลง”
“ก็ได้....ก็ได้ พวกคุณชนะ บ่ายนี้เงินที่เหลือจะโอนเข้าบัญชีของพวกคนทุกคนตามสัญญา เอาล่ะไปได้แล้ว ผมจะทำงาน”
พูดจบบรรณาธิการหนุ่มโบกมือเป็นเชิงขอเวลาส่วนตัว นักเขียนทั้งสี่พากันกลั้นยิ้ม ขณะพากันทยอยเดินออกจากห้องไป วิธัตเอามือบีบขมับตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนหยิบต้นฉบับเรื่องสั้นมาอ่านอีกครั้งอย่างพิจารณาถี่ถ้วน แล้วรอยยิ้มก็เริ่มปรากฏบนใบหน้าก่อนขยายกว้างเป็นเสียงหัวเราะลั่นราวคนบ้า
“เออ..บ้าก็บ้า...! มันแกล้งกันชัดๆ เจ้าพวกบ้า... ! มีที่ไหนเขียนกันแบบนี้ บางทีทำอะไรบ้าๆ ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ เสียเงินซื้อเรื่องมาแล้ว ก็ต้องลองเสี่ยงลงพิมพ์ดู ส่งไปขายในโรงพยาบาลบ้าคงขายดีเป็นแน่แท้ ว่าแต่ตูข้าทำอะไรผิดไปหนอนี่ เจ้าข้าเอ้ย..! มันเป็นยังงี้ได้ยังไง”
จบแล้วเด้อครับ