การจะออกจากกับดักรายได้ปานกลางของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจาก จะต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงทั้งทางกลยุทธ์ และการส่งเสริมนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยจะต้องมีการปรับปรุง และมีนโยบายที่ชัดเจน
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า
ประเทศไทยจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางใน 20 ปี หากปล่อยตามธรรมชาติจะไม่มีทาง แต่อีอีซีจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนได้ โดยพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีสัดส่วนเกษตร 10% อุตสาหกรรม 40% และบริการ 50% แต่หากพิจารณาแรงงานที่กระจายในแต่ละภาคดังกล่าวอยู่ที่ 40%, 20% และ 40% ตามลำดับ
ซึ่งแนวโน้มในธุรกิจอุตสาหกรรมจะมีการใช้หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติมากขึ้น และแนวโน้มของภาคบริการเติบโตขึ้นอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องมองว่าในอนาคตจะทำอย่างไรต่อ ในประเทศเจริญแล้ว ภาคบริการมีสัดส่วน 70-80% ของจีดีพี แต่ไทยแค่ 50% อนาคตหากจะเติบโตขึ้นต้องเน้นภาคบริการ จะเทรนคนอย่างไร เป็นสิ่งที่เรากังวล ได้คุยกับหอการค้าญี่ปุ่นแล้วมีข้อกังวลว่า แผนต่างๆ ที่รัฐบาลพูดไว้ตรงตามกำหนดการหรือไม่ และเรื่องแรงงานเป็นอย่างไร มีพร้อมหรือไม่
กับดักรายได้ปานกลาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ "กับดักรายได้ปานกลาง" นั้นเป็นศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่ง Michael Spence นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ปี ค.ศ. 2001 ได้อธิบายความหมายไว้ว่า
"เป็นเหตุการณ์ที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนหนึ่ง ที่เคยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ เช่นปีละ $800 ได้อาศัยการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานราคาถูกโดยเปรียบเทียบ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจจนประสบความสำเร็จอย่างงาม ในช่วงต้นของการพัฒนาประเทศ แต่ก็ยังคงยึดติดกับสูตรความสำเร็จแบบเก่า ด้วยการแทรกแซงปกป้องอุตสาหกรรมเดิมๆ เอาไว้ แม้ว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวจะขยับขึ้นไปเป็นปีละ $5,000 แล้วก็ตาม
เมื่อค่าจ้างแรงงานและต้นทุนอื่นๆ ในประเทศขยับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพแรงงานที่แท้จริงยังปรับเพิ่มขึ้นได้ไม่มากพอ จึงประสบปัญหาเมื่อต้องเจอกับการแข่งขันรูปแบบใหม่ๆ ในตลาดโลกที่แตกต่างและซับซ้อนกว่าเดิม กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว ไม่แต่เพียงเท่านี้ ยังมีความจริงที่น่าตกใจมากกว่าที่ได้กล่าวไปก็คือว่า ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ นี้ไม่ใช่ ‘กับดัก’ ที่จะสลัดให้หลุดออกได้เองแบบง่ายๆ ชิวๆ ซะเมื่อไหร่ เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลสถิติที่ผ่านมาในอดีต จะพบว่าในบรรดาประเทศกำลังพัฒนาจำนวน 101 ประเทศที่ถูกจัดว่ามีรายได้ปานกลางตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1960 นั้น มีเพียง 15 ประเทศเท่านั้น ที่สามารถขยับตัวเองขึ้นมา จนกลายเป็นประเทศที่มีรายได้ขั้นสูงได้สำเร็จในปี ค.ศ. 2010 ที่ผ่านมา"
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ เรื่องกับดักรายได้ปานกลางนี้ มีการพูดถึงในประเทศไทยในช่วงนี้มากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว
ประเทศไทย ติดอยู่ในกับดักนี้มานานหลายปีแล้ว
เมื่อ
ปี 2011 ธนาคารโลกประกาศว่า ประเทศไทยได้เลื่อนฐานะจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับต่ำ (lower- middle-income country) สู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง (upper- middle-income country) ตอนช่วงเวลานั้นเราทุกๆ คน ต่างดีใจว่า เรากำลังจะหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางในอีกไม่กี่ปีต่อมา
แต่
ปี 2017 ประเทศไทยเราก็ยังคงอยู่ในระดับเดิมๆ จากปัญหาเดิมๆ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ต่างขยับสูงขึ้น สูงขึ้น แม้แต่ประเทศลาว หรือพม่าเอง ที่คนไทยชอบไปดูถูก ดูแคลนเค้าไว้
ซึ่งการชะลอตัวลงอย่างมากทางเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพแช่แข็งนี้ต่อไปอีกหลายปี และมีผู้ให้ความเห็นว่า
"ประเทศของเรากำลังติดอยู่กับประเทศรายได้ปานกลางเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก"
แต่ในขณะที่ครั้งหนึ่งประเทศในเอเซีย อย่างเช่น เกาหลีใต้ ที่เมื่อปี 1970 ประเทศเกาหลีใต้กับประเทศไทย เคยมีรายได้ต่อหัวพอๆ กัน คือ ราวๆ 180 ดอลลาร์ แต่ในปี 2015 ประเทศเกาหลีใต้กับมีรายได้ต่อคนที่ 27,222 ดอลลาร์ ส่วนไทยอยู่ที่ 5,816 ดอลลาร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การพัฒนาช่วง 3 ระยะของเกาหลีใต้อาจแบ่งได้อีกแบบหนึ่ง คือ ช่วงการพัฒนาในสมัยเผด็จการทหาร ช่วงการสร้างประชาธิปไตย และช่วงการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ปัจจุบัน เกาหลีใต้มีเศรษฐกิจที่ตั้งบนพื้นฐานของนวัตกรรมและความรู้ สังคมที่จะมีนวัตกรรมและการสร้างความรู้ คนในสังคมต้องสามารถคิดได้อย่างอิสระและแข่งขันกันอย่างเสรี
ที่มา :
Thaipublica
การจะก้าวข้ามจากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อคนของประชากรอยู่ที่ 23,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประเทศที่พัฒนาแล้ว) ประเทศล่าสุดที่สามารถทำได้ คือ โปรตุเกส เมื่อปี 2008
หากเรา(คนไทย) ยังรอต่อไป อาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 20 ปี ในขณะที่ประเทศมาเลเซียจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอีกเพียงแค่ 5 ปี เท่านั้น แล้ว
ดังนั้น ความท้าทายของประเทศไทยในการหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมระดับสูง และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"EEC ทางลัดประเทศ" ในการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
การจะออกจากกับดักรายได้ปานกลางของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจาก จะต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงทั้งทางกลยุทธ์ และการส่งเสริมนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยจะต้องมีการปรับปรุง และมีนโยบายที่ชัดเจน
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า
ประเทศไทยจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางใน 20 ปี หากปล่อยตามธรรมชาติจะไม่มีทาง แต่อีอีซีจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนได้ โดยพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีสัดส่วนเกษตร 10% อุตสาหกรรม 40% และบริการ 50% แต่หากพิจารณาแรงงานที่กระจายในแต่ละภาคดังกล่าวอยู่ที่ 40%, 20% และ 40% ตามลำดับ
ซึ่งแนวโน้มในธุรกิจอุตสาหกรรมจะมีการใช้หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติมากขึ้น และแนวโน้มของภาคบริการเติบโตขึ้นอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องมองว่าในอนาคตจะทำอย่างไรต่อ ในประเทศเจริญแล้ว ภาคบริการมีสัดส่วน 70-80% ของจีดีพี แต่ไทยแค่ 50% อนาคตหากจะเติบโตขึ้นต้องเน้นภาคบริการ จะเทรนคนอย่างไร เป็นสิ่งที่เรากังวล ได้คุยกับหอการค้าญี่ปุ่นแล้วมีข้อกังวลว่า แผนต่างๆ ที่รัฐบาลพูดไว้ตรงตามกำหนดการหรือไม่ และเรื่องแรงงานเป็นอย่างไร มีพร้อมหรือไม่
กับดักรายได้ปานกลาง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เรื่องกับดักรายได้ปานกลางนี้ มีการพูดถึงในประเทศไทยในช่วงนี้มากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ประเทศไทย ติดอยู่ในกับดักนี้มานานหลายปีแล้ว
เมื่อปี 2011 ธนาคารโลกประกาศว่า ประเทศไทยได้เลื่อนฐานะจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับต่ำ (lower- middle-income country) สู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง (upper- middle-income country) ตอนช่วงเวลานั้นเราทุกๆ คน ต่างดีใจว่า เรากำลังจะหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางในอีกไม่กี่ปีต่อมา
แต่ปี 2017 ประเทศไทยเราก็ยังคงอยู่ในระดับเดิมๆ จากปัญหาเดิมๆ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ต่างขยับสูงขึ้น สูงขึ้น แม้แต่ประเทศลาว หรือพม่าเอง ที่คนไทยชอบไปดูถูก ดูแคลนเค้าไว้
ซึ่งการชะลอตัวลงอย่างมากทางเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพแช่แข็งนี้ต่อไปอีกหลายปี และมีผู้ให้ความเห็นว่า
แต่ในขณะที่ครั้งหนึ่งประเทศในเอเซีย อย่างเช่น เกาหลีใต้ ที่เมื่อปี 1970 ประเทศเกาหลีใต้กับประเทศไทย เคยมีรายได้ต่อหัวพอๆ กัน คือ ราวๆ 180 ดอลลาร์ แต่ในปี 2015 ประเทศเกาหลีใต้กับมีรายได้ต่อคนที่ 27,222 ดอลลาร์ ส่วนไทยอยู่ที่ 5,816 ดอลลาร์ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่มา : Thaipublica
การจะก้าวข้ามจากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อคนของประชากรอยู่ที่ 23,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประเทศที่พัฒนาแล้ว) ประเทศล่าสุดที่สามารถทำได้ คือ โปรตุเกส เมื่อปี 2008
หากเรา(คนไทย) ยังรอต่อไป อาจจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 20 ปี ในขณะที่ประเทศมาเลเซียจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอีกเพียงแค่ 5 ปี เท่านั้น แล้ว
ดังนั้น ความท้าทายของประเทศไทยในการหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมระดับสูง และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้