วันนี้เป็นวันครบ 1 ปี วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ผมจึงขอย้อนเหตุการณ์ในวันนั้นเพื่อเป็นบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์
เริ่มจากวันที่ 12 ตุลาคมก่อน
ผมทำงานเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นตอนที่ไม่มีเคสเข้ามาให้แปล ผมกับพี่ ๆ ล่ามทั้งหมดก็จะนั่งชิล ๆ เล่นมือถือ หรือทำอะไรต่าง ๆ ที่เป็นกิจกรรมส่วนตัว วันนั้นก็เช่นกัน
ช่วงประมาณบ่าย 2-3 วันนั้น ขณะกำลังนั่งชิล ๆ กันอยู่ ก็มีพี่คนหนึ่งทำหน้าตกใจและคุยกับพี่อีกคนว่าเขาแชร์กันว่า ในหลวงสวรรคตแล้ว ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอผมทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว ในไลน์ก็มีเพื่อนแชร์ข่าวลุงตู่ยกเลิกภารกิจไปต่างประเทศ มีการประกาศรวมตัวผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเพื่อเตรียมแถลงการณ์ข่าวสำคัญในช่วงเย็น พร้อมกับมีข่าวลือออกมามากมาย แถมมีพี่พยาบาลคนหนึ่งที่สามีเป็นตำรวจหรือเป็นเจ้าหน้าที่อะไรสักอย่างในวัง บอกให้เตรียมชุดดำได้เลย
ตอนนั้นพวกผมได้แต่ชะเง้อมองโทรทัศน์ที่เคาน์เตอร์รับคนไจ้ญี่ปุ่น แต่ก็ยังเป็นรายการปกติ ไม่มีสัญญาณไม่ดีอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายเย็นวันนั้นก็ยังไม่มีแถลงการณ์อะไรพิเศษ มีแค่แถลงการณ์เกี่ยวกับพระอาการตามปกติ แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่าพระอาการน่าเป็นห่วงกว่าทุกครั้ง
เช้าวันที่ 13 ตุลาคม ผมนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานตามปกติ วันนั้นผมทำงานติดกันเป็นวันที่ 10 เหตุการณ์ช่วงเช้ายังคงปกติ แต่พอถึงช่วงเวลาเดียวกับเมื่อวาน ก็มีเพื่อนผมแชร์ข่าวการปิดลงนามถวายพระพร ทำให้เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอผมอีกครั้ง และตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งเฟซและไลร์ก็มีข่าวลือออกมาเยอะแยะไปหมด แถมคราวนี้ข่าวดูจะชัดเจนและมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อวาน แต่พวกผมก็พยายามไม่เชื่อจนกว่าจะมีแถลงการณ์แบบเป็นทางการออกมา ซึ่งแหล่งข่าวแจ้งว่าจะมีประมาณ 6 โมงเย็น-1 ทุ่มตรง แต่ตอนนั้นก็มีพี่บางคนร้องไห้ไปแล้ว
เข็มนาฬิกาขยับเข้าใกล้เวลานั้นเรื่อย ๆ ข่าวลือก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุด แล้วตอนนั้นประมาณ 6 โมง ที่หน้าจอโทรทัศน์ที่เคาน์เตอร์รับคนไข้ญี่ปุ่นก็ขึ้นไตเติ้ลรายการของ คสช. พวกผมก็นึกว่าแถลงการณ์แล้ว แต่ก็เป็นรายการปกติของ คสช. เท่านั้น จึงกลับไปนั่งในห้องเดิม
ยิ่งใกล้เวลาแถลงการณ์ ข่าวลือก็ยิ่งแรงขึ้น มีการถวายความอาลัยของแพทยสภา,มีคลิปหมอปละบุคลากรโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี มีการแชร์ภาพหีบพระบรมศพ ทั้งยังมีการแชร์ภาพสมเด็จพระเทพฯ กันแสง (แต่จริง ๆ แล้วเป็นภาพเก่าที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงงานจนพระเสโทไหล และมีคนเช็ดพระเสโทถวายเฉย ๆ)
ช่วงใกล้ประกาศสำนักพระราชวัง ถึงคิวผมต้องออกไปแปลคนไข้พอดี จำได้เลยผมเกือบเดินเข้าผิดแผนกแล้ว คือมึนงงหนักมาก
พอแปลเสร็จ กลับมาที่ห้องได้ไม่นาน ก็เป็นเวลา 6 โมง 50 กว่าแล้ว วันนั้นผมเลิก 1 ทุ่มด้วย ปกติแล้วถ้าลง 1 ทุ่ม เวลานั้นผมจะเริ่มเก็บกระเป๋าแล้ว แต่วันนั้นผมจะขออยู่ดูแถลงการณ์ก่อน
และแล้ว 1 ทุ่มตรง โทรทัศน์ที่เคาน์เตอร์ญี่ปุ่นก็ขึ้นจอสีดำพร้อมตัวหนังสือ "ประกาศสำนักพระราชวัง" ผมกับพี่ล่ามอีกคนรีบออกไปดูทันที นอกจากผมแล้ว พยาบาลและคนไข้ที่อยู่แถวนั้นก็แหงนหน้าดูโทรทัศน์กันด้วยความสงบนิ่ง
ทันทีที่คำว่า "เสด็จสวรรคต" ออกมาจากโทรทัศน์ ก็มีบางคนร้องไห้ทันที ส่วนผมได้แต่อึ้ง ถามตัวเองว่านี่มันคือเรื่องจริงเหรอ ไม่จริงใช่มั้ย
วันนั้นตอนนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน หน้าจอบนแผงกั้นชานชาลาก็ขึ้นบทกลอนแสดงความอาลัย หน้าจอในรถไฟฟ้าที่ปกติมีแต่โฆษณาน่าหนวกหูก็ขึ้นบทกลอนแสดงความอาลัยทุกจอ ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ในคืนวิปโยคคืนนั้น
ย้อนสู่วันนี้เมื่อปีที่แล้ว 13 ตุลาคม 2559...
เริ่มจากวันที่ 12 ตุลาคมก่อน
ผมทำงานเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นตอนที่ไม่มีเคสเข้ามาให้แปล ผมกับพี่ ๆ ล่ามทั้งหมดก็จะนั่งชิล ๆ เล่นมือถือ หรือทำอะไรต่าง ๆ ที่เป็นกิจกรรมส่วนตัว วันนั้นก็เช่นกัน
ช่วงประมาณบ่าย 2-3 วันนั้น ขณะกำลังนั่งชิล ๆ กันอยู่ ก็มีพี่คนหนึ่งทำหน้าตกใจและคุยกับพี่อีกคนว่าเขาแชร์กันว่า ในหลวงสวรรคตแล้ว ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอผมทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว ในไลน์ก็มีเพื่อนแชร์ข่าวลุงตู่ยกเลิกภารกิจไปต่างประเทศ มีการประกาศรวมตัวผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเพื่อเตรียมแถลงการณ์ข่าวสำคัญในช่วงเย็น พร้อมกับมีข่าวลือออกมามากมาย แถมมีพี่พยาบาลคนหนึ่งที่สามีเป็นตำรวจหรือเป็นเจ้าหน้าที่อะไรสักอย่างในวัง บอกให้เตรียมชุดดำได้เลย
ตอนนั้นพวกผมได้แต่ชะเง้อมองโทรทัศน์ที่เคาน์เตอร์รับคนไจ้ญี่ปุ่น แต่ก็ยังเป็นรายการปกติ ไม่มีสัญญาณไม่ดีอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายเย็นวันนั้นก็ยังไม่มีแถลงการณ์อะไรพิเศษ มีแค่แถลงการณ์เกี่ยวกับพระอาการตามปกติ แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่าพระอาการน่าเป็นห่วงกว่าทุกครั้ง
เช้าวันที่ 13 ตุลาคม ผมนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานตามปกติ วันนั้นผมทำงานติดกันเป็นวันที่ 10 เหตุการณ์ช่วงเช้ายังคงปกติ แต่พอถึงช่วงเวลาเดียวกับเมื่อวาน ก็มีเพื่อนผมแชร์ข่าวการปิดลงนามถวายพระพร ทำให้เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอผมอีกครั้ง และตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งเฟซและไลร์ก็มีข่าวลือออกมาเยอะแยะไปหมด แถมคราวนี้ข่าวดูจะชัดเจนและมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อวาน แต่พวกผมก็พยายามไม่เชื่อจนกว่าจะมีแถลงการณ์แบบเป็นทางการออกมา ซึ่งแหล่งข่าวแจ้งว่าจะมีประมาณ 6 โมงเย็น-1 ทุ่มตรง แต่ตอนนั้นก็มีพี่บางคนร้องไห้ไปแล้ว
เข็มนาฬิกาขยับเข้าใกล้เวลานั้นเรื่อย ๆ ข่าวลือก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุด แล้วตอนนั้นประมาณ 6 โมง ที่หน้าจอโทรทัศน์ที่เคาน์เตอร์รับคนไข้ญี่ปุ่นก็ขึ้นไตเติ้ลรายการของ คสช. พวกผมก็นึกว่าแถลงการณ์แล้ว แต่ก็เป็นรายการปกติของ คสช. เท่านั้น จึงกลับไปนั่งในห้องเดิม
ยิ่งใกล้เวลาแถลงการณ์ ข่าวลือก็ยิ่งแรงขึ้น มีการถวายความอาลัยของแพทยสภา,มีคลิปหมอปละบุคลากรโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี มีการแชร์ภาพหีบพระบรมศพ ทั้งยังมีการแชร์ภาพสมเด็จพระเทพฯ กันแสง (แต่จริง ๆ แล้วเป็นภาพเก่าที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงงานจนพระเสโทไหล และมีคนเช็ดพระเสโทถวายเฉย ๆ)
ช่วงใกล้ประกาศสำนักพระราชวัง ถึงคิวผมต้องออกไปแปลคนไข้พอดี จำได้เลยผมเกือบเดินเข้าผิดแผนกแล้ว คือมึนงงหนักมาก
พอแปลเสร็จ กลับมาที่ห้องได้ไม่นาน ก็เป็นเวลา 6 โมง 50 กว่าแล้ว วันนั้นผมเลิก 1 ทุ่มด้วย ปกติแล้วถ้าลง 1 ทุ่ม เวลานั้นผมจะเริ่มเก็บกระเป๋าแล้ว แต่วันนั้นผมจะขออยู่ดูแถลงการณ์ก่อน
และแล้ว 1 ทุ่มตรง โทรทัศน์ที่เคาน์เตอร์ญี่ปุ่นก็ขึ้นจอสีดำพร้อมตัวหนังสือ "ประกาศสำนักพระราชวัง" ผมกับพี่ล่ามอีกคนรีบออกไปดูทันที นอกจากผมแล้ว พยาบาลและคนไข้ที่อยู่แถวนั้นก็แหงนหน้าดูโทรทัศน์กันด้วยความสงบนิ่ง
ทันทีที่คำว่า "เสด็จสวรรคต" ออกมาจากโทรทัศน์ ก็มีบางคนร้องไห้ทันที ส่วนผมได้แต่อึ้ง ถามตัวเองว่านี่มันคือเรื่องจริงเหรอ ไม่จริงใช่มั้ย
วันนั้นตอนนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน หน้าจอบนแผงกั้นชานชาลาก็ขึ้นบทกลอนแสดงความอาลัย หน้าจอในรถไฟฟ้าที่ปกติมีแต่โฆษณาน่าหนวกหูก็ขึ้นบทกลอนแสดงความอาลัยทุกจอ ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ในคืนวิปโยคคืนนั้น