บ้านนา สัญญารัก

กระทู้สนทนา
.




             ตะวันแดงแต่งแต้มฟากฟ้าไกล ปุยเมฆหม่นลอยฟ่องอ้อนขุนเขาสูง สายลมเศร้าลูบไล้แมกไม้ บรรยากาศอึมครึมราวกับภูตผีนรกจะกระโจนออกมาจากฝันร้าย รถประจำทางวิ่งคลุกฝุ่นศิลาแลงแดงสวยมาจอดหน้าศาลาริมทาง ซึ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับสาวบ้านนาผิดหวังรัก มาแขวนคอตายอย่างหดหู่เดียวดายกลายเป็นวิญญาณร้ายสิงสู่คอยหลอกหลอนผู้คน

             หนุ่มเถิง กระโดดลงจากท้ายรถด้วยประสาทตื่นตัวระแวดระวังสุดขีด ก้มหัวต่ำราวกับทหารกล้าท้ารบในสมรภูมิเลือด ด้วยอาการหัวใจเต้นแรง มือขวาล้วงลงไปในย่ามผ้าประจำตำแหน่งกุมด้ามสากบินไร้เงาแน่น พร้อมจะขว้างออกไปหากโดนโจมตีด้วยศัตรู  แต่นอกจากรถสองแถวชราภาพใกล้วันสิ้นอายุขัยที่กำลังคลานออกไปอย่างเศร้าสร้อย ก็ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชิวิตอื่นใดให้เห็น  เขาถอนลมหายใจยาวบรรจงยิ้มมุมปากอย่างโล่งอก ควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า ดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งคาบไว้มุมปาก เตรียมจุดไม้ขีด แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีทั้งซองบุหรี่และไม้ขีดไฟ เขาไม่เคยบุหรี่และไม่เคยพกบุหรี่ติดตัวมาก่อน  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาบบุหรี่สูบ  หนุ่มบ้านนานึกอย่างแปลกใจก่อนสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณอย่างไม่ไว้วางใจ

             เปล่า...หนุ่มเถิงไม่เคยมีศัตรู เขาเพียงซ้อมท่วงท่าการแสดงเอาไว้ เผื่อว่าอนาคตจะมีเสือมองมาทาบทามให้ไปเป็นพระเอกหนังกับเขาบ้างเท่านั้น  หลายปีกับการเดินทางเข้าเมืองกรุง ไปประกอบกิจการก่อตั้งบริษัทส่วนตัวเล็กๆโดยการลงทุนเปิดเพิงสุนัขแหงน ขายส้มตำหน้าโรงงานแห่งหนึ่ง จนพบรักกับสาวแรงงานชาวเขมร   หลายปีกับการลืมกลิ่นโคลนสาบควายท้องทุ่งรวงทอง  ในที่สุดบริษัทส่วนตัวล่มสลาย เมื่อโรงงานปิดตัวลงเพราะแรงงานต่างชาติถูกผลักออกนอกประเทศ  รวมทั้งความรักที่หลุดลอย  รักที่ถูกลืม  เสียงหัวใจที่ไร้เธอ ช่างเขาเถิดนะหัวใจ หนุ่มเถิงต้องกลับสู่บ้านนาอย่างอดสู เขาจะมองหน้าสายบัว   คนรักเก่าที่บ้านเกิด ได้อย่างไร

             จะมองหน้าควายทุยและนกเอี้ยงจ๋าได้อย่างไร

             จะมองโคนต้นกระโดน (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง) ปลายนาได้อย่างไร

             เพราะสี่ปีก่อนเขากับสายบัวเคยนั่งไหล่ชิดติดกันดูหนังสือการ์ตูนสยองขวัญด้วยกันอย่างแสนหวานใต้ต้นกระโดน หลังจากเกี่ยวก้อยกันไปกินลมชมความสวยงามของป่าช้าประจำหมู่บ้าน ไปชมพิธีการเผาศพไม่มีญาติมองดูเปลวไฟลามเลียกองฟอนอย่างหิวกระหายในสายลมอ้างว้างสิ้นหวัง  ฟังเสียงหมาหอนประสานเสียงเยือกเย็นจับใจไพเราะแห่งบทเพลงโหยหวนชวนฝัน

             “รอพี่นะ บัว”   คำมั่นสัญญาใจของคนทั้งคู่ก่อร่างสร้างรักขึ้นมาก่อนจากลาวันอาลัย

             “บัวจะรอพี่เถิง ใต้ต้นกระโดน”

             “เถิงจะคิดถึงบัวเสมอ ทั้งยามกิน ยามนอน ยามเดิน ยามนั่ง  แม้ยามตำส้มตำ”

             “สายบัวจะคิดถึงพี่เถิงเสมอเมื่อมองหน้าควายทุย”

             “หน้าพี่เหมือนควายหรือจ๊ะบัว”   เขายิ้มเจื่อน นึกไม่ออกว่าตัวเองกับควายใครหล่อกว่ากัน

             “เปล่าจ๊ะ  บัวคิดว่าควายหน้ามาเหมือนพี่เอง ควายมันน่ารักนะพี่”

             “น่ารักตรงไหน”

             “หน้ามันทุยๆดี”

             ลมหวนพัดครืนราวจะเป็นพยานในสัญญารัก ต้นกระโดนสะบัดกิ่งใบไหวโครมคราม นกกระจอกตัวหนึ่งโผบินออกมาอย่างตกใจ ปฏิกิริยาของหนุ่มเถิงรวดเร็วปานสายฟ้าด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่า เขากระโดดสุดแรงลอยตัวเฉียงออกไปด้านข้างสะบัดมือวูบ ไม้ง่ามหนังสะติ๊กคู่ใจติดมือออกมาทันที พร้อมกับลูกกระสุนขนาด 25 ม.ม. ทำจากดินเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมแข็ง  เหนี่ยวสายยางง้างยิงออกไปดุจประกายไฟ กระสุนดินพิฆาตยังไม่ถึงตัวแต่รังสีอำมหิตถึงตัวนกกระจอกก่อนแล้ว  แต่นกตัวนั้นมิเสียทีเกิดเป็นนก สะบัดปีกเอียงตัวโฉบหลบวิถีกระสุนไปได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียว บินตีวงโค้งกลับมา ปรับแพนหางเอียงปีกโคลงลำตัวไปมาราวเยาะเย้ย ก่อนเชิดหน้าเร่งความเร็วบินสูงหายลับไปกับตา

             หนุ่มเถิงยังคงอยู่ในท่วงท่าสวยงามกับการลอยตัว แม้กระทั่งร่างร่วงลงกระแทกพื้น ยังคงรักษาท่วงท่าไว้ได้ แต่หัวใจแตกสลายลงแล้ว ตั้งใจว่าจะทำเท่ ยิงนกโชว์สาวให้เห็นฝีมือยิงหนังสะติ๊กอันเฉียบขาดของนักฆ่าบ้านนา แต่ความผิดพลาดกลับทำลายขวัญและกำลังใจอย่างสิ้นเชิง น้ำตาแห่งความสิ้นหวังเสียใจไหลลงเป็นทางซึมลงพื้นนา   หมดสิ้นแล้วกับการทำเท่ บางครั้งชีวิตคล้ายกระสุน ยิงออกไปแล้วบางทีก็ผิดพลาด  แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งคนเราสามารถยิงย้ำซ้ำใหม่อีกครั้ง  ..อีกครั้ง ..และอีกครั้ง ตามแรงใจมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย เพียงไม่ยอมแพ้สักวันคงยิงโดนเป้าหมายแห่งชีวิตที่ปลายฝัน   แต่หนุ่มเถิงคล้ายหมดพลังใจเสียแล้ว ไม่มีปัญญาลุกขึ้นวิ่งไล่ตามยิงนกตัวนั้นอีกต่อไป

             ฤา นั่นจะเป็นลางร้าย

             ภาพแห่งความหลังไหววูบหายไป หนุ่มเถิงต้องยอมรับความจริงอันแสนขมขื่น  หนุ่มบ้านนาทิ้งคนรักจากไปหางานทำในเมืองใหญ่  คนรอคอยที่คอยรอ เป็นฉากโศกนาฏกรรมปรากฏทุกยุคทุกสมัย

             ทางเข้าหมู่บ้านผ่านปลายนา ต้นกระโดนพยานรักยังคงยืนต้นรอคอยอยู่เสมอ หลายครั้งยืนส่งคนเดินทางออกไป  หลายครั้งยืนรอรับคนเดินทางกลับบ้านนา

             สายบัวยืนอยู่ใต้ต้นกระโดน   เธอมักจะมายืนรอแทบทุกวัน เพราะยึดมั่นคำสัญญา

             กลางแสงระโหยโรยราของดวงตะวัน  ภาพหนุ่มเถิงเดินมุ่งหน้ามาคล้ายกำลังลากหัวใจหนักอึ้ง  ความละอายใจ ความรู้สึกผิด ผสมผสานปนเปกันยากจำแนกแยกแยะ ความวุ่นวายสับสนทำให้ลืมมองดูเส้นทาง เท้าสะดุดคันนาอย่างจังหัวทิ่มลงทันที  แต่ด้วยประสาทสั่งงานฉับไว หนุ่มบ้านนาพลิกตัวลงกับพื้นทันควันกลิ้งไปหลายรอบอย่างสวยงามราวพระเอกหนังหลบลูกปืน ก่อนลุกขึ้นมานั่งชันเข่าข้างหนึ่งหลังยืดตรงเอียงคอเล็กน้อย  สายตาเข้มกวาดมองรอบข้าง ปืนในมือส่ายไปมาพร้อมจะลั่นไกได้ทุกเมื่อ เผื่อว่าปีศาจร้ายแห่งท้องทุ่งจะตะกายขึ้นมาจากพื้นดินด้วยร่างเน่าเฟะชวนสยดสยอง เป็นอีกครั้งที่เขาเพิ่งรู้ว่าไม่มีปืนอยู่ในมือ

             แม้แต่คันนายังต่อต้านกลั่นแกล้ง  ถ้าเจอเจ้าทุยมันคงเมินหน้าใส่แบบควายงอน  กลับถึงบ้านพ่อแม่คงชักบันไดขึ้นเรือน ไม่ให้เข้าบ้าน ไอ้ด่างหมาประจำถิ่นคงเดินหนี  ผีบ้านบ้านเรือนคงออกมาแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างสาแก่ใจ  คิดแล้วช่างแสนเศร้าเหลือเกิน

             มือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้เห็นในสายตาพร่ามัวเลือนรางเพราะรื้นน้ำตา  มือของสายบัว สาวบ้านนา คนรักเก่าที่บ้านเกิดนั่นเอง

             หนุ่มเถิงฝืนใจเงยหน้าขึ้นมอง สายบัวยังคงเป็นสายบัวคนเดิม วันเวลาไม่อาจเปลี่ยนแปลงความมั่นคง  วันเวลาไม่เคยละลายความรักความคิดถึงความจริงใจของของสาวบ้านนา ไม่ว่าสรรพสิ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน ความรักของสายบัวยังคงมั่นคงเหมือนต้นกระโดนตำนานพยานรัก

             “บัวรอพี่เถิงเสมอ ใต้ต้นกระโดน นานแค่ไหนก็จะรอ”

             น้ำตาของลูกผู้ชายชื่อไอ้เถิงร่วงพรูลงทันที  คำพูดซื่อๆ ของสายบัวตอกย้ำความรู้สึกผิดให้ปะทุท่วมท้นล้นทะลักจากหัวใจอันร้าวราน  ทำไมเขาถึงผละหนีจากเธอไปได้ ทำไมต้องทิ้งบ้านนาไปหาความฝันเลื่อนลอยไร้แก่นสาร โดยคิดว่าบริษัทส้มตำจะไปด้วยดี คิดฝันลมๆแล้งๆ ว่าจะมีเสือมองพบเห็น แล้วพาไปเข้าวงการภาพยนตร์คนเห็นผีนี่หรือคน  ทำไมมองข้ามน้ำใจงดงามบริสุทธิ์ของสาวบ้านนาป่าดงไปได้ ทำไมถึงต้องเป็นเรา

             พลังใจกลับมาอีกครั้งแม้ว่ายังระริกร้าว หนุ่มเถิงกุมมือสายบัวยันกายลุกขึ้น แทบไม่กล้ามองสาวคนรักเพราะความรู้สึกผิดยังดิ้นพราดอยู่ในหัวใจ เอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือ เต็มไปด้วยความรู้สึกสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดสุดบรรยาย

            “บัว  พี่ผิดไปแล้ว  พี่ขอโทษ”

             เป็นคำขอโทษจากคำพูดและหัวใจของหนุ่มบ้านนาผู้หลงผิด    “พี่ขอโทษด้วยที่ทิ้งบัวไปเมืองกรุง จนร้านส้มตำเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันระหว่างพวกแรงงานเขมรและแรงงานเมียนมา จนพี่โดนลูกหลงถูกยิงตายคาครกส้มตำ   พี่เสียใจจริงๆ ยกโทษให้พี่ด้วยนะจ๊ะบัว”

             สายบัวยิ้มเศร้าๆ มองหน้าหนุ่มคนรักที่รอคอยมาหลายปี สายตาเต็มเปี่ยมด้วยแววแห่งความรัก และการให้อภัยไม่เคยจืดจางห่างหาย

             “พี่เถิงไม่ต้องเสียใจหรอกจ๊ะ พวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว   สามเดือนก่อนบัวผูกคอตายใต้ต้นกระโดนต้นนี้ เพราะเสียใจที่พี่เถิงไม่เคยส่งข่าวกลับมาเลย แต่ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะจ๊ะ  พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

             การรอคอยสิ้นสุดลง สายลมเยือกเย็นพัดวูบผ่านไป ร่างของสองหนุ่มสาวจางหายไปในอากาศกับลำแสงสุดท้าย เมื่อม่านดำแห่งค่ำคืนมาเยือน เสียงใบไม้พลิกไหวสะบัดใบคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของคนรักกำลังพูดคุยกันอย่างสุขสมหวัง เสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็นเป็นบทเพลงบรรเลงกล่อมขับขานวิญญาณรักแห่งท้องทุ่งบ้านนา




             “พวกคุณเขียนเรื่องสั้นบ้าบอ อะไรกัน”

              บรรณาธิการวิธัต อุตสาหกรรม แห่งสำนักพิมพ์บันเทิงสาน ขว้างต้นฉบับที่มีเพียงสองสามแผ่นลงบนโต๊ะอย่างแรง ต่อหน้าหนุ่มสาวสี่คนผู้นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน สายตาหลังแว่นมีทั้งความไม่เข้าใจและไม่พอใจ

             “ใครที่ไหนบ้าง เขียนเรื่องผิดๆมั่วๆ แบบนี้ ตัวละครก็เหมือนคนโรคประสาทบรรยายเหมือนคนโรคจิต ใส่เข้าไปได้ยังไง มั่วกันไปหมด  ทั้งฉากแอคชั่น ทั้งฉากสยอง  ฉากมาม่า ฉากผีบ้าผีบอ  พวกคุณคิดจะทำให้ผมบ้าตายหรือยังไง”

             “อ้าว....ก็บอกอบอกให้พวกเราสี่คนร่วมมือกันเขียนเรื่องสั้นเรื่องเดียวกันไม่ใช่หรือคะ”    มีมี่นักเขียนสาวหน้าไฟแรงเป็นคนตอบด้วยน้ำเสียงไม่อ่อนข้อให้ เธอเป็นนักเขียนแนวชีวิตรักคนหนึ่งกำลังโด่งดัง มีผลงานตีพิมพ์หลายเล่ม  “และบอกอเองยังสั่งว่าให้พวกเราประสานลายมือพวกเราเข้าด้วยกันให้ได้  ทั้งคุณปูเป้ นักเขียนแนวแอคชั่น  คุณธวัช นักเขียนแนวสยองขวัญ  คุณจอยนักเขียนแนวผีบ้าบอคอแตก พวกเราสี่คนทำเต็มที่แล้วนะคะ”

             “แต่....”

             ไม่มีแต่”  มีมี่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เธอลุกขึ้นจับต้นฉบับขึ้นมาแล้วเหวี่ยงลงบนโต๊ะแบบเดียวกับที่ บรรณาธิการหนุ่มทำบ้างเพื่อไม่ให้เสียเปรียบทางบุคลิกภาพ

             “ตามสัญญาคุณต้องจ่ายค่าต้นฉบับให้พวกเราทุกคน เป็นแนวคิดโครงการพิเศษของคุณเอง เพราะคุณอยากเป็นหัวหอกผู้นำเปิดแนวทางใหม่ให้นักเขียน โดยการเขียนร่วมกันแบบผสมผสาน  พวกเราก็เขียนให้แล้ว  ถ้าไม่พอใจก็แค่จ่ายเงินที่เหลือมา อย่าเรื่องมาก ต้นฉบับถ้าไม่เอาก็ว่ามา พวกเราจะได้เอาไปให้สำนักพิมพ์อื่น เพราะในสัญญาไม่ได้บังคับห้ามหวง”

             ว่าแล้วคว้าต้นฉบับขึ้นมาอีกครั้ง  บรรณาธิการหนุ่มรีบตะครุบเอาไว้ก่อนอย่างหวุดหวิด
  
             "ไม่มีทาง  ผมจ่ายเงินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังไงก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน   แล้วผมจะตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะเอาไปลงในหนังสือค้างหัวเราะหรือเปล่า  ว่าแต่พวกคุณสามคนไม่มีอะไรจะพูดหรือครับ”

             ประโยคหลัง บรรณาธิการหนุ่มหันไปถามสามหนุ่มนักเขียนผู้นั่งนิ่งไม่มีปากไม่มีเสียงตั้งแต่แรก  คนตอบคำถามยังคงเป็นสาวมั่นมีมี่เช่นเคย
“อ๋อ...ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้เป็นคนพูดคนเดียว เขียนด้วยกันคุณยังรับไม่ได้ ถ้าพวกเราสี่คนผสมผสานกันพูด คุณจะไม่บ้าตายไปก่อนหรือคะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะคะ พวกเราได้เงิน บอกอได้เรื่องตามข้อตกลง”

             “ก็ได้....ก็ได้  พวกคุณชนะ บ่ายนี้เงินที่เหลือจะโอนเข้าบัญชีของพวกคนทุกคนตามสัญญา  เอาล่ะไปได้แล้ว ผมจะทำงาน”

             พูดจบบรรณาธิการหนุ่มโบกมือเป็นเชิงขอเวลาส่วนตัว นักเขียนทั้งสี่พากันกลั้นยิ้ม ขณะพากันทยอยเดินออกจากห้องไป  วิธัตเอามือบีบขมับตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนหยิบต้นฉบับเรื่องสั้นมาอ่านอีกครั้งอย่างพิจารณาถี่ถ้วน แล้วรอยยิ้มก็เริ่มปรากฏบนใบหน้าก่อนขยายกว้างเป็นเสียงหัวเราะลั่นราวคนบ้า

“เออ..บ้าก็บ้า...! มันแกล้งกันชัดๆ เจ้าพวกบ้า... ! มีที่ไหนเขียนกันแบบนี้  บางทีทำอะไรบ้าๆ ก็ดีเหมือนกัน   ไหนๆ เสียเงินซื้อเรื่องมาแล้ว ก็ต้องลองเสี่ยงลงพิมพ์ดู  ส่งไปขายในโรงพยาบาลบ้าคงขายดีเป็นแน่แท้ ว่าแต่ตูข้าทำอะไรผิดไปหนอนี่  เจ้าข้าเอ้ย..! มันเป็นยังงี้ได้ยังไง”




จบแล้วเด้อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่