La leggenda del pianista sull'oceano (1998) : ตำนานนายพันเก้า หัวใจรักจากท้องทะเล
" ผมอยากฟังเสียงของมันอย่างแท้จริง... "
The Legend of 1900 เรื่องของชายที่ไม่เคยลงจากเรือเลยทั้งชีวิต ผมไม่รู้ว่าส่วนใหญ่เคยดูกันมามั้ย แต่อยากจะมาแนะนำหนังดีให้ทุกคนได้รับชมรับฟังครับ The Legend of 1900 เป็นหนังดนตรีอีกเรื่องที่ทำได้เยี่ยมมาก ซาบซึ้ง ตรึงใจ แถม The Legend of 1900 ยังน่าจะเป็นอีกแรงบันดาลใจหนึ่งให้กับหนังดนตรีไทยที่ดีที่สุดอย่าง
โหมโรง ด้วย (ร่วมกับ Crossroads)
The Legend of 1900 (1998) ได้รับการกำกับโดย
Giuseppe Tornatore (ผู้กำกับอิตาลีเจ้ารางวัล) เรื่องราวของ The Legend of 1900 เริ่มต้นที่
Max Tooney ได้เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่ง เขาเป็นนักทรัมเป็ตที่ตกงานแล้ว และกำลังจะขายทรัมเป็ตซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเขา แต่แล้วเขากับได้เจอแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งที่เขาคุ้นเคย ทำให้เขานึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวต่างๆจึงเริ่มต้นอีกครั้ง.... เรื่องราวชีวิตของ Danny Boodmann T.D. Lemon หรือ
'1900' (นายพันเก้า) เพื่อนรักที่สุดในชีวิตของเขาที่หายตัวไป
นายพันเก้าเป็นเด็กคนหนึ่งที่เกิดบนเรือและมีชีวิตอยู่บนเรือมาตั้งแต่เกิด ชนิดที่ว่าไม่เคยเหยียบแผ่นดินเลยสักครั้ง แม้ฟ้าจะไม่ลิขิตให้เขาใช้ชีวิตบนแผ่นดิน แต่ฟ้าก็ลิขิตให้เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางดนตรีอันสูงส่ง เขาจึงรับหน้าที่เป็นนักเปียโนประจำเรือสำราญและได้พบกับแม็กซ์บนเรือลำนี้ที่มีชื่อว่า
Virginian
The Legend of 1900 หนังคลาสสิคที่น่าจดจำ
The Legend of 1900 มีบทและแก่นเรื่องดีมาก มันคือหนังชีวิตดีๆเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงชายคนหนึ่งที่เกิดบนเรือและใช้ชีวิตบนเรืออย่างแท้จริง ชายคนนี้มีพรสวรรค์ทางดนตรีที่สูงล้ำ จนถึงขนาดนักดนตรีระดับโลกยังต้องมาท้าเขาเพื่อดวลฝีมือกัน เราจะได้เห็นชีวิตอันน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงมุมมองของเขาที่มองว่า
'เรือคือชีวิตของเขาจริงๆ' เขาได้ผจญไปกับสิ่งต่างๆมากมายในชีวิตบนเรือผ่านเสียงเปียโนที่เขาบรรเลง มันมีทั้งเรื่องสนุก เศร้า เครียด กดดัน จะว่าไปแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็ดูคล้ายกับ
"Forest Gump" ในเรื่องการปล่อยชีวิตไปอย่างเสรี โชคชะตานำพาไปพบกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งมิตรภาพ ความรัก แจ๊สและเรื่องต่างๆอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องมิตรภาพระหว่างแม็กซ์กับนายพันเก้า ถือเป็นจุดที่หนังต้องการนำเสนอ
The Legend of 1900 - Magic Waltz Scene (HD)
จุดสำคัญที่สุดของเรื่องอีกอย่างก็คือ
เรื่องการที่นายพันเก้าไม่กล้าลงจากเรือ จริงๆมันก็ไม่แปลกที่จะไม่ลงไปจากเรือ เพราะ นายพันเก้าเกิดบนเรือและผูกพันกับเรือตลอดมา เขากลัวโลกภายนอก เขาเปรียบโลกภายนอกบนแผ่นดินเหมือนกับเปียโนของพระเจ้าที่มีคีย์ไม่จำกัด และไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อก้าวออกไปใช้ชีวิตบนนั้น แต่กับบนเรือนี้ที่เขาอยู่มาทั้งชีวิต ทั้งหมดคือเพื่อน คือเปียโนที่เขารู้จักคีย์ทั้งหมดที่มีที่สิ้นสุด นั่นคือ เหตุผลที่เขาเลือกหันหลังกลับและไม่ได้ก้าวออกไปจากเรือ
ในส่วนการดำเนินเรื่องก็สนุกมาก แม้จะดำเนินเรื่องแบบหนังยุคเก่า แต่กลับไม่น่าเบื่อ และยังทำให้เราอยากติดตามต่อไปได้เรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องการใช้ Flashback ย้อนกลับไปเล่าเรื่องในอดีตตัดสลับไปมากับปัจจุบัน ทำให้เรื่องราวดูน่าติดตาม รวมถึงหนังยังเล่าเรื่องผ่านเสียงของแม็กซ์ เพื่อนรักของนายพันเก้าเล่าเรื่อง มันทำให้ได้อรรถรสและซาบซึ้งใจในมิตรภาพระหว่างเพื่อน เป็นสิ่งที่ทำให้หนังอิ่มเอมและตราตรึงใจ
Madness#1
ฉากดวลเปียโนในตำนาน - ต้นแบบของโหมโรง & ดนตรีประกอบภาพยนตร์
เนื่องมาจาก The Legend of 1900 เป็นหนังชีวิตที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อนำเรื่องอีกอย่าง ดังนั้นดนตรีถือเป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่องมากๆ ทั้งเพลงที่เล่นในหนังและดนตรีที่แทรกระหว่างการดำเนินเรื่องโดดเด่นมาก จนหนังสามารถคว้า Best Original Score จากลูกโลกทองคำไปได้ โดยดนตรีได้รับการประพันธ์โดย
Ennio Morricone
มาถึงเรื่องแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ฉากดวลเปียโนในตำนาน ฉากนี้นับว่าเป็นฉากที่ผมว่าสุดยอดมาก และถ้าใครได้ดูฉากนี้ ลองสังเกตทั้งสไตล์และมุมกล้องสุดสวยงาม มันมีฟีลลิ่งคล้ายกับ
โหมโรงในฉากประชันระนาด The Legend of 1900 จึงน่าจะเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งให้กับโหมโรง (เป็น Reference ให้กับโหมโรงบางส่วน โดยเฉพาะฉากประชันระนาด) ยิ่งมันสุดยอดไปอีกคือ ฉากพระเอกจุดบุหรี่ ถ้าใครเคยดูแล้ว จะอึ้งทันทีว่ามันคิดได้ยังไง
ฉากดวลเปียโนนี้ เป็นฉากที่นายพันเก้าดวลกับ
Jelly Roll Morton แห่ง New Orleans jazz fame (เป็นบุคคลที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์จริง) หนังก็หยิบยืมมาตัวตนมา ในเรื่องราวว่า นายเจลลี่เนี่ยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของนายพันเก้าแห่งเรือเวอร์จีเนียน จึงอดไม่ได้ที่จะเดินทางมาประชันเปียโนกัน โดยการประชันก็จะเป็นการผลัดเปลี่ยนกันเล่นคนละเพลง
The Crave - Jelly Roll Morton (Original Version)
[ฉากและเพลงที่บรรเลง]
The legend of 1900-piano scenes Duel part 1
เพลงที่นำมาเจลลี่นำมาโชว์ก็เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาจริงๆ (เป็นเพลง Jazz) เพลงแรกเจลลี่นำ
[1st - Big Fat Ham by JR Morton] ออกมาบรรเลง เพื่อเป็นการอินโทรและข่มนายพันเก้าด้วยเสียงอันดุดัน นายพันเก้าด้วยความไม่รู้เรื่อง ไม่เคยดวลเพลงมาก่อน ก็บรรเลง
[2nd - Silent Night] ไป ทำให้ทุกคนงงในทันที เพราะเพลงมันง่ายเกินไป จนแทบจะโดนแม็กซ์ตบหัว
The legend of 1900-piano scenes Duel part 2
ทันทีที่บรรเลงจบเจลลี่รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหยาม จึงงัด
[3rd - The Crave by JR Morton] อันเป็นเพลงที่เหนือยิ่งกว่าเดิม แม้ทำนองจะไม่เร็วดุดันเหมือนเพลงแรก แต่ทำนองจังหวะกลับพริ้วไหว สวยงาม แฝงความดุดันไว้ข้างใน โชว์สเต็ปการรัวนิ้วอย่างโดดเด่นทรงพลัง นายพันเก้าก็บรรเลงโต้กลับด้วย The Crave ลอกเลียนแบบเจลลี่เหมือนกันเป๊ะ ซึ่งจริงๆเขาไม่เคยได้ยินได้เล่นเพลงนี้มาก่อน แต่พอฟังปุ๊ปก็สามารถเล่นได้ทันที เป็นการโชว์พรสวรรค์อันสูงส่ง (เพลง The Crave เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องเลย)
The Legend of 1900 - The Crave
เจลลี่จึงส่ง
[5th - Finger Breaker by JR Morton] บรรเลงออกไปด้วยทำนองที่สนุกสนาน รวดเร็ว เกรี้ยวกราด โหดยิ่งกว่าสองเพลงแรกที่เขาบรรเลง สุดท้ายนายพันเก้าได้รวบรวมสมาธิขั้นสูงสุดบรรเลงเพลงที่
6th ออกไป รวดเร็วยิ่งกว่าที่นายเจลลี่จนขนาดตายังมองไม่ทัน คล้ายเห็นมือสี่มือบรรเลงอยู่บนเปียโน เอาชนะนายเจลลี่ได้ในที่สุด และยังเป็นช็อตจุดบุหรี่ในตำนานด้วย
The Legend Of 1900 "Playing Love" HD Ennio Morricone
ยังมีอีกเพลงที่ไพเราะมาก คือ
Playing Love ซึ่งเป็นเพลงที่นายพันเก้าคิดสดขึ้นในหัวเองในขณะที่มีบริษัทมาบันทึกเพลงเขาเตรียมออกไปจำหน่าย ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วได้พบกับหญิงงาม ที่เขาไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน เขาตกหลุมรักในทันทีและบรรเลงออกไปด้วยทำนองที่อ่อนหวานหยาดเยิ้ม รำพึงรำพัน โหยหาความรัก
(คล้ายตอนที่ศร สีซออู้จีบผู้หญิง)
คำหวาน
ผมอยากฟังเสียงของมันอย่างแท้จริง
มีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมาก นายพันเก้าพูดเรื่องการได้ยินถึงเสียงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเขาพูดได้ลึกซึ้งและน่าทึ่งมาก
" ผมอยู่บนเรือมาตลอด ผมจึงไม่ได้ยินเสียงที่แท้จริงของเรือ ผมอยากจะออกไปใช้ชีวิตบนฝั่งแบบคนปกติดูสักปีสองปี ให้กลมกลืนกับคนบนบก เพื่อที่ว่าเมื่อผมกลับมาที่เรือลำนี้อีกครั้ง ผมจะได้ฟังถึงเสียงของมันอย่างแท้จริง... "
นักแสดง
นักแสดงแต่ละคนแสดงได้เยี่ยมมาก ทั้งบทพระเอกนายพันเก้า แสดงโดย
Tim Roth เล่นได้ใสซื่อมาก
ฉากเล่นเปียโนแต่ละฉากก็โคตรสุดยอด แถมหน้ายังโคตรคล้าย Ryan Gosling จาก La La Land เลย ส่วนเพื่อนพระเอก
Pruitt Taylor Vince (Max Tooney) ก็แสดงได้เยี่ยม เนียนตา ดูเป็นคนที่ห่วงใยในตัวนายพันเก้าจริงๆ
มีอีกคนที่ผมชอบเป็นพิเศษก็
Clarence Williams III (Jelly Roll Morton) แสดงได้ดี ดูหยิ่งและน่าหมั่นไส้มาก แต่เล่นดนตรีได้โคตรเทพ
สรุป
สำหรับ The Legend of 1900 ผมให้
8.7/10 (เป็นหนึ่งในหนังดนตรีที่ควรค่าแก่การจดจำ) The Legend of 1900 ไม่ได้เป็นหนังดนตรีซะทีเดียว แต่เป็นหนังชีวิตที่ใช้เรือและเปียโนเป็นอีกสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่อง สำหรับผมถือว่าเป็นหนังคลาสสิคที่ควรค่าแก่การดู สนุกมาก ซาบซึ้ง ตรึงใจ โปรดักชันอลังการ ดนตรีก็เพราะมาก สามารถดูได้ทุกคน ทั้งคอหนังธรรมดาและคอหนังรางวัล
ขณะผมดู ผมมีอีกความรู้สึกหนึ่งคือ รู้สึกแนวหนังมันคล้ายกับ Forest Gump อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่บนบก แต่อยู่บนเรือเท่านั้นเอง...
8.7/10
----------------------------------------------------------------------
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
----------------------------------------------------------------------
(เพิ่มเติม) ฉากประชันระนาดจากโหมโรง
The Overture - 4 โหมโรงจีนตอกไม้
Ranad (Traditional Thai music )
[CR] (Review หนังคลาสสิค) The Legend of 1900 : ชีวิตอัศจรรย์ของนายพันเก้า & ฉากดวลเปียโน ต้นแบบของโหมโรง
The Legend of 1900 เรื่องของชายที่ไม่เคยลงจากเรือเลยทั้งชีวิต ผมไม่รู้ว่าส่วนใหญ่เคยดูกันมามั้ย แต่อยากจะมาแนะนำหนังดีให้ทุกคนได้รับชมรับฟังครับ The Legend of 1900 เป็นหนังดนตรีอีกเรื่องที่ทำได้เยี่ยมมาก ซาบซึ้ง ตรึงใจ แถม The Legend of 1900 ยังน่าจะเป็นอีกแรงบันดาลใจหนึ่งให้กับหนังดนตรีไทยที่ดีที่สุดอย่าง โหมโรง ด้วย (ร่วมกับ Crossroads)
The Legend of 1900 (1998) ได้รับการกำกับโดย Giuseppe Tornatore (ผู้กำกับอิตาลีเจ้ารางวัล) เรื่องราวของ The Legend of 1900 เริ่มต้นที่ Max Tooney ได้เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่ง เขาเป็นนักทรัมเป็ตที่ตกงานแล้ว และกำลังจะขายทรัมเป็ตซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเขา แต่แล้วเขากับได้เจอแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งที่เขาคุ้นเคย ทำให้เขานึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวต่างๆจึงเริ่มต้นอีกครั้ง.... เรื่องราวชีวิตของ Danny Boodmann T.D. Lemon หรือ '1900' (นายพันเก้า) เพื่อนรักที่สุดในชีวิตของเขาที่หายตัวไป
นายพันเก้าเป็นเด็กคนหนึ่งที่เกิดบนเรือและมีชีวิตอยู่บนเรือมาตั้งแต่เกิด ชนิดที่ว่าไม่เคยเหยียบแผ่นดินเลยสักครั้ง แม้ฟ้าจะไม่ลิขิตให้เขาใช้ชีวิตบนแผ่นดิน แต่ฟ้าก็ลิขิตให้เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางดนตรีอันสูงส่ง เขาจึงรับหน้าที่เป็นนักเปียโนประจำเรือสำราญและได้พบกับแม็กซ์บนเรือลำนี้ที่มีชื่อว่า Virginian
The Legend of 1900 หนังคลาสสิคที่น่าจดจำ
The Legend of 1900 มีบทและแก่นเรื่องดีมาก มันคือหนังชีวิตดีๆเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงชายคนหนึ่งที่เกิดบนเรือและใช้ชีวิตบนเรืออย่างแท้จริง ชายคนนี้มีพรสวรรค์ทางดนตรีที่สูงล้ำ จนถึงขนาดนักดนตรีระดับโลกยังต้องมาท้าเขาเพื่อดวลฝีมือกัน เราจะได้เห็นชีวิตอันน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงมุมมองของเขาที่มองว่า 'เรือคือชีวิตของเขาจริงๆ' เขาได้ผจญไปกับสิ่งต่างๆมากมายในชีวิตบนเรือผ่านเสียงเปียโนที่เขาบรรเลง มันมีทั้งเรื่องสนุก เศร้า เครียด กดดัน จะว่าไปแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็ดูคล้ายกับ "Forest Gump" ในเรื่องการปล่อยชีวิตไปอย่างเสรี โชคชะตานำพาไปพบกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งมิตรภาพ ความรัก แจ๊สและเรื่องต่างๆอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องมิตรภาพระหว่างแม็กซ์กับนายพันเก้า ถือเป็นจุดที่หนังต้องการนำเสนอ
จุดสำคัญที่สุดของเรื่องอีกอย่างก็คือ เรื่องการที่นายพันเก้าไม่กล้าลงจากเรือ จริงๆมันก็ไม่แปลกที่จะไม่ลงไปจากเรือ เพราะ นายพันเก้าเกิดบนเรือและผูกพันกับเรือตลอดมา เขากลัวโลกภายนอก เขาเปรียบโลกภายนอกบนแผ่นดินเหมือนกับเปียโนของพระเจ้าที่มีคีย์ไม่จำกัด และไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อก้าวออกไปใช้ชีวิตบนนั้น แต่กับบนเรือนี้ที่เขาอยู่มาทั้งชีวิต ทั้งหมดคือเพื่อน คือเปียโนที่เขารู้จักคีย์ทั้งหมดที่มีที่สิ้นสุด นั่นคือ เหตุผลที่เขาเลือกหันหลังกลับและไม่ได้ก้าวออกไปจากเรือ
ในส่วนการดำเนินเรื่องก็สนุกมาก แม้จะดำเนินเรื่องแบบหนังยุคเก่า แต่กลับไม่น่าเบื่อ และยังทำให้เราอยากติดตามต่อไปได้เรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องการใช้ Flashback ย้อนกลับไปเล่าเรื่องในอดีตตัดสลับไปมากับปัจจุบัน ทำให้เรื่องราวดูน่าติดตาม รวมถึงหนังยังเล่าเรื่องผ่านเสียงของแม็กซ์ เพื่อนรักของนายพันเก้าเล่าเรื่อง มันทำให้ได้อรรถรสและซาบซึ้งใจในมิตรภาพระหว่างเพื่อน เป็นสิ่งที่ทำให้หนังอิ่มเอมและตราตรึงใจ
ฉากดวลเปียโนในตำนาน - ต้นแบบของโหมโรง & ดนตรีประกอบภาพยนตร์
เนื่องมาจาก The Legend of 1900 เป็นหนังชีวิตที่ใช้ดนตรีเป็นสื่อนำเรื่องอีกอย่าง ดังนั้นดนตรีถือเป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่องมากๆ ทั้งเพลงที่เล่นในหนังและดนตรีที่แทรกระหว่างการดำเนินเรื่องโดดเด่นมาก จนหนังสามารถคว้า Best Original Score จากลูกโลกทองคำไปได้ โดยดนตรีได้รับการประพันธ์โดย Ennio Morricone
มาถึงเรื่องแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ฉากดวลเปียโนในตำนาน ฉากนี้นับว่าเป็นฉากที่ผมว่าสุดยอดมาก และถ้าใครได้ดูฉากนี้ ลองสังเกตทั้งสไตล์และมุมกล้องสุดสวยงาม มันมีฟีลลิ่งคล้ายกับ โหมโรงในฉากประชันระนาด The Legend of 1900 จึงน่าจะเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งให้กับโหมโรง (เป็น Reference ให้กับโหมโรงบางส่วน โดยเฉพาะฉากประชันระนาด) ยิ่งมันสุดยอดไปอีกคือ ฉากพระเอกจุดบุหรี่ ถ้าใครเคยดูแล้ว จะอึ้งทันทีว่ามันคิดได้ยังไง
ฉากดวลเปียโนนี้ เป็นฉากที่นายพันเก้าดวลกับ Jelly Roll Morton แห่ง New Orleans jazz fame (เป็นบุคคลที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์จริง) หนังก็หยิบยืมมาตัวตนมา ในเรื่องราวว่า นายเจลลี่เนี่ยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของนายพันเก้าแห่งเรือเวอร์จีเนียน จึงอดไม่ได้ที่จะเดินทางมาประชันเปียโนกัน โดยการประชันก็จะเป็นการผลัดเปลี่ยนกันเล่นคนละเพลง
[ฉากและเพลงที่บรรเลง]
เพลงที่นำมาเจลลี่นำมาโชว์ก็เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาจริงๆ (เป็นเพลง Jazz) เพลงแรกเจลลี่นำ [1st - Big Fat Ham by JR Morton] ออกมาบรรเลง เพื่อเป็นการอินโทรและข่มนายพันเก้าด้วยเสียงอันดุดัน นายพันเก้าด้วยความไม่รู้เรื่อง ไม่เคยดวลเพลงมาก่อน ก็บรรเลง [2nd - Silent Night] ไป ทำให้ทุกคนงงในทันที เพราะเพลงมันง่ายเกินไป จนแทบจะโดนแม็กซ์ตบหัว
ทันทีที่บรรเลงจบเจลลี่รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหยาม จึงงัด [3rd - The Crave by JR Morton] อันเป็นเพลงที่เหนือยิ่งกว่าเดิม แม้ทำนองจะไม่เร็วดุดันเหมือนเพลงแรก แต่ทำนองจังหวะกลับพริ้วไหว สวยงาม แฝงความดุดันไว้ข้างใน โชว์สเต็ปการรัวนิ้วอย่างโดดเด่นทรงพลัง นายพันเก้าก็บรรเลงโต้กลับด้วย The Crave ลอกเลียนแบบเจลลี่เหมือนกันเป๊ะ ซึ่งจริงๆเขาไม่เคยได้ยินได้เล่นเพลงนี้มาก่อน แต่พอฟังปุ๊ปก็สามารถเล่นได้ทันที เป็นการโชว์พรสวรรค์อันสูงส่ง (เพลง The Crave เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องเลย)
เจลลี่จึงส่ง [5th - Finger Breaker by JR Morton] บรรเลงออกไปด้วยทำนองที่สนุกสนาน รวดเร็ว เกรี้ยวกราด โหดยิ่งกว่าสองเพลงแรกที่เขาบรรเลง สุดท้ายนายพันเก้าได้รวบรวมสมาธิขั้นสูงสุดบรรเลงเพลงที่ 6th ออกไป รวดเร็วยิ่งกว่าที่นายเจลลี่จนขนาดตายังมองไม่ทัน คล้ายเห็นมือสี่มือบรรเลงอยู่บนเปียโน เอาชนะนายเจลลี่ได้ในที่สุด และยังเป็นช็อตจุดบุหรี่ในตำนานด้วย
ยังมีอีกเพลงที่ไพเราะมาก คือ Playing Love ซึ่งเป็นเพลงที่นายพันเก้าคิดสดขึ้นในหัวเองในขณะที่มีบริษัทมาบันทึกเพลงเขาเตรียมออกไปจำหน่าย ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วได้พบกับหญิงงาม ที่เขาไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน เขาตกหลุมรักในทันทีและบรรเลงออกไปด้วยทำนองที่อ่อนหวานหยาดเยิ้ม รำพึงรำพัน โหยหาความรัก (คล้ายตอนที่ศร สีซออู้จีบผู้หญิง)
ผมอยากฟังเสียงของมันอย่างแท้จริง
มีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมาก นายพันเก้าพูดเรื่องการได้ยินถึงเสียงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเขาพูดได้ลึกซึ้งและน่าทึ่งมาก
" ผมอยู่บนเรือมาตลอด ผมจึงไม่ได้ยินเสียงที่แท้จริงของเรือ ผมอยากจะออกไปใช้ชีวิตบนฝั่งแบบคนปกติดูสักปีสองปี ให้กลมกลืนกับคนบนบก เพื่อที่ว่าเมื่อผมกลับมาที่เรือลำนี้อีกครั้ง ผมจะได้ฟังถึงเสียงของมันอย่างแท้จริง... "
นักแสดง
นักแสดงแต่ละคนแสดงได้เยี่ยมมาก ทั้งบทพระเอกนายพันเก้า แสดงโดย Tim Roth เล่นได้ใสซื่อมาก
ฉากเล่นเปียโนแต่ละฉากก็โคตรสุดยอด แถมหน้ายังโคตรคล้าย Ryan Gosling จาก La La Land เลย ส่วนเพื่อนพระเอก Pruitt Taylor Vince (Max Tooney) ก็แสดงได้เยี่ยม เนียนตา ดูเป็นคนที่ห่วงใยในตัวนายพันเก้าจริงๆ
มีอีกคนที่ผมชอบเป็นพิเศษก็ Clarence Williams III (Jelly Roll Morton) แสดงได้ดี ดูหยิ่งและน่าหมั่นไส้มาก แต่เล่นดนตรีได้โคตรเทพ
สรุป
สำหรับ The Legend of 1900 ผมให้ 8.7/10 (เป็นหนึ่งในหนังดนตรีที่ควรค่าแก่การจดจำ) The Legend of 1900 ไม่ได้เป็นหนังดนตรีซะทีเดียว แต่เป็นหนังชีวิตที่ใช้เรือและเปียโนเป็นอีกสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่อง สำหรับผมถือว่าเป็นหนังคลาสสิคที่ควรค่าแก่การดู สนุกมาก ซาบซึ้ง ตรึงใจ โปรดักชันอลังการ ดนตรีก็เพราะมาก สามารถดูได้ทุกคน ทั้งคอหนังธรรมดาและคอหนังรางวัล
ขณะผมดู ผมมีอีกความรู้สึกหนึ่งคือ รู้สึกแนวหนังมันคล้ายกับ Forest Gump อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่บนบก แต่อยู่บนเรือเท่านั้นเอง...
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
(เพิ่มเติม) ฉากประชันระนาดจากโหมโรง