ประสบการณ์จากต่างแดน@Montana

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ
นี่เป็นกระทู้ที่สองที่เราตั้ง แต่จะเรียกว่าเป็นกระทู้แรกที่เราจะเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองค่ะ

ขออ้างไปกระทู้แรกหน่อย...มันป็นกระทู้เล็กๆของเด็กผู้หญิงคนนึงซึ่งตอนนั้นมีความสงสัยและไม่รู้จะไปถามใคร จึงมาตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับการไปwork & travel ที่ Montanaไว้ค่ะ ขอบคุณเพื่อนในพันทิปท่านหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกมั่นใจและตัดสินใจไปที่นั่น^^

แต่ตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรอีกเลย...

นี่ก็ผ่านมาเกือบๆ2ปีได้แล้วมั้งคะ คิดอยู่นานมากว่าจะเขียนดีมั้ย รู้สึกกกล้าๆกลัวๆ คิดวนไปวนมา5555
ก็เลยขออนุญาตเข้ามาตั้งหยอดๆไว้ ระหว่างพักเครียดๆจากการอ่านหนังสือสอบ
(มันเป็นธรรมดาใช่มั้ยคะ ว่าช่วงใกล้สอบกับช่วงสอบเราจะอยากทำทุกอย่างยกเว้นอ่านหนังสือ5555)

ประสบการณ์ที่เราจะมาเล่าให้ฟัง มันจะไม่ใช่การรีวิวถึงค่าตอบแทนหรือเงินทองที่เราได้มานะคะ แต่มันจะเป็นเหมือนไดอารี่ของเราที่เราทยอยๆเขียนมาตลอดตอนอยู่ที่นู้น หรือเรียกได้ว่าเขียนตอนไม่มีไรทำ ไม่มีใครฟัง ไม่มีคนคุยก็คุยกะตัวเองประมาณนั้น

ขอเกริ่นๆไว้ก่อนละกันนะ จะมีใครรอฟังอยู่มั้ยน้า
เดี๋ยวไปอ่านหนังสือรอแล้วจะมาเขียนต่อนะ
หย่อนรูปไว้หน่อย

มาหย่อนต่ออีกหน่อย
ไดอารี่ของเรามันเริ่มเมื่อไปอยู่ที่นู้นได้สัก3-4วันค่ะ จริงๆเราเคยเขียนและเคยโพสเฟสไปแล้ว แต่เป็นการทยอยๆลง เพื่ออัพเดตข่าวสารให้พ่อแม่ได้อ่าน ให้ท่านได้เห็นหน่อยว่าเราเป็นอย่างไร ใช้ขีวิตยังไงทำอะไรบ้าง เผื่อจะบรรเทาความคิดถึงกัน กิกิ

รูปแบบที่เราจะเอามาลงก็จะคล้ายๆกับที่เราเขียนเก็บไว้ อาจมีเปลี่ยนแปลงถ้อยคำนิดหน่อยให้ดูไม่เหมือนพูดคนเดียวมากเกินไป5555

มันเริ่มที่ว่า.....
"หลังจากครบรอบหนึ่งเดือนแล้วที่อยู่ที่นี่ หาอะไรพิเศษๆทำซะหน่อย ธรรมดาเป็นคนไม่ค่อยจะเขียนไดอารี่นะ ซื้อสมุดมาที่ไรเปิดเขียนได้ไม่เกินสัปดาห์ แต่ครั้งนี้คงเป็นเพราะไม่มีอะไรทำจริงๆ555 จึงมีความคิดที่จะเขียนขึ้นมาและก็ไม่คิดนะว่าการเขียนครั้งนี้จะเขียนไปถึงวันไหน...."

27 May 2016
หลังจากใช้ชีวิตมาได้สัก3-4วัน ในที่สุดชีวิตจริงก็มาถึง...
ขอย้อนกลับไป2-3วันแรกที่ได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นUSA(งงๆหน่อยเปิดวาร์ป ทามแมชชีนย้อนเวลาเล่าอดีต555) พวกเรา(เจ้าของกระทู้กับเพื่อน)มีชีวิตที่ดีมากกกก ชิวไปวันๆ(อันนี้อาจคิดไปคนเดียว) แม้จะมีความเมื่อยตูดแล้วเมื่อยตูดอีกบนเครื่องบินหรือจะปวดคอแล้วปวดหลังอีกบนAmtrak กินมื้อเว้นไปสองมื้อ แต่เราก็แฮปปี้ดี้ด๊ากับที่นอนหมอนมุงในโรงแรม(อันนี้ก็อาจคิดไปคนเดียวอีก แฮร่) และที่สุดคือบรรยากาศระหว่างการเดินชมสถานที่ต่างๆในSeattleและWhitefish

มีรูปมาฝากเล็กน้อย

(เช้าวันแรกบนแผ่นดินUSA เราอยู่กันที่ชานเมืองSeattle เดินปล่อยกายปล่อยใจสักแปรบแลัวเราจะขึ้นLink เข้าเมืองกันต่อ)


(แถวๆที่พักเรามีร้านนี้อยู่ เป็นร้านเดียวที่เดินถึง เพราะรอบๆSeatec เป็นโรงแรมซะส่วนใหญ่ คนดูเยอะดีนะ แต่มื้อเช้าเราฝากท้องกับ7-11ไปเสียแล้วTT)

มาต่อแล้วค่ะ หลังจากปวดหัวกับการติวหนังสือกับเพื่อนมาทั้งวัน

(แถวๆplublic market เดินเที่ยวเมืองไปเรื่อยๆ หิ้วของพลุงพลังไปอีก เพราะฝากกระเป๋าที่สถานีไปแล้ว แวะกินพายร้านดัง ข้างๆStarbucks ร้านแรกของโลก ปิดท้ายด้วยอาหารไทยสักมื้อเป็นการบอกลาและล้างปากด้วยไอศกรีมแฮนด์เมต ก่อนที่จะใช้ชีวิตอีกวันบนamtrakยาวๆ)

(Whitefish อย่างกับเมืองจำลอง ร้านค้าเรียงรายเป็นสัดส่วน ผู้คนน่ารักสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน ที่นี้รถยนต์ให้เกียรติคนเดินถนนมาก เขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยบนท้องถนนสุดๆ นี่ไงเพื่อนเรา เธอกำลังเก็บภาพประทับใจกลับไปฝากคนทางบ้านอยู่เลย)


(Lunch timeสักหน่อย ที่นี่อาหารชิ้นใหญ่ชิ้นโตมาก และร้านนี้ก็เป็นโรงบ่มเบียร์ขนาดย่อมๆเลยทีเดียวเชียวแหละ)

ขอข้ามเวลาแห่งความสุขทั้งหมดไป และมาต่อกันเลยดีกว่า....
กลับมาที่27 May 2016 วันเริ่มงานของเรา ว้าววววววว(อารมณ์ตอนนั้นมันก็ตื่นเต้นอยู่นะ)
แต่ๆๆ ความพีคมันอยู่ที่ว่า หลังจากsay good bye my love grouse โรงแรมที่สบายทุกอย่างที่ได้ไปนอนพักแบบเต็มที่จริงๆหลังจากนั่งเบื่อๆเปื่อยๆอยู่บนamtrakมานานมากกกกกกก คือตอนนั้นมันรู้สึกดีมากจริงๆ อากาศก็ดีบรรยากาศก็ดี แม้จะไม่มีbreakfastให้และถูกcharge ค่ากาแฟโดยไม่รู้ตัวเราก็ยินดีจ่ายและยัดทุกอย่างลงกระเพาะภายใน 15 นาที เพราะรถที่ทำงานมารอรับหละ(รีบสิ รีบบบ)

เมื่อเรื่องงานต้องมาก่อนเรื่องอื่น (?)
เราเดินทางออกจากโรงแรมด้วยshuttle busเพื่อไปorientation ขอเรียกที่นั้นว่าสำนักงานละกัน คือ ทุกอย่างยังดีงามตามท้องเรื่องมีพิชซ่าเลี้ยงจ้า ไม่ไก่กามากพอไหว มีsoft cookieวางไว้ให้หยิบตามสบายจ้า คือดีตรงนี้cookieอร่อยมากกกก พอorientationเสร็จก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงาน
และจากนี้ความพีคมันค่อยๆเพิ่มขึ้น(เดิมก็มีประปรายมาตลอด5555)

งงไปอีก
11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อนๆแยกย้ายไปที่ทำงาน แต่พวกเราอบรมต่อจ้า -งงแปรบ-
14.00 น. พวกเราอบรมเสร็จละ แต่สอบต่อจ้า -ห๊าาาาาาา what's the...-
14.30 น. พวกเราสอบเสร็จ ผ่าน และได้ใบcertification(คือเราทำแนวprep cookมันเลยต้องมีfood handler Training อะไรนิดหน่อย)
ทีนี้ก็เริ่มงานได้จ้า -พร้อมสุดไรสุด-
15.00 น. เจอกับเพื่อนกลุ่มที่มาก่อนเมื่อ2-3 วันที่แล้วจ้า ในตอนนั้นเองที่พวกเราได้เพื่อนร่วมทางเพิ่ม1 คน มุ่งหน้าไป Rising Sun Inn
go go let's go!

ว่าด้วยป้าDebbyและลุงMatt
ค่ะ พวกเรานั่งshuttle busไปกันค่ะ มีเพื่อนร่วมเดินทาง 7 คน รวมคุณป้าDebbyและคุณลุงMatt ซึ่ง2คนนี้มักทำหน้าที่สลับไปสลับมาตลอดwayyyyy ก่อนออกจากความเป็นเมืองป้าDebby สั่งลุงMatt จอดแวะ food and drug ซึ่งเป็นsupermarket พอเดินเข้าไปนึกว่าเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน Hot Kitchen หรือ Master Chef รีบไปอีก หยิบ เดินเข้าshelf หยิบ เดินเข้าshelf ต่อcashier ออก เสร็จจ้าาา 10 นาทีถึงป่าวเหอะ จ้าาาาา แล้วแต่เลย --

สักพักป้าDebbyก็ drop เพื่อน 2 คนกลางทางละให้ต่อรถอีกคันไปเลยจ้า-bye-
ที่นี้เราก็เหลือกันแค่ 5 คนละ (รวมคุณป้าDebbyและคุณลุงMattแล้วเด้อออ)

และแล้วความเป็นprivate ก็เพิ่มขึ้นไปอีก ตลอดการเดินทาง ป้าDebby เทรนงานลุงMatt ตลอด ย้ำตลอดๆๆ คือจริงๆลุงMatt มาทำงานวันนี้วันแรกจ้า เมื่อเช้ายังcheck out ออกจากโรงแรมเพื่อไปที่สำนักงานด้วยกันอยู่เลยจ้า และก็ถูกเทรนมาตลอดๆตั้งแต่เช้าจ้า

ลุงMattเป็นคนอารมณ์ดีและกระตือรือร้นในการทำงานมากๆจ้า ลุงMattชวนป้าDebby และป้าDebby ก็ชวนลุงMattคุยอย่างสม่ำเสมอ เพลินๆก็หันมาคุยกับอีนี้จ้า ตอบไม่ได้จ้า5555

ขับไปเลยจ้าพวกเราโอเค
ขอบอกว่าโค้งร้อยศพนี้ชิดซ้าย ทางขึ้นดอยสุเทพชิดขวา ทางขึ้นภูสอยดาวเทียบไม่ติด(ยังไม่เคยไป555) ไม่รู้เป็นเพราะเส้นทางหรือฝีมือจับพวงมาลัยและฝีเท้าการเหยียบคันเร่งของป้าDebby ทำให้กระอักกระอวนตลอดเส้นทาง ส่วนลุงMattอย่าให้พูดถึง เนื่องจากป้าDebbyแกเทรนงานตล๊อดๆ จะช้าจะเร็ว ลุงMattปฏิบัติตามป้าDebbyบอกเลยจ้ามีกระตุกๆบ้าง เล่นเอากระเป๋าท้ายรถถึงกับง่วงนอนหงายตึง หัวนี้เอียงซ้ายทีขวาที แต่พวกเราไม่เป็นไรเลยจริมๆ เพราะ "seat belt seat belt" ลุงMatt ย้ำเสมอๆ

(แวะนิดแวะหน่อยถ่ายรูปกันดีกว่า)


(ใกล้ถึงแล้ว มองข้ามแม่น้ำไปจะเห็นแต่ลำต้นของต้นสนที่เป็นสีเทา ป้าDebbyบอกนะว่าเป็นเพราะอะไร แต่ฟังไม่ถนัดเท่าไร ขอไม่เดาละกัน แต่ถ้าฟังไม่ผิดก็คงเป็นเพราะไฟไหม้เมื่อปีที่แล้ว)

ผิดคาด
ก่อนจะถึงจุดหมายเพื่อนของเราได้กล่าวว่า 2 ชม. กว่าหน่อยเดียวก็ถึงตามที่Google map บอก
...แต่ช้าแต่...เนื่องจากลุงMattมาเทรนงานนาจา ตลอดการเดินทางพวกเราเลยเป็นเสมือนนักท่องเที่ยวเลยจ้า ป้าDebbyเล่าทุกอย่างที่สำคัญของความเป็น Xanterra Glacier และMontanaตลอด ซึ่งมันดีมาก ความรู้อัดแน่น ประโยชน์สุดๆ ดื่มด่ำธรรมชาติตลอด2ขัางทาง ติดที!!! ฟังไม่รู้เรื่อง5555 ป้าDebbyและลุงMatt มีความสุขกับการเทรนงานกันฝุดๆ ขับกันเร็วติดจรวด พรวดพราดดุจมังกร มีความสตรองค์ในทุกท้องถนน ขับไปพักชมวิวไป ออกมาบ่ายสามกว่าถึงเกือบทุ่มจ้าาาาาาา น่ารักผุดๆ


(เรามากลุ่มสุดท้ายของวันเขาเลยเก็บอาหารไว้ให้แบบนี้เลย)

พีคสุดที่นี้ (และนี้ก็คงเพิ่งเริ่มต้น)
-ที่ทำงาน- แค่เห็นก็สัมผัสได้ว่า "เอาไงละที่นี่" โรงแรมยังสร้างไม่เสร็จนาจา ยังไม่พร้อมนาจา มีหมีนาจา ย้ำมีหมีนาจา แต่ไม่เป็นไร55555 ไม่มีเน็ตนาจา ย้ำไม่มีเน็ตนาจา stun 30 วิ ในใจคิด-ูตายยย....


(ในโรงแรมนี่แหละ5555 เขตหมี กลัวซะที่ไหนกัน)


(รอคนมาอยู่ด้วย)

สรุปชีวิตดีค่ะ พรุ่งนี้ทำงาน #xanterraหนาวมาก#risingsunหนาววัวตายควายล้มแต่หมียังอยู่นาจา
ทิ้งท้ายไว้ว่า As cold as stone (หนาว หนาว หนาว) - คืนแรกที่Rising Sunทรมานมาก หนาวเข้ากระดูกดำ ฮีตเตอร์ใช้ไม่ได้ ด้วยความใจดีHallie(เจ้านาย)เลยเอาแบบพกพามาให้ใช้ ขุ่นพระะะะะ หนาวเหมือนเดิม ความหนาวที่ไม่ลดลงยังกะความรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หนาวจนนอนไม่ได้ นึกว่านอนอยู่ในfreezer หนาวมากกว่าแก้ผ้าเดินในลำปาง #xanterraหนาวมาก#risingsunหนาววัวตายควายล้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่