บทนำ
https://ppantip.com/topic/36931516
บทที่ 1 ญาติผู้ตาย
ช่วงเย็นวันพฤหัสบดี รถกระบะสองตอนสีดำ ด้านข้างติดสติ๊กเกอร์ กองปราบปราม จอดอยู่ลานด้านหน้าทรัพย์สิริวรรณอพาร์ตเมนต์ ในซอยรามคำแหง 48 กัลยาชำเลืองมองนิดหนึ่งขณะเดินตรงเข้าประตูหน้าอาคารแต่ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ท้องฟ้าจวนมืดแล้ว ฝนเพิ่งหยุดตกไม่นาน เธอรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานและเดินทางด้วยรถประจำทางท่ามกลางการจราจรติดขัดบนถนนของกรุงเทพฯ ในหัวจึงคิดเพียงว่าจะกลับบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นอนหลับพักผ่อนแล้วค่อยตื่นขึ้นมากินข้าวปลาอาหารที่ซื้อติดมือเข้ามาเท่านั้น
เธอฝันเสมอว่า ถ้าวันใดหาเงินได้มากพอ อาจมากกว่าห้าแสนหรือหลักล้านบาท จะได้มาจากการถูกหวยรวยเบอร์หรือเปิดรับโชคใต้ฝาขวดเครื่องดื่มก็ไม่ว่ากัน เธอจะลาออกจากการเป็นลูกจ้างแล้วกลับไปอยู่ที่ขอนแก่น ซื้อที่ดินผืนเล็กๆ ปลูกผักเลี้ยงปลาทำเกษตรกรรมแบบพอเพียงที่บ้านเกิด แต่ความรู้แค่ชั้นมัธยม 6 จะเอาปัญญาที่ไหนมาหาเงินให้ได้มากๆ ด้วยลำแข้งตัวเอง เพราะจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังต้องเช่าห้องพักอยู่ ทำงานกินเงินเดือนน้อยนิด เมื่อหักค่ากินค่าใช้จ่ายและภาษีสังคมแล้ว ก็แทบจะไม่เหลือให้เก็บ
เธอยืนรอลิฟต์พร้อมชายหญิงอีกสามคน เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อจากด้านหลัง
“คุณกัลยา มีคำ ใช่มั้ยคะ?”
เจ้าของชื่อหมุนตัวไปทางต้นเสียง พบหญิงสาวหน้าตาพื้นๆ ธรรมดา ตัดผมรองทรงสั้น อยู่ในชุดกางเกงผ้าและเสื้อคลุมสีดำก้าวเข้ามาหา บนอกเสื้อด้านซ้ายมีตราสัญลักษณ์สีน้ำเงินและอักษรสีเหลืองเขียนว่า กองปราบปราม เห็นเด่นชัด กัลยาพยักหน้า ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ฉัน...ร้อยตำรวจเอกหญิงสุจิตรา ณ ปากน้ำ สารวัตรปราบปราม จากกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนี่คือ...” เธอผายมือไปยังชายอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาสมทบ ชายคนนี้หวีผมเรียบแปล้ หน้าตาออกบวมๆ รูปร่างท้วม พุงยื่น สวมสูทผูกเน็คไทร์เรียบร้อย ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำ “คุณอัครเดช สิริสุรโชค ทนายความ”
“ค่ะ..สวัสดีค่ะ” กัลยายกมือไหว้ทั้งสองคน
“เรามีเรื่องจะขอซักถามคุณสองสามเรื่อง ขอขึ้นไปคุยเป็นการส่วนตัวบนห้องพักของคุณได้ไหมคะ” ร้อยตำรวจเอกหญิง แสดงบัตรประจำตัวข้าราชการและตราตำรวจ
ในชีวิตนี้ มีคนสองจำพวกที่เธอไม่เคยอยากยุ่งด้วย นั่นคือตำรวจและทนายความ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว เธอหันมองซ้ายขวาสบสายตากับคนหน้าลิฟต์ก่อนถามตำรวจหญิงเพื่อความแน่ใจ “เรื่องอะไรคะ?”
“นางสาวกันตา มีคำ” สารวัตรสาวบอก
ข้างในลิฟต์เงียบกริบ ไร้เสียงพูดคุย กระทั่งหยุดลงที่ชั้น 7 กัลยานำบุคคลทั้งสองก้าวตามโถงทางเดินจนถึงห้องหมายเลข 712 เธอไขกุญแจเปิดประตู เชิญอาคันตุกะเข้าข้างใน
หลอดไฟเพดานสว่างขึ้น กัลยาวางของบนตู้เย็นแล้วขยับเลื่อนเก้าอี้ให้แขกสองคนนั่งข้างโต๊ะกลม เธอเปิดประตูระเบียงให้อากาศถ่ายเท กดเปิดพัดลมหมุนส่าย ก่อนดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งลงฝั่งตรงข้าม
นายตำรวจหญิงมองสำรวจรอบห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบันทึกเสียง ก่อนพูดขึ้น “เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใส ทางเราซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญทนายความมาร่วมเป็นสักขีพยานในการซักถามด้วย”
เจ้าของห้องพยักหน้ารับทราบ “ค่ะ”
ทนายความอัครเดช หยิบนามบัตรยื่นให้เจ้าของห้อง
“คุณอยู่คนเดียว?” นายตำรวจหญิงถาม
“ใช่ค่ะ อยู่คนเดียว”
“ไม่มีสามีหรือลูก”
“ไม่มีลูก ส่วนแฟนเลิกกันไปหลายปีแล้ว” เธอบอกพร้อมเบือนหน้าออกนอกระเบียง สายตามองข้ามหลังคาบ้านเรือนและยอดตึกไปบนท้องฟ้า เธอเคยได้ยินหลายคนพูดกันว่า เวลาตำรวจถามอะไร ให้บอกไปตามความจริง เพราะถ้าเราเริ่มพูดปด เราก็จะต้องแต่งเรื่องโกหกปกปิดเรื่องก่อนหน้านั้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน ถ้าเราไม่พลาดทำความแตกเองเสียก่อน ก็จะถูกตำรวจจับความเท็จได้ในที่สุด
“ทำงานอะไร ที่ไหนเหรอคะ”
“อยู่แผนกแม่บ้าน โรงแรมรัชดาเพิร์ล ถนนรัชดาภิเษก”
“คุณเป็นอะไรกับนางสาวกันตา มีคำ”
“น้องสาว”
“โดยสายเลือด”
เจ้าของห้องผงกหัว สายตามองหาคำตอบบนใบหน้าของสารวัตรหญิง “ใช่ค่ะ แต่นี่มันเรื่องอะไรกันคะ คุณตำรวจ”
ทนายความวางกระเป๋าบนโต๊ะ แล้วเปิดหยิบเอาซองสีน้ำตาลออกมายื่นให้ตำรวจสาว
“เราอยากให้คุณดูรูปพวกนี้ แล้วบอกเราว่าใช่พี่สาวของคุณหรือไม่” พูดจบ ผู้กองหญิงก็ดึงแผ่นกระดาษชุดหนึ่งออกมายื่นให้กัลยา
ทั้งหมดมีสี่แผ่น แผ่นแรกเป็นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ที่มีภาพถ่ายหน้าตรงของผู้หญิง สวย ผมยาว ผิวขาว นัยน์ตาดำขลับ แผ่นที่สองเป็นข้อมูลตามสำเนาทะเบียนบ้านที่มีรูปถ่ายหน้าตรงของหญิงคนเดียวกันแต่มีขนาดเล็กกว่ารูปบนแผ่นแรกมากอยู่ที่มุมขวา ทั้งสองแผ่นมีอักษรตัวใหญ่หนาสีแดงลงตราเอาไว้ว่า ใช้ในราชการตร. และมีตัวย่อ สตช. ประทับอยู่ด้านล่าง
“พี่กิ๊ก” กัลยาเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วอ่านเลขประจำตัวประชาชนใต้ภาพ จากนั้นเป็นชื่อ-สกุล นางสาว กันตา มีคำ ถัดมาเป็นอายุ เพศ วันเกิด และสัญชาติ ซึ่งทุกอย่างถูกต้องทั้งหมด อีกทั้งภูมิลำเนาในทะเบียนก็ตรงกับบ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ ในจังหวัดขอนแก่นที่เป็นบ้านเกิดของเจ้าตัว
“พี่สาวคุณใช่ไหมครับ?” ทนายความถามขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล
“ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” เธอเงยขึ้นมองตาคนทั้งสองสลับกันด้วยความสงสัย แล้วก้มลงพลิกกระดาษอีกสองแผ่นที่เหลือดู มันเป็นข้อมูลทะเบียนราษฎร์และข้อมูลตามสำเนาทะเบียนบ้านของตัวเธอเอง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่เดียวกันกับพี่สาว
“สันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม” สารวัตรปราบปรามบอกด้วยเสียงเรียบเฉย
“เสียชีวิตจากการฆาตกรรม?” กัลยาจ้องหน้าตำรวจตาไม่กระพริบ หัวใจเต้นแรง
“เราเพียงแค่สันนิษฐาน แต่ยังยืนยันไม่ได้จนกว่าจะมีญาติไปช่วยชี้ตัวผู้ตาย ซึ่งตามข้อมูลจากการสืบสวนของตำรวจ คุณเป็นญาติใกล้ชิดเพียงคนเดียวของนางสาวกันตา” พูดจบก็ล้วงหยิบเอากระดาษจากซองสีน้ำตาลแล้วยื่นให้กัลยาอีกหนึ่งชุด
เจ้าของห้องใจหายวาบ แทบช็อคกับสิ่งที่เห็นในมือ กระดาษทั้งหมดเป็นภาพถ่ายหลายๆ มุมของใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพถูกทำร้ายจนเสียโฉมยับเยินแทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิมไว้ให้จดจำ ลูกตาสองข้างหลุดออกมาอยู่บนแก้มที่เต็มไปด้วยบาดแผล ฟันบนและล่างร่วงหายไปทั้งแถว เลือดสีดำคล้ำกระจายท่วมทุกอณู เธอคว่ำรูปเหล่านี้ลงบนโต๊ะ ทนดูต่อไปไม่ไหว วิงเวียนในหัวคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนออกมา
“ข่มขืนแล้วฆ่าหรืออาจเป็นฆ่าก่อนข่มขืนศพอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นก็ทำลายใบหน้าศพเพื่อไม่ให้ใครจำเหยื่อได้ เหมือนพยายามอำพรางคดี”
“ตำรวจรู้ได้ยังไงว่าเป็นพี่กิ๊ก ตอนนี้ศพอยู่ที่ไหนคะ” กัลยาละล่ำละลักถาม น้ำตาคลอเบ้า พยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาต่อหน้าแขก
“ศพอยู่เชียงใหม่ เมื่อเช้านี้มีคนพบศพหญิงไม่ทราบชื่อถูกทิ้งไว้ในป่า เขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยกู้ภัยนำศพส่งโรงพยาบาลนครพิงค์ ตำรวจท้องที่กับฝ่ายพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคล ส่งลายพิมพ์นิ้วมือผู้ตายไปตรวจสอบกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ พบว่าเจ้าของลายนิ้วมือชื่อ นางสาวกันตา มีคำ ตามทะเบียนราษฎร์ที่พิมพ์ออกมา ท้องที่ส่งเรื่องมาให้เราตามหาญาติเพื่อเชิญตัวไปชี้ศพ ซึ่งผลการตรวจสอบเราพบว่า คุณเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว”
กัลยาพยักหน้า น้ำตาเอ่อล้นออกมา เธอเอื้อมดึงกระดาษทิชชู่บนโต๊ะเครื่องแป้งมาซับให้แห้ง “ใช่ค่ะ เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง พ่อแม่เสียไปตั้งแต่เรายังเด็ก”
“เสียใจด้วยนะคะ เรื่องพ่อแม่ ว่าแต่พวกคุณสองพี่น้องสนิทกันไหม”
“ขอบคุณค่ะ เราเคยสนิทมากตอนเป็นเด็ก เราโตมาด้วยกัน” เธอจ้องตาหญิงผมสั้นฝั่งตรงข้าม “ทำไมถึงทำโหดร้ายกับพี่กิ๊กแบบนี้ ตำรวจรู้ตัวคนร้ายหรือยังคะ”
“ยังค่ะ แต่เราก็กำลังสืบสวนอย่างเต็มที่ และขอร้องพวกนักข่าวไม่ให้เสนอข่าวนี้จนกว่าเราจะได้ตัวคนร้าย”
“น่าสงสารพี่กิ๊ก ขอให้จับคนร้ายได้เร็วๆ สาธุ” เธอพนมมือจรดหน้าผาก ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“บ้านเลขที่ตามสำเนาทะเบียนบ้านนี้ เหมือนว่ายังมีภูมิลำเนาอยู่ด้วยกัน” ทนายความเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เราไม่มีบ้านแล้ว มันกลายเป็นของคนอื่นไปตั้งแต่พ่อแม่เราเสียแล้วค่ะ เขาแค่มีเมตตาไม่ไปย้ายเราออกเท่านั้น ฉันกับพี่กิ๊กก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานมากแล้ว” กัลยาบอก น้ำตายังไหลไม่หยุด เธอคว้ากล่องทิชชูมาวางบนโต๊ะแทนการหยิบมาทีละแผ่นสองแผ่น
“ช่วงที่ผ่านมา พี่สาวคุณอยู่ที่ไหนบ้าง พอจะรู้ไหม”
“ไม่รู้เลยค่ะ”
“คุณพบกับพี่สาวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ” นายตำรวจหญิงถามขึ้นสลับกับทนายความ
เจ้าของห้องพักเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เอียงคอ เลิกคิ้ว ดวงตาเหลือบมองด้านซ้ายไปที่เพดาน เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นานพักใหญ่กว่าจะตอบออกมา “สิบกว่าปีแล้ว ประมาณสิบสองหรือสิบสามปีนี่แหละ ไม่แน่ใจ”
ร้อยตำรวจเอกหญิงพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ “ตลอดสิบกว่าปีที่ไม่ได้พบกัน มีการติดต่อพูดคุยกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ โซเชียลมีเดีย จดหมายหรือวิธีอื่นๆ บ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคย ไม่ได้ติดต่อส่งข่าวคราวกันอีกเลยตั้งแต่กาเหว่าไปอยู่เมืองนอก เพราะพี่กิ๊กหายเงียบไปเฉยๆ เหมือนตายไปจากโลกนี้แล้ว ฉันพยายามโทร.หาตลอดช่วงปีแรกๆ แต่เบอร์โทร.นั้นถูกปิดไปแล้วติดต่อไม่ได้ อีกอย่างเราสองคนทะเลาะกัน ฉันรู้ว่าพี่กิ๊กโกรธ ก็เลยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ไม่อยากรับสายฉัน”
“รู้ถิ่นที่อยู่สุดท้ายของนางสาวกันตาหรือไม่”
“ไม่รู้”
“นางสาวกันตาทำอาชีพอะไรตอนนั้น พอจะรู้ไหมคะ”
“รับจ้างทำงานทั่วไป ไม่มีหลักแหล่ง”
“มีลักลอบค้าประเวณีด้วยหรือเปล่า”
กัลยาแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์กับคำถามนี้ เธอจ้องหน้าตำรวจสาวแล้วเปลี่ยนมามองทนายความ แต่เธอไม่เอ่ยคำใดออกมา
(กรุณาอ่านต่อในหน้าถัดไป)
[นิยาย] ฝ่าฝูงโจร (บทที่ 1 ญาติผู้ตาย)
บทที่ 1 ญาติผู้ตาย
ช่วงเย็นวันพฤหัสบดี รถกระบะสองตอนสีดำ ด้านข้างติดสติ๊กเกอร์ กองปราบปราม จอดอยู่ลานด้านหน้าทรัพย์สิริวรรณอพาร์ตเมนต์ ในซอยรามคำแหง 48 กัลยาชำเลืองมองนิดหนึ่งขณะเดินตรงเข้าประตูหน้าอาคารแต่ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ท้องฟ้าจวนมืดแล้ว ฝนเพิ่งหยุดตกไม่นาน เธอรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานและเดินทางด้วยรถประจำทางท่ามกลางการจราจรติดขัดบนถนนของกรุงเทพฯ ในหัวจึงคิดเพียงว่าจะกลับบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นอนหลับพักผ่อนแล้วค่อยตื่นขึ้นมากินข้าวปลาอาหารที่ซื้อติดมือเข้ามาเท่านั้น
เธอฝันเสมอว่า ถ้าวันใดหาเงินได้มากพอ อาจมากกว่าห้าแสนหรือหลักล้านบาท จะได้มาจากการถูกหวยรวยเบอร์หรือเปิดรับโชคใต้ฝาขวดเครื่องดื่มก็ไม่ว่ากัน เธอจะลาออกจากการเป็นลูกจ้างแล้วกลับไปอยู่ที่ขอนแก่น ซื้อที่ดินผืนเล็กๆ ปลูกผักเลี้ยงปลาทำเกษตรกรรมแบบพอเพียงที่บ้านเกิด แต่ความรู้แค่ชั้นมัธยม 6 จะเอาปัญญาที่ไหนมาหาเงินให้ได้มากๆ ด้วยลำแข้งตัวเอง เพราะจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังต้องเช่าห้องพักอยู่ ทำงานกินเงินเดือนน้อยนิด เมื่อหักค่ากินค่าใช้จ่ายและภาษีสังคมแล้ว ก็แทบจะไม่เหลือให้เก็บ
เธอยืนรอลิฟต์พร้อมชายหญิงอีกสามคน เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อจากด้านหลัง
“คุณกัลยา มีคำ ใช่มั้ยคะ?”
เจ้าของชื่อหมุนตัวไปทางต้นเสียง พบหญิงสาวหน้าตาพื้นๆ ธรรมดา ตัดผมรองทรงสั้น อยู่ในชุดกางเกงผ้าและเสื้อคลุมสีดำก้าวเข้ามาหา บนอกเสื้อด้านซ้ายมีตราสัญลักษณ์สีน้ำเงินและอักษรสีเหลืองเขียนว่า กองปราบปราม เห็นเด่นชัด กัลยาพยักหน้า ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ฉัน...ร้อยตำรวจเอกหญิงสุจิตรา ณ ปากน้ำ สารวัตรปราบปราม จากกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนี่คือ...” เธอผายมือไปยังชายอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาสมทบ ชายคนนี้หวีผมเรียบแปล้ หน้าตาออกบวมๆ รูปร่างท้วม พุงยื่น สวมสูทผูกเน็คไทร์เรียบร้อย ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำ “คุณอัครเดช สิริสุรโชค ทนายความ”
“ค่ะ..สวัสดีค่ะ” กัลยายกมือไหว้ทั้งสองคน
“เรามีเรื่องจะขอซักถามคุณสองสามเรื่อง ขอขึ้นไปคุยเป็นการส่วนตัวบนห้องพักของคุณได้ไหมคะ” ร้อยตำรวจเอกหญิง แสดงบัตรประจำตัวข้าราชการและตราตำรวจ
ในชีวิตนี้ มีคนสองจำพวกที่เธอไม่เคยอยากยุ่งด้วย นั่นคือตำรวจและทนายความ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว เธอหันมองซ้ายขวาสบสายตากับคนหน้าลิฟต์ก่อนถามตำรวจหญิงเพื่อความแน่ใจ “เรื่องอะไรคะ?”
“นางสาวกันตา มีคำ” สารวัตรสาวบอก
ข้างในลิฟต์เงียบกริบ ไร้เสียงพูดคุย กระทั่งหยุดลงที่ชั้น 7 กัลยานำบุคคลทั้งสองก้าวตามโถงทางเดินจนถึงห้องหมายเลข 712 เธอไขกุญแจเปิดประตู เชิญอาคันตุกะเข้าข้างใน
หลอดไฟเพดานสว่างขึ้น กัลยาวางของบนตู้เย็นแล้วขยับเลื่อนเก้าอี้ให้แขกสองคนนั่งข้างโต๊ะกลม เธอเปิดประตูระเบียงให้อากาศถ่ายเท กดเปิดพัดลมหมุนส่าย ก่อนดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งลงฝั่งตรงข้าม
นายตำรวจหญิงมองสำรวจรอบห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบันทึกเสียง ก่อนพูดขึ้น “เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใส ทางเราซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญทนายความมาร่วมเป็นสักขีพยานในการซักถามด้วย”
เจ้าของห้องพยักหน้ารับทราบ “ค่ะ”
ทนายความอัครเดช หยิบนามบัตรยื่นให้เจ้าของห้อง
“คุณอยู่คนเดียว?” นายตำรวจหญิงถาม
“ใช่ค่ะ อยู่คนเดียว”
“ไม่มีสามีหรือลูก”
“ไม่มีลูก ส่วนแฟนเลิกกันไปหลายปีแล้ว” เธอบอกพร้อมเบือนหน้าออกนอกระเบียง สายตามองข้ามหลังคาบ้านเรือนและยอดตึกไปบนท้องฟ้า เธอเคยได้ยินหลายคนพูดกันว่า เวลาตำรวจถามอะไร ให้บอกไปตามความจริง เพราะถ้าเราเริ่มพูดปด เราก็จะต้องแต่งเรื่องโกหกปกปิดเรื่องก่อนหน้านั้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน ถ้าเราไม่พลาดทำความแตกเองเสียก่อน ก็จะถูกตำรวจจับความเท็จได้ในที่สุด
“ทำงานอะไร ที่ไหนเหรอคะ”
“อยู่แผนกแม่บ้าน โรงแรมรัชดาเพิร์ล ถนนรัชดาภิเษก”
“คุณเป็นอะไรกับนางสาวกันตา มีคำ”
“น้องสาว”
“โดยสายเลือด”
เจ้าของห้องผงกหัว สายตามองหาคำตอบบนใบหน้าของสารวัตรหญิง “ใช่ค่ะ แต่นี่มันเรื่องอะไรกันคะ คุณตำรวจ”
ทนายความวางกระเป๋าบนโต๊ะ แล้วเปิดหยิบเอาซองสีน้ำตาลออกมายื่นให้ตำรวจสาว
“เราอยากให้คุณดูรูปพวกนี้ แล้วบอกเราว่าใช่พี่สาวของคุณหรือไม่” พูดจบ ผู้กองหญิงก็ดึงแผ่นกระดาษชุดหนึ่งออกมายื่นให้กัลยา
ทั้งหมดมีสี่แผ่น แผ่นแรกเป็นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ที่มีภาพถ่ายหน้าตรงของผู้หญิง สวย ผมยาว ผิวขาว นัยน์ตาดำขลับ แผ่นที่สองเป็นข้อมูลตามสำเนาทะเบียนบ้านที่มีรูปถ่ายหน้าตรงของหญิงคนเดียวกันแต่มีขนาดเล็กกว่ารูปบนแผ่นแรกมากอยู่ที่มุมขวา ทั้งสองแผ่นมีอักษรตัวใหญ่หนาสีแดงลงตราเอาไว้ว่า ใช้ในราชการตร. และมีตัวย่อ สตช. ประทับอยู่ด้านล่าง
“พี่กิ๊ก” กัลยาเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วอ่านเลขประจำตัวประชาชนใต้ภาพ จากนั้นเป็นชื่อ-สกุล นางสาว กันตา มีคำ ถัดมาเป็นอายุ เพศ วันเกิด และสัญชาติ ซึ่งทุกอย่างถูกต้องทั้งหมด อีกทั้งภูมิลำเนาในทะเบียนก็ตรงกับบ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ ในจังหวัดขอนแก่นที่เป็นบ้านเกิดของเจ้าตัว
“พี่สาวคุณใช่ไหมครับ?” ทนายความถามขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล
“ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” เธอเงยขึ้นมองตาคนทั้งสองสลับกันด้วยความสงสัย แล้วก้มลงพลิกกระดาษอีกสองแผ่นที่เหลือดู มันเป็นข้อมูลทะเบียนราษฎร์และข้อมูลตามสำเนาทะเบียนบ้านของตัวเธอเอง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่เดียวกันกับพี่สาว
“สันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม” สารวัตรปราบปรามบอกด้วยเสียงเรียบเฉย
“เสียชีวิตจากการฆาตกรรม?” กัลยาจ้องหน้าตำรวจตาไม่กระพริบ หัวใจเต้นแรง
“เราเพียงแค่สันนิษฐาน แต่ยังยืนยันไม่ได้จนกว่าจะมีญาติไปช่วยชี้ตัวผู้ตาย ซึ่งตามข้อมูลจากการสืบสวนของตำรวจ คุณเป็นญาติใกล้ชิดเพียงคนเดียวของนางสาวกันตา” พูดจบก็ล้วงหยิบเอากระดาษจากซองสีน้ำตาลแล้วยื่นให้กัลยาอีกหนึ่งชุด
เจ้าของห้องใจหายวาบ แทบช็อคกับสิ่งที่เห็นในมือ กระดาษทั้งหมดเป็นภาพถ่ายหลายๆ มุมของใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพถูกทำร้ายจนเสียโฉมยับเยินแทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิมไว้ให้จดจำ ลูกตาสองข้างหลุดออกมาอยู่บนแก้มที่เต็มไปด้วยบาดแผล ฟันบนและล่างร่วงหายไปทั้งแถว เลือดสีดำคล้ำกระจายท่วมทุกอณู เธอคว่ำรูปเหล่านี้ลงบนโต๊ะ ทนดูต่อไปไม่ไหว วิงเวียนในหัวคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนออกมา
“ข่มขืนแล้วฆ่าหรืออาจเป็นฆ่าก่อนข่มขืนศพอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นก็ทำลายใบหน้าศพเพื่อไม่ให้ใครจำเหยื่อได้ เหมือนพยายามอำพรางคดี”
“ตำรวจรู้ได้ยังไงว่าเป็นพี่กิ๊ก ตอนนี้ศพอยู่ที่ไหนคะ” กัลยาละล่ำละลักถาม น้ำตาคลอเบ้า พยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาต่อหน้าแขก
“ศพอยู่เชียงใหม่ เมื่อเช้านี้มีคนพบศพหญิงไม่ทราบชื่อถูกทิ้งไว้ในป่า เขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยกู้ภัยนำศพส่งโรงพยาบาลนครพิงค์ ตำรวจท้องที่กับฝ่ายพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคล ส่งลายพิมพ์นิ้วมือผู้ตายไปตรวจสอบกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ พบว่าเจ้าของลายนิ้วมือชื่อ นางสาวกันตา มีคำ ตามทะเบียนราษฎร์ที่พิมพ์ออกมา ท้องที่ส่งเรื่องมาให้เราตามหาญาติเพื่อเชิญตัวไปชี้ศพ ซึ่งผลการตรวจสอบเราพบว่า คุณเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว”
กัลยาพยักหน้า น้ำตาเอ่อล้นออกมา เธอเอื้อมดึงกระดาษทิชชู่บนโต๊ะเครื่องแป้งมาซับให้แห้ง “ใช่ค่ะ เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง พ่อแม่เสียไปตั้งแต่เรายังเด็ก”
“เสียใจด้วยนะคะ เรื่องพ่อแม่ ว่าแต่พวกคุณสองพี่น้องสนิทกันไหม”
“ขอบคุณค่ะ เราเคยสนิทมากตอนเป็นเด็ก เราโตมาด้วยกัน” เธอจ้องตาหญิงผมสั้นฝั่งตรงข้าม “ทำไมถึงทำโหดร้ายกับพี่กิ๊กแบบนี้ ตำรวจรู้ตัวคนร้ายหรือยังคะ”
“ยังค่ะ แต่เราก็กำลังสืบสวนอย่างเต็มที่ และขอร้องพวกนักข่าวไม่ให้เสนอข่าวนี้จนกว่าเราจะได้ตัวคนร้าย”
“น่าสงสารพี่กิ๊ก ขอให้จับคนร้ายได้เร็วๆ สาธุ” เธอพนมมือจรดหน้าผาก ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“บ้านเลขที่ตามสำเนาทะเบียนบ้านนี้ เหมือนว่ายังมีภูมิลำเนาอยู่ด้วยกัน” ทนายความเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เราไม่มีบ้านแล้ว มันกลายเป็นของคนอื่นไปตั้งแต่พ่อแม่เราเสียแล้วค่ะ เขาแค่มีเมตตาไม่ไปย้ายเราออกเท่านั้น ฉันกับพี่กิ๊กก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานมากแล้ว” กัลยาบอก น้ำตายังไหลไม่หยุด เธอคว้ากล่องทิชชูมาวางบนโต๊ะแทนการหยิบมาทีละแผ่นสองแผ่น
“ช่วงที่ผ่านมา พี่สาวคุณอยู่ที่ไหนบ้าง พอจะรู้ไหม”
“ไม่รู้เลยค่ะ”
“คุณพบกับพี่สาวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ” นายตำรวจหญิงถามขึ้นสลับกับทนายความ
เจ้าของห้องพักเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เอียงคอ เลิกคิ้ว ดวงตาเหลือบมองด้านซ้ายไปที่เพดาน เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นานพักใหญ่กว่าจะตอบออกมา “สิบกว่าปีแล้ว ประมาณสิบสองหรือสิบสามปีนี่แหละ ไม่แน่ใจ”
ร้อยตำรวจเอกหญิงพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ “ตลอดสิบกว่าปีที่ไม่ได้พบกัน มีการติดต่อพูดคุยกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ โซเชียลมีเดีย จดหมายหรือวิธีอื่นๆ บ้างหรือเปล่า”
“ไม่เคย ไม่ได้ติดต่อส่งข่าวคราวกันอีกเลยตั้งแต่กาเหว่าไปอยู่เมืองนอก เพราะพี่กิ๊กหายเงียบไปเฉยๆ เหมือนตายไปจากโลกนี้แล้ว ฉันพยายามโทร.หาตลอดช่วงปีแรกๆ แต่เบอร์โทร.นั้นถูกปิดไปแล้วติดต่อไม่ได้ อีกอย่างเราสองคนทะเลาะกัน ฉันรู้ว่าพี่กิ๊กโกรธ ก็เลยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ไม่อยากรับสายฉัน”
“รู้ถิ่นที่อยู่สุดท้ายของนางสาวกันตาหรือไม่”
“ไม่รู้”
“นางสาวกันตาทำอาชีพอะไรตอนนั้น พอจะรู้ไหมคะ”
“รับจ้างทำงานทั่วไป ไม่มีหลักแหล่ง”
“มีลักลอบค้าประเวณีด้วยหรือเปล่า”
กัลยาแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์กับคำถามนี้ เธอจ้องหน้าตำรวจสาวแล้วเปลี่ยนมามองทนายความ แต่เธอไม่เอ่ยคำใดออกมา
(กรุณาอ่านต่อในหน้าถัดไป)