(กระทู้รำลึก) โหมโรง (2004) : หนังไทยเรื่องเยี่ยมที่แสดงศักยภาพดนตรีไทยออกมาได้อย่างทรงพลัง

Hom rong (2547) : The Overture

" เมื่อเอ็งเข้าใจในดนตรี เอ็งจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในสิ่งที่ไม่เคยไป และได้รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นทิพย์... "
     สืบเนื่องจากเมื่อกระทู้ก่อน ผมได้เขียนรีวิวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง The Legend of 1900 เอาไว้ ซึ่งมีหลายฉากเป็นแรงบันดาลใจให้กับโหมโรง ระหว่างการหาข้อมูลก็ได้ไปเจอหลายฉากที่น่าประทับ จึงอยากมานำมาย้อนรำลึกถึงบรรยากาศและฉากต่างๆในโหมโรงครับ

มารู้จักกับภาพยนตร์เรื่อง " โหมโรง "

     โหมโรง หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของวงการหนังไทย โหมโรงถูกสร้างในปี 2547 (ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว !!!) โหมโรงกำกับโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ในส่วนดนตรีได้รับการควบคุมโดย ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์ และ ชัยภัค ภัทรจินดา (คนดนตรีไทยน่าจะรู้จักดี) ตัวหนังได้รับเสียงชื่นชมมากมาย สร้างกระแสดนตรีไทยฟีเวอร์ ขนาดถูกนำไปสร้างเป็นละครทีวีและละครเวที โหมโรงเริ่มแรกเกือบจะถูกถอดไปแล้ว แต่โชคดีถูกต่อลมหายใจโดยพันทิป กระแสปากต่อปากช่วยเอาไว้ ในส่วนรางวัล หนังได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสุพรรณหงส์ รางวัลต่างๆภายในประเทศมากมาย และถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งชิงออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศด้วย

     นอกจากรางวัลในประเทศไทยแล้ว โหมโรงยังได้รางวัลจากเทศกาลหนังต่างประเทศหลายเทศกาลด้วย เช่น Miami Film Festival , Asia-Pacific Film Festival , Marrakech International Film Festival (ตัวข้อมูลอ้างอิงจาก Imdb) จึงถือได้ว่าเป็นหนังไทยที่เจ๋งมาก สามารถไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้
     สำหรับเนื้อเรื่องโหมโรงเป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ครูคนสำคัญของวงการดนตรีไทย ศรเกิดมาในครอบครัวดนตรีไทยและได้รู้จักกับดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีสูงกว่าคนอื่น ทำให้ได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีหลวงที่มีเจ้านายคอยอุปถัมภ์ เป็นนายระนาดประจำวง ได้พบรักกับสาวในวัง ได้เข้าสู่ช่วงที่หมดหวังที่สุดในชีวิตเมื่อประชันระนาดแพ้ขุนอิน แต่สุดท้ายด้วยการฝึกฝนและคิดค้นทางระนาดใหม่ ทำให้สามารถเอาชนะขุนอินไปได้

     ตัดไปช่วงบั้นปลายชีวิต ศรในวัยชรา ต้องเผชิญกับ อุปสรรคของดนตรีไทยอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายเข้ามาในสังคม นโยบายควบคุมดนตรีไทยและศิลปะแขนงต่างๆ จนทำให้ดนตรีไทยเข้าสู่ยุคโรยรา ซึ่งเป็นยุคที่ศรยากจะทำใจได้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
The Overture โหมโรง - Trailer

มุมมองเรื่องโหมโรง
     สำหรับผม โหมโรงถือว่าเป็นหนังไทยคลาสสิคที่ทำได้เยี่ยมมาก หนังทำได้ซึ้งกินใจ กลมกล่อมพอดี ไม่ขาดไม่เกิน ทั้งยังสนุกอีกด้วย หนังให้แง่มุมหลายอย่างทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ สภาพยุครุ่งเรืองของดนตรีไทยและยุคโรยรา (น่าจะเป็นในยุคจอมพล ป.) บรรยากาศการเล่นดนตรีไทยและการดำเนินชีวิตในสมัยก่อน แง่มุมเหล่านี้หาได้ยากยิ่ง ยังมีเรื่องคุณค่าของวัฒนธรรมไทยที่หนังตั้งใจสื่อออกมา จนทำให้เราเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมไทยและดนตรีไทยท่ามกลางยุคที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมตะวันตก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ฉากที่ศรไหว้ครูและเริ่มเล่นดนตรีไทย

     เรื่องเทคนิคหนัง โหมโรงก็ทำได้น่าสนใจมากๆ หนังใช้วิธีเล่าเรื่องแบบ Flashback ตัดสลับเล่าเรื่องไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน แถมทำได้ลื่นด้วย ช่วยให้หนังมีชั้นเชิงการเล่าเรื่องสูงขึ้น ดูสนุก ไม่น่าเบื่อเลย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ประชันเดี่ยวเชิดนอก (โหมโรง 2547)

     หนังยังมีมุมกล้องต่างๆหลายฉากที่สวยงาม ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะในฉากประชันที่มุมกล้องช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจ ดึงอารมณ์ร่วมได้ นักแสดงแสดงดี บทไดอะล็อกหนังดี มีคำพูดคมคายที่สะเทือนอารมณ์หลายคำพูด ดนตรีประกอบภาพยนตร์ก็เพราะ นับเป็นหนังไทยที่หาได้ยากจริงๆ (หวังว่าในอนาคตจะมีหนังไทยดีๆแบบนี้อีก)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Ost.โหมโรง - แรกพบ

     ในโหมโรงมีหลายฉากที่เรียกได้ว่าติดตราตรึงใจคนดู ไม่ว่าจะเป็นฉากประชันระนาดในตำนานระหว่างศรกับขุนอิน (เป็นฉากที่โคตรมันส์) โหมโรงจีนตอกไม้ โหมโรงช่อผกา

" ข้ายินดีที่ได้พบคนมีฝีมืออย่างเอ็ง ดูแลสืบทอดดนตรีนี้ต่อไปเถิดเจ้าศร "
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ฉากที่ศรสีซอจีบสาว (หวานสุดๆ)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำหวาน
     หรือฉากที่ศรปะทะคารมกับพลโทวีระและบรรเลงเพลงแสนคำนึง เป็นต้น
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ระนาดและเปียโน - ฉากหนึ่งที่ดีที่สุดในโหมโรง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ฉากบรรเลงระนาดร่วมกับเปียโน

     ในภาพยนตร์เรื่อง 'โหมโรง' มีฉากหนึ่งที่ผมว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดในเรื่อง เพราะ เป็นฉากการประนีประนอมกันระหว่างดนตรีไทยและดนตรีสากล ฉากนั้นคือ ฉากที่ครูศรบรรเลงระนาดเพลง ลาวดวงเดือน ร่วมกับเปียโนเพลง My Blue Heaven ที่บรรเลงโดยลูกชายครู ซึ่งตอนแรกลูกชายครูก็กลัวว่า ครูจะห้ามแกเล่นเปียโน เพราะ ครูศรเป็นคนดนตรีไทยแท้ๆ ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคดนตรีไทยรุ่งเรืองจนถึงยุคเสื่อมของดนตรีไทย ดนตรีสากลเข้ามามีบทบาทแทนดนตรีไทย พร้อมกับวัฒนธรรมใหม่ๆแบบต่างชาติที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตคนไทย

     ขณะที่ลูกชายครูยกเปียโนมาตั้งในบ้านและลองเล่นทดสอบเปียโน ครูแกฟังลูกชายเล่นเปียโนปุ๊ป ก็บอกลูกชายว่า " เดี๋ยว! พอก่อน..." หลังจากนั้นครูเดินไปที่ระนาด หยิบไม้ระนาดขึ้นมาและบอกกับลูกชายว่า " ไหนลองอีกทีซิ ! "

     เสียงคอร์ดเปียโนเริ่มคลอใหม่อีกครั้ง ขณะที่เสียงเปียโนดำเนินไป ครูศรก็บรรเลงเพลงลาวดวงเดือนแทรกเข้าไปในทำนองเปียโนเพลง My Blue Heaven ที่ลูกชายแกเล่น ซึ่งก็คงไม่มีใครคิดว่ามันจะบรรเลงเข้ากันได้กลมกล่อมขนาดนี้
     นอกจากเป็นการโชว์กึ๋นเทคนิคหนังแล้ว ฉากนี้เป็นฉากหนึ่งที่ผมว่า หนังสามารถสื่อถึงการใช้ใจเล่นดนตรีได้เยี่ยม ดนตรีไทยและดนตรีสากล เป็นดนตรีที่ดูคนละขั้ว ฝั่งหนึ่งตะวันออก ฝั่งหนึ่งตะวันตก

     คาแรคเตอร์ของทั้งสองดนตรีดูผสมกันได้ยากทั้งจากลักษณะเครื่องดนตรี บุคลิกดนตรี ทำนอง รวมไปถึงนิสัยของคนเล่น ดนตรีไทยมีความอนุรักษ์นิยม ส่วนดนตรีสากลมีลักษณะของอิสระเสรีมากกว่า จากเนื้อหาในเรื่องแล้ว จึงดูเป็นไปได้ยากที่ครูศรจะยอมเล่นดนตรีไทยเข้ากับดนตรีสากลของลูกชายแก
      แต่ฉากนี้ทำให้เราเห็นว่า ดนตรีแม้จะมีกรอบ แต่ถ้าเราเปิดใจลองทำให้กรอบมันหายไป มันสามารถทำได้ ดนตรีคือภาษาที่สามารถสื่อสารได้ทั่วโลก ดนตรีไทยก็เป็นภาษาหนึ่ง ถ้าใช้ใจเล่นจะบรรเลงกับดนตรีประเภทใดมันก็เข้ากันได้ เพราะทำนองที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจ มันไม่มีขีดจำกัด มันไม่มีกรอบที่ตายตัว

     หรือถ้ามองในเรื่องนิสัยใจคอคนเทียบกับฉากนี้ก็ยังมองได้ คนหนึ่งคิดแบบหนึ่งกับอีกคนคิดแบบหนึ่ง จะพ่อกับลูกหรือคนยุคใหม่กับคนยุคเก่า สุดท้ายพอใช้ใจคุยกัน ทุกอย่างมันก็อยู่ร่วมกันได้ เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ปัญหาทั้งหลายพลอยหมดไป

     ขณะที่ทั้งคู่บรรเลง ครูศรและลูกชายต่างอมยิ้มที่มุมปาก หันหน้ามาสบตากันและกัน... นี่เป็นบทเรียนบทหนึ่งที่โหมโรงสอนเรา การใช้ใจเล่นดนตรีและการใช้ใจสื่อสารกัน เป็นความงดงามอย่างหนึ่ง การแสดงความผูกพันระหว่างครูศรและลูกชาย... สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณนะครับที่อ่านมาได้ถึงตรงนี้ ไว้มีเรื่องไหนน่าสนใจจะมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ !

" ไม้ใหญ่จะยืนทะนง ต้านแรงช้างสารอยู่ได้ ก็ด้วยรากที่หยั่งลึกและแข็งแรง... "
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
อัศจรรย์ เพลงประกอบภาพยนตร์โหมโรง (รวมภาพฉากต่างๆในหนัง)
----------------------------------------------------------------------
     ป.ล. จริงๆเรื่องการโดนกดขี่ของดนตรีไทยในสมัยจอมพล ป. ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ คือในบางส่วนที่โดนกดขี่มันก็ไม่ถึงขนาดแบบในหนัง แต่ผมเข้าใจว่าหนังต้องการแสดงถึงสภาพยุคตกต่ำของดนตรีไทยให้ชัดเจน ก็เลยสร้างออกมาแบบนี้ ทำให้คนอาจจะเข้าใจผิดในยุคนั้นไปพอสมควร ซึ่งความจริงเรื่องดนตรีไทยตกต่ำมันเกิดจากหลายสาเหตุ (ส่วนหลักน่าจะมาจากวัฒนธรรมตะวันตก) ผมมีแปะคลิปไว้นะครับ เป็นคลิปจากรายการศิลปะบันเทิงของช่อง Thai PBS ให้ข้อมูลมุมมองที่น่าสนใจ [แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้รู้จริงเรื่องนี้นะครับ ไม่รู้จริงเท็จยังไง แค่นำข้อมูลอีกด้านมาเสนอให้]

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ข้อถกเถียงดนตรีไทยยุค จอมพล ป.

ป.ล.2 สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
----------------------------------------------------------------------
(แถม) ใครสนใจเรื่อง The Legend of 1900 ก็ตามไปอ่านได้นะครับ ผมมีรีวิวเอาไว้

(Review หนังคลาสสิค) The Legend of 1900 : ชีวิตอัศจรรย์ของนายพันเก้า & ฉากดวลเปียโน ต้นแบบของโหมโรง
(เพิ่มเติม) นอกจาก The Legend of 1900 ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับโหมโรงแล้ว ดูเหมือนจะมีอีกเรื่องที่เป็นต้นแบบฉากดวลระนาดด้วย นั่นก็คือ Crossroads (1986) หนังดนตรีคลาสสิคอีกเรื่องที่เป็นต้นกำเนิดฉากแนวดวลดนตรีให้กับหนังยุคหลังๆ (ต้นแบบฉากประชันระนาดนั่นเอง) ใครสนใจก็ลองหาดูได้นะครับ สนุกดี แถมฉากดวลมันส์มาก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Steve Vai - Crossroads guitar duel
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่