Hom rong (2547) : The Overture
" เมื่อเอ็งเข้าใจในดนตรี เอ็งจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในสิ่งที่ไม่เคยไป และได้รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นทิพย์... "
สืบเนื่องจากเมื่อกระทู้ก่อน ผมได้เขียนรีวิวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง
The Legend of 1900 เอาไว้ ซึ่งมีหลายฉากเป็นแรงบันดาลใจให้กับโหมโรง ระหว่างการหาข้อมูลก็ได้ไปเจอหลายฉากที่น่าประทับ จึงอยากมานำมาย้อนรำลึกถึงบรรยากาศและฉากต่างๆในโหมโรงครับ
มารู้จักกับภาพยนตร์เรื่อง " โหมโรง "
โหมโรง หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของวงการหนังไทย โหมโรงถูกสร้างในปี 2547 (ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว !!!) โหมโรงกำกับโดย
อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ในส่วนดนตรีได้รับการควบคุมโดย
ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์ และ ชัยภัค ภัทรจินดา (คนดนตรีไทยน่าจะรู้จักดี) ตัวหนังได้รับเสียงชื่นชมมากมาย สร้างกระแสดนตรีไทยฟีเวอร์ ขนาดถูกนำไปสร้างเป็นละครทีวีและละครเวที โหมโรงเริ่มแรกเกือบจะถูกถอดไปแล้ว แต่โชคดีถูกต่อลมหายใจโดยพันทิป กระแสปากต่อปากช่วยเอาไว้ ในส่วนรางวัล หนังได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสุพรรณหงส์ รางวัลต่างๆภายในประเทศมากมาย และถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งชิงออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศด้วย
นอกจากรางวัลในประเทศไทยแล้ว โหมโรงยังได้รางวัลจากเทศกาลหนังต่างประเทศหลายเทศกาลด้วย เช่น
Miami Film Festival , Asia-Pacific Film Festival , Marrakech International Film Festival (ตัวข้อมูลอ้างอิงจาก
Imdb) จึงถือได้ว่าเป็นหนังไทยที่เจ๋งมาก สามารถไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้
สำหรับเนื้อเรื่องโหมโรงเป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ครูคนสำคัญของวงการดนตรีไทย ศรเกิดมาในครอบครัวดนตรีไทยและได้รู้จักกับดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีสูงกว่าคนอื่น ทำให้ได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีหลวงที่มีเจ้านายคอยอุปถัมภ์ เป็นนายระนาดประจำวง ได้พบรักกับสาวในวัง ได้เข้าสู่ช่วงที่หมดหวังที่สุดในชีวิตเมื่อประชันระนาดแพ้ขุนอิน แต่สุดท้ายด้วยการฝึกฝนและคิดค้นทางระนาดใหม่ ทำให้สามารถเอาชนะขุนอินไปได้
ตัดไปช่วงบั้นปลายชีวิต ศรในวัยชรา ต้องเผชิญกับ อุปสรรคของดนตรีไทยอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายเข้ามาในสังคม นโยบายควบคุมดนตรีไทยและศิลปะแขนงต่างๆ จนทำให้ดนตรีไทยเข้าสู่ยุคโรยรา ซึ่งเป็นยุคที่ศรยากจะทำใจได้
The Overture โหมโรง - Trailer
มุมมองเรื่องโหมโรง
สำหรับผม โหมโรงถือว่าเป็นหนังไทยคลาสสิคที่ทำได้เยี่ยมมาก หนังทำได้ซึ้งกินใจ กลมกล่อมพอดี ไม่ขาดไม่เกิน ทั้งยังสนุกอีกด้วย หนังให้แง่มุมหลายอย่างทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ สภาพยุครุ่งเรืองของดนตรีไทยและยุคโรยรา (น่าจะเป็นในยุคจอมพล ป.) บรรยากาศการเล่นดนตรีไทยและการดำเนินชีวิตในสมัยก่อน แง่มุมเหล่านี้หาได้ยากยิ่ง ยังมีเรื่องคุณค่าของวัฒนธรรมไทยที่หนังตั้งใจสื่อออกมา จนทำให้เราเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมไทยและดนตรีไทยท่ามกลางยุคที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมตะวันตก
ฉากที่ศรไหว้ครูและเริ่มเล่นดนตรีไทย
เรื่องเทคนิคหนัง โหมโรงก็ทำได้น่าสนใจมากๆ หนังใช้วิธีเล่าเรื่องแบบ
Flashback ตัดสลับเล่าเรื่องไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน แถมทำได้ลื่นด้วย ช่วยให้หนังมีชั้นเชิงการเล่าเรื่องสูงขึ้น ดูสนุก ไม่น่าเบื่อเลย
ประชันเดี่ยวเชิดนอก (โหมโรง 2547)
หนังยังมีมุมกล้องต่างๆหลายฉากที่สวยงาม ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะในฉากประชันที่มุมกล้องช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจ ดึงอารมณ์ร่วมได้ นักแสดงแสดงดี บทไดอะล็อกหนังดี มีคำพูดคมคายที่สะเทือนอารมณ์หลายคำพูด ดนตรีประกอบภาพยนตร์ก็เพราะ นับเป็นหนังไทยที่หาได้ยากจริงๆ (หวังว่าในอนาคตจะมีหนังไทยดีๆแบบนี้อีก)
Ost.โหมโรง - แรกพบ
ในโหมโรงมีหลายฉากที่เรียกได้ว่าติดตราตรึงใจคนดู ไม่ว่าจะเป็นฉากประชันระนาดในตำนานระหว่างศรกับขุนอิน (เป็นฉากที่โคตรมันส์) โหมโรงจีนตอกไม้ โหมโรงช่อผกา
" ข้ายินดีที่ได้พบคนมีฝีมืออย่างเอ็ง ดูแลสืบทอดดนตรีนี้ต่อไปเถิดเจ้าศร "
ฉากที่ศรสีซอจีบสาว (หวานสุดๆ)
คำหวาน
หรือฉากที่ศรปะทะคารมกับพลโทวีระและบรรเลงเพลงแสนคำนึง เป็นต้น
ระนาดและเปียโน - ฉากหนึ่งที่ดีที่สุดในโหมโรง
ฉากบรรเลงระนาดร่วมกับเปียโน
ในภาพยนตร์เรื่อง 'โหมโรง' มีฉากหนึ่งที่ผมว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดในเรื่อง เพราะ เป็นฉากการประนีประนอมกันระหว่างดนตรีไทยและดนตรีสากล ฉากนั้นคือ ฉากที่ครูศรบรรเลงระนาดเพลง
ลาวดวงเดือน ร่วมกับเปียโนเพลง
My Blue Heaven ที่บรรเลงโดยลูกชายครู ซึ่งตอนแรกลูกชายครูก็กลัวว่า ครูจะห้ามแกเล่นเปียโน เพราะ ครูศรเป็นคนดนตรีไทยแท้ๆ ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคดนตรีไทยรุ่งเรืองจนถึงยุคเสื่อมของดนตรีไทย ดนตรีสากลเข้ามามีบทบาทแทนดนตรีไทย พร้อมกับวัฒนธรรมใหม่ๆแบบต่างชาติที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตคนไทย
ขณะที่ลูกชายครูยกเปียโนมาตั้งในบ้านและลองเล่นทดสอบเปียโน ครูแกฟังลูกชายเล่นเปียโนปุ๊ป ก็บอกลูกชายว่า
" เดี๋ยว! พอก่อน..." หลังจากนั้นครูเดินไปที่ระนาด หยิบไม้ระนาดขึ้นมาและบอกกับลูกชายว่า
" ไหนลองอีกทีซิ ! "
เสียงคอร์ดเปียโนเริ่มคลอใหม่อีกครั้ง ขณะที่เสียงเปียโนดำเนินไป ครูศรก็บรรเลงเพลงลาวดวงเดือนแทรกเข้าไปในทำนองเปียโนเพลง My Blue Heaven ที่ลูกชายแกเล่น ซึ่งก็คงไม่มีใครคิดว่ามันจะบรรเลงเข้ากันได้กลมกล่อมขนาดนี้
นอกจากเป็นการโชว์กึ๋นเทคนิคหนังแล้ว ฉากนี้เป็นฉากหนึ่งที่ผมว่า หนังสามารถสื่อถึงการใช้ใจเล่นดนตรีได้เยี่ยม ดนตรีไทยและดนตรีสากล เป็นดนตรีที่ดูคนละขั้ว ฝั่งหนึ่งตะวันออก ฝั่งหนึ่งตะวันตก
คาแรคเตอร์ของทั้งสองดนตรีดูผสมกันได้ยากทั้งจากลักษณะเครื่องดนตรี บุคลิกดนตรี ทำนอง รวมไปถึงนิสัยของคนเล่น ดนตรีไทยมีความอนุรักษ์นิยม ส่วนดนตรีสากลมีลักษณะของอิสระเสรีมากกว่า จากเนื้อหาในเรื่องแล้ว จึงดูเป็นไปได้ยากที่ครูศรจะยอมเล่นดนตรีไทยเข้ากับดนตรีสากลของลูกชายแก
แต่ฉากนี้ทำให้เราเห็นว่า ดนตรีแม้จะมีกรอบ แต่ถ้าเราเปิดใจลองทำให้กรอบมันหายไป มันสามารถทำได้ ดนตรีคือภาษาที่สามารถสื่อสารได้ทั่วโลก ดนตรีไทยก็เป็นภาษาหนึ่ง ถ้าใช้ใจเล่นจะบรรเลงกับดนตรีประเภทใดมันก็เข้ากันได้ เพราะทำนองที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจ มันไม่มีขีดจำกัด มันไม่มีกรอบที่ตายตัว
หรือถ้ามองในเรื่องนิสัยใจคอคนเทียบกับฉากนี้ก็ยังมองได้ คนหนึ่งคิดแบบหนึ่งกับอีกคนคิดแบบหนึ่ง จะพ่อกับลูกหรือคนยุคใหม่กับคนยุคเก่า สุดท้ายพอใช้ใจคุยกัน ทุกอย่างมันก็อยู่ร่วมกันได้ เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ปัญหาทั้งหลายพลอยหมดไป
ขณะที่ทั้งคู่บรรเลง ครูศรและลูกชายต่างอมยิ้มที่มุมปาก หันหน้ามาสบตากันและกัน... นี่เป็นบทเรียนบทหนึ่งที่โหมโรงสอนเรา การใช้ใจเล่นดนตรีและการใช้ใจสื่อสารกัน เป็นความงดงามอย่างหนึ่ง การแสดงความผูกพันระหว่างครูศรและลูกชาย... สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณนะครับที่อ่านมาได้ถึงตรงนี้ ไว้มีเรื่องไหนน่าสนใจจะมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ !
" ไม้ใหญ่จะยืนทะนง ต้านแรงช้างสารอยู่ได้ ก็ด้วยรากที่หยั่งลึกและแข็งแรง... "
อัศจรรย์ เพลงประกอบภาพยนตร์โหมโรง (รวมภาพฉากต่างๆในหนัง)
----------------------------------------------------------------------
ป.ล. จริงๆเรื่องการโดนกดขี่ของดนตรีไทยในสมัยจอมพล ป. ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ คือในบางส่วนที่โดนกดขี่มันก็ไม่ถึงขนาดแบบในหนัง แต่ผมเข้าใจว่าหนังต้องการแสดงถึงสภาพยุคตกต่ำของดนตรีไทยให้ชัดเจน ก็เลยสร้างออกมาแบบนี้ ทำให้คนอาจจะเข้าใจผิดในยุคนั้นไปพอสมควร ซึ่งความจริงเรื่องดนตรีไทยตกต่ำมันเกิดจากหลายสาเหตุ (ส่วนหลักน่าจะมาจากวัฒนธรรมตะวันตก) ผมมีแปะคลิปไว้นะครับ เป็นคลิปจากรายการศิลปะบันเทิงของช่อง
Thai PBS ให้ข้อมูลมุมมองที่น่าสนใจ
[แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้รู้จริงเรื่องนี้นะครับ ไม่รู้จริงเท็จยังไง แค่นำข้อมูลอีกด้านมาเสนอให้]
ข้อถกเถียงดนตรีไทยยุค จอมพล ป.
ป.ล.2 สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
----------------------------------------------------------------------
(แถม) ใครสนใจเรื่อง
The Legend of 1900 ก็ตามไปอ่านได้นะครับ ผมมีรีวิวเอาไว้
(Review หนังคลาสสิค) The Legend of 1900 : ชีวิตอัศจรรย์ของนายพันเก้า & ฉากดวลเปียโน ต้นแบบของโหมโรง
(เพิ่มเติม) นอกจาก
The Legend of 1900 ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับโหมโรงแล้ว ดูเหมือนจะมีอีกเรื่องที่เป็นต้นแบบฉากดวลระนาดด้วย นั่นก็คือ
Crossroads (1986) หนังดนตรีคลาสสิคอีกเรื่องที่เป็นต้นกำเนิดฉากแนวดวลดนตรีให้กับหนังยุคหลังๆ (ต้นแบบฉากประชันระนาดนั่นเอง) ใครสนใจก็ลองหาดูได้นะครับ สนุกดี แถมฉากดวลมันส์มาก
Steve Vai - Crossroads guitar duel
(กระทู้รำลึก) โหมโรง (2004) : หนังไทยเรื่องเยี่ยมที่แสดงศักยภาพดนตรีไทยออกมาได้อย่างทรงพลัง
มารู้จักกับภาพยนตร์เรื่อง " โหมโรง "
ตัดไปช่วงบั้นปลายชีวิต ศรในวัยชรา ต้องเผชิญกับ อุปสรรคของดนตรีไทยอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายเข้ามาในสังคม นโยบายควบคุมดนตรีไทยและศิลปะแขนงต่างๆ จนทำให้ดนตรีไทยเข้าสู่ยุคโรยรา ซึ่งเป็นยุคที่ศรยากจะทำใจได้
ขณะที่ลูกชายครูยกเปียโนมาตั้งในบ้านและลองเล่นทดสอบเปียโน ครูแกฟังลูกชายเล่นเปียโนปุ๊ป ก็บอกลูกชายว่า " เดี๋ยว! พอก่อน..." หลังจากนั้นครูเดินไปที่ระนาด หยิบไม้ระนาดขึ้นมาและบอกกับลูกชายว่า " ไหนลองอีกทีซิ ! "
เสียงคอร์ดเปียโนเริ่มคลอใหม่อีกครั้ง ขณะที่เสียงเปียโนดำเนินไป ครูศรก็บรรเลงเพลงลาวดวงเดือนแทรกเข้าไปในทำนองเปียโนเพลง My Blue Heaven ที่ลูกชายแกเล่น ซึ่งก็คงไม่มีใครคิดว่ามันจะบรรเลงเข้ากันได้กลมกล่อมขนาดนี้
คาแรคเตอร์ของทั้งสองดนตรีดูผสมกันได้ยากทั้งจากลักษณะเครื่องดนตรี บุคลิกดนตรี ทำนอง รวมไปถึงนิสัยของคนเล่น ดนตรีไทยมีความอนุรักษ์นิยม ส่วนดนตรีสากลมีลักษณะของอิสระเสรีมากกว่า จากเนื้อหาในเรื่องแล้ว จึงดูเป็นไปได้ยากที่ครูศรจะยอมเล่นดนตรีไทยเข้ากับดนตรีสากลของลูกชายแก
หรือถ้ามองในเรื่องนิสัยใจคอคนเทียบกับฉากนี้ก็ยังมองได้ คนหนึ่งคิดแบบหนึ่งกับอีกคนคิดแบบหนึ่ง จะพ่อกับลูกหรือคนยุคใหม่กับคนยุคเก่า สุดท้ายพอใช้ใจคุยกัน ทุกอย่างมันก็อยู่ร่วมกันได้ เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ปัญหาทั้งหลายพลอยหมดไป
ขณะที่ทั้งคู่บรรเลง ครูศรและลูกชายต่างอมยิ้มที่มุมปาก หันหน้ามาสบตากันและกัน... นี่เป็นบทเรียนบทหนึ่งที่โหมโรงสอนเรา การใช้ใจเล่นดนตรีและการใช้ใจสื่อสารกัน เป็นความงดงามอย่างหนึ่ง การแสดงความผูกพันระหว่างครูศรและลูกชาย... สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณนะครับที่อ่านมาได้ถึงตรงนี้ ไว้มีเรื่องไหนน่าสนใจจะมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ !