เคยเจ็บปวดใจจนทนไม่ไหวบ้างไม๊คะ ทรมานจนแทบคลั่ง อยากหนีให้พ้นไปเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี..
เรายอมรับว่าเรานึกถึงการหมดลมหายใจเป็นอันดับแรก อยากหมดความรู้สึกด้วยการตายจาก อยากปิดสวิตช์ชีวิตเหลือเกิน..
แต่ความคิดหลายอย่างในหัวก็มาฉุดรั้งไว้ อาทิ ..
1. ไม่สงสารแม่บ้างเหรอ ใครจะดูแลแม่ แม่แก่แล้ว ใครจะหาเงินเลี้ยงแม่ ช่วยแม่ทำงานบ้าน ขับรถพาแม่ไปหาหมอ ฯลฯ
2. ถ้าความเจ็บของเรามันมากกว่าความสงสารแม่ แล้วไม่กลัวกรรมบ้างเหรอ เราทำให้แม่ต้องทุกข์ใจเพราะฆ่าตัวตาย กรรมนี้ก็จะส่งให้เราต้องทุกข์ใจเหมือนแม่ต่อไปอีกมากมายหลายเท่า
.. เราเชื่อว่า ทำกรรมเท่าเมล็ดโพธิ์ แต่ผลของกรรมยิ่งใหญ่เท่าต้นโพธิ์ ..
3. ถ้าอยากฆ่าตัวตาย ลองซ้อมด้วยการฆ่าตัวตนดูก่อนไม๊ ตายไปเสียจากการมีตัวกูของกู ไม่เอาก็ได้ความสุขที่เสียไป ก็ตายไปแล้วนี่ เอาอะไรไปก็ไม่ได้อยู่แล้ว..
เราคิดอย่างนี้วนเวียนซ้ำซาก น้ำตาไหลไม่หยุดตั้งแต่เที่ยงวันอาทิตย์จนถึงตีสี่ของวันจันทร์ ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานก็กินอะไรไม่ลง สรุปวันนั้นทั้งวันเรากินแค่นมขวดเล็กๆหนึ่งขวดกับขนมสองชิ้น..
อยากตายเหลือเกิน .. ทรมานเหลือเกิน ..
คนที่ทำให้เราเจ็บ เค้าก็กำลังมีความสุขกับความรักครั้งใหม่ของเค้า.. ถามว่าเราอิจฉาไม๊ เราอิจฉานะ.. ทำไมไม่เป็นเราที่ยืนอยู่ตรงนั้น.. และทำไมเค้าไม่สงสารเราบ้าง
แต่ทุกคนก็รักตัวเองก่อนทั้งนั้น และทุกคนก็มีความทุกข์มากพออยู่แล้ว เราอย่าได้เป็นคนที่เพิ่มความทุกข์แก่ใครอีกเลย
เราทุกข์ เพราะความอยากของตัวเอง ไม่ได้ทุกข์เพราะเค้าเลย..
เค้าสุขในขณะนี้ ก็อย่าไปทำลายความสุขของเค้าเลย..
เราพยายามเคลียร์งานด่วนให้เสร็จ เพื่อจะขอใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในครึ่งวันบ่าย เรารู้ว่าเราต้องเยียวยาตัวเองด่วน เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อให้ได้ในอีกสี่วันที่ต้องทำงาน โชคดีที่วันนั้นเป็นวันที่ไม่มีงานอะไรมาก และเจ้านายเราก็ใจดีเหลือเกิน ไม่ถามอะไรเรามากมาย เซ็นยินยอมให้เราลาพักร้อนด้วยความเต็มใจ..
เรากลับบ้านมาพร้อมกับน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหล เราไม่ได้เล่าเรื่องของเราให้ใครฟังเพื่อขอคำปรึกษา เพราะเรารู้ว่าความทุกข์นี้เกิดจากใจเราเองที่ยึดมั่นถือมั่น ที่คาดหวังในสิ่งที่หวังไม่ได้
เราต้องแก้ที่ใจตัวเอง.. ด้วยตัวเอง..
เราใช้เวลากับตัวเองเมื่อกลับถึงบ้าน ด้วยการสังเกตุอาการทางใจกายขณะที่เสียใจ เราเห็นว่ามันอึดอัด หายใจไม่ค่อยโล่ง หัวใจมันบีบตัวเอง และดวงตาก็ร้อนเผ่าถึงแม้จะเปียกไปด้วยน้ำตาตลอดเวลา
มนุษย์โลกผู้น่าสงสาร.. ใครกันจะหลีกหนีความทุกข์ได้ เราต่างจากคนอื่นยังไง จึงจะไม่ต้องทุกข์
อาการทางร่างกายและจิตใจนั้นไม่คงที่ บางขณะมันก็ผ่อนคลายลง บางขณะก็บีบคั้นขึ้นมาอีก เราเลือกที่จะเฝ้าดูมันเหมือนคนดูละคร ไม่พยายามกดข่ม หรือฝืนทำเป็นลืมอะไรทั้งนั้น
เราเชื่อว่าการฝืนความรู้สึก หรือแกล้งลืมมัน จะยิ่งทำให้ความทุกข์มีพลังมากขึ้น เหมือนสายน้ำหลากที่ถูกกั้นขวาง หากทำนบพัง น้ำก็ย่อมทะลักแรงขึ้นมากกว่าเดิม ปล่อยให้ความเศร้าเสียใจมันทำงานของมันไป เราได้แต่ดูมันก็พอ..
รูปนามนี้ไม่เที่ยงหนอ.. เหมือนลมหายใจที่มีเข้ามีออก ความทุกข์ความบีบคั้นก็เช่นกัน มันมาเองได้ ก็ไปเองได้ ถึงเราจะไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้ตัวเองหยุดเสียใจ สุดท้ายมันก็จะต้องจากเราไปเอง
แล้วมวลแห่งความทุกข์ระทมนั้น ก็จากไปจริงๆ แม้จะมีมวลก้อนเล็กๆตามมาอีกเป็นระลอกคลื่น แต่มันก็ไม่แรงพอที่จะทำให้เราตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายอีกแล้ว..
การมองเห็นความเป็นจริงที่ว่า ทุกข์สุขนั้นไม่เที่ยง ทำให้เราคลายความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นลงมาก
ก็จะไปยึดถือว่าคนอื่นเค้าจะรักเรา จะเป็นของเราได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อลมหายใจ ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรายังไม่ใช่ของเราเลย ..ทุกอย่างต่างก็อยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น..
เมื่อจิตใจเริ่มสงบ เราจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกบ้านไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นที่วัด เสียงสวดมนต์ทำให้ใจเราสงบสุขเหลือเกิน ใจเราลืมความทุกข์ไปได้พักใหญ่ เหมือนคนที่ยอมวางแก้วน้ำร้อนๆลงพื้น เพื่อใช้มือนั้นปรบมือแทน ..ความรู้สึกร้อนที่มือก็หายไป
คืนนั้นเรารีบเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย สุดท้ายแล้วร่างกายก็ต้องการพักผ่อน ทุกข์ทรมานจนนอนไม่หลับเมื่อคืนวานเป็นอย่างไร คืนนี้กลับไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
... เช้าวันอังคาร
เราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายขึ้น ตาไม่ได้อยากผลิตน้ำตาอีกแล้ว และเราหิวข้าวมาก
เรามองแม่ด้วยความรักอย่างที่สุด.. ถึงแม้จะไม่ได้เล่าอะไรให้แม่ฟังเลย แต่แม่อยู่ในใจเราเสมอเวลาที่เรามีปัญหา
.. เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อดูแลผู้หญิงคนนี้
เราอยากมีชีวิตต่อไปเพื่อฟังพระสัทธรรม
เราอยากยกระดับจิตใจของตัวเองให้สูงขึ้น ให้สมกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และอยู่ใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา
ดีใจเหลือเกินที่วันนี้เรายังมีชีวิตอยู่
มีความสุขเหลือเกินเมื่อความสงบ เข้ามาแทนที่คราบน้ำตา..
และขอบคุณความทุกข์คราวนี้เหลือเกิน .. ที่ทำให้เราได้หยุดมองลมหายใจตัวเอง และสัมผัสถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งอีกครั้ง..
วันที่ฉันอยาก (ฆ่าตัว) ตาย
เรายอมรับว่าเรานึกถึงการหมดลมหายใจเป็นอันดับแรก อยากหมดความรู้สึกด้วยการตายจาก อยากปิดสวิตช์ชีวิตเหลือเกิน..
แต่ความคิดหลายอย่างในหัวก็มาฉุดรั้งไว้ อาทิ ..
1. ไม่สงสารแม่บ้างเหรอ ใครจะดูแลแม่ แม่แก่แล้ว ใครจะหาเงินเลี้ยงแม่ ช่วยแม่ทำงานบ้าน ขับรถพาแม่ไปหาหมอ ฯลฯ
2. ถ้าความเจ็บของเรามันมากกว่าความสงสารแม่ แล้วไม่กลัวกรรมบ้างเหรอ เราทำให้แม่ต้องทุกข์ใจเพราะฆ่าตัวตาย กรรมนี้ก็จะส่งให้เราต้องทุกข์ใจเหมือนแม่ต่อไปอีกมากมายหลายเท่า
.. เราเชื่อว่า ทำกรรมเท่าเมล็ดโพธิ์ แต่ผลของกรรมยิ่งใหญ่เท่าต้นโพธิ์ ..
3. ถ้าอยากฆ่าตัวตาย ลองซ้อมด้วยการฆ่าตัวตนดูก่อนไม๊ ตายไปเสียจากการมีตัวกูของกู ไม่เอาก็ได้ความสุขที่เสียไป ก็ตายไปแล้วนี่ เอาอะไรไปก็ไม่ได้อยู่แล้ว..
เราคิดอย่างนี้วนเวียนซ้ำซาก น้ำตาไหลไม่หยุดตั้งแต่เที่ยงวันอาทิตย์จนถึงตีสี่ของวันจันทร์ ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานก็กินอะไรไม่ลง สรุปวันนั้นทั้งวันเรากินแค่นมขวดเล็กๆหนึ่งขวดกับขนมสองชิ้น..
อยากตายเหลือเกิน .. ทรมานเหลือเกิน ..
คนที่ทำให้เราเจ็บ เค้าก็กำลังมีความสุขกับความรักครั้งใหม่ของเค้า.. ถามว่าเราอิจฉาไม๊ เราอิจฉานะ.. ทำไมไม่เป็นเราที่ยืนอยู่ตรงนั้น.. และทำไมเค้าไม่สงสารเราบ้าง
แต่ทุกคนก็รักตัวเองก่อนทั้งนั้น และทุกคนก็มีความทุกข์มากพออยู่แล้ว เราอย่าได้เป็นคนที่เพิ่มความทุกข์แก่ใครอีกเลย
เราทุกข์ เพราะความอยากของตัวเอง ไม่ได้ทุกข์เพราะเค้าเลย..
เค้าสุขในขณะนี้ ก็อย่าไปทำลายความสุขของเค้าเลย..
เราพยายามเคลียร์งานด่วนให้เสร็จ เพื่อจะขอใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในครึ่งวันบ่าย เรารู้ว่าเราต้องเยียวยาตัวเองด่วน เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อให้ได้ในอีกสี่วันที่ต้องทำงาน โชคดีที่วันนั้นเป็นวันที่ไม่มีงานอะไรมาก และเจ้านายเราก็ใจดีเหลือเกิน ไม่ถามอะไรเรามากมาย เซ็นยินยอมให้เราลาพักร้อนด้วยความเต็มใจ..
เรากลับบ้านมาพร้อมกับน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหล เราไม่ได้เล่าเรื่องของเราให้ใครฟังเพื่อขอคำปรึกษา เพราะเรารู้ว่าความทุกข์นี้เกิดจากใจเราเองที่ยึดมั่นถือมั่น ที่คาดหวังในสิ่งที่หวังไม่ได้
เราต้องแก้ที่ใจตัวเอง.. ด้วยตัวเอง..
เราใช้เวลากับตัวเองเมื่อกลับถึงบ้าน ด้วยการสังเกตุอาการทางใจกายขณะที่เสียใจ เราเห็นว่ามันอึดอัด หายใจไม่ค่อยโล่ง หัวใจมันบีบตัวเอง และดวงตาก็ร้อนเผ่าถึงแม้จะเปียกไปด้วยน้ำตาตลอดเวลา
มนุษย์โลกผู้น่าสงสาร.. ใครกันจะหลีกหนีความทุกข์ได้ เราต่างจากคนอื่นยังไง จึงจะไม่ต้องทุกข์
อาการทางร่างกายและจิตใจนั้นไม่คงที่ บางขณะมันก็ผ่อนคลายลง บางขณะก็บีบคั้นขึ้นมาอีก เราเลือกที่จะเฝ้าดูมันเหมือนคนดูละคร ไม่พยายามกดข่ม หรือฝืนทำเป็นลืมอะไรทั้งนั้น
เราเชื่อว่าการฝืนความรู้สึก หรือแกล้งลืมมัน จะยิ่งทำให้ความทุกข์มีพลังมากขึ้น เหมือนสายน้ำหลากที่ถูกกั้นขวาง หากทำนบพัง น้ำก็ย่อมทะลักแรงขึ้นมากกว่าเดิม ปล่อยให้ความเศร้าเสียใจมันทำงานของมันไป เราได้แต่ดูมันก็พอ..
รูปนามนี้ไม่เที่ยงหนอ.. เหมือนลมหายใจที่มีเข้ามีออก ความทุกข์ความบีบคั้นก็เช่นกัน มันมาเองได้ ก็ไปเองได้ ถึงเราจะไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้ตัวเองหยุดเสียใจ สุดท้ายมันก็จะต้องจากเราไปเอง
แล้วมวลแห่งความทุกข์ระทมนั้น ก็จากไปจริงๆ แม้จะมีมวลก้อนเล็กๆตามมาอีกเป็นระลอกคลื่น แต่มันก็ไม่แรงพอที่จะทำให้เราตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายอีกแล้ว..
การมองเห็นความเป็นจริงที่ว่า ทุกข์สุขนั้นไม่เที่ยง ทำให้เราคลายความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นลงมาก
ก็จะไปยึดถือว่าคนอื่นเค้าจะรักเรา จะเป็นของเราได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อลมหายใจ ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรายังไม่ใช่ของเราเลย ..ทุกอย่างต่างก็อยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น..
เมื่อจิตใจเริ่มสงบ เราจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกบ้านไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นที่วัด เสียงสวดมนต์ทำให้ใจเราสงบสุขเหลือเกิน ใจเราลืมความทุกข์ไปได้พักใหญ่ เหมือนคนที่ยอมวางแก้วน้ำร้อนๆลงพื้น เพื่อใช้มือนั้นปรบมือแทน ..ความรู้สึกร้อนที่มือก็หายไป
คืนนั้นเรารีบเข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย สุดท้ายแล้วร่างกายก็ต้องการพักผ่อน ทุกข์ทรมานจนนอนไม่หลับเมื่อคืนวานเป็นอย่างไร คืนนี้กลับไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
... เช้าวันอังคาร
เราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายขึ้น ตาไม่ได้อยากผลิตน้ำตาอีกแล้ว และเราหิวข้าวมาก
เรามองแม่ด้วยความรักอย่างที่สุด.. ถึงแม้จะไม่ได้เล่าอะไรให้แม่ฟังเลย แต่แม่อยู่ในใจเราเสมอเวลาที่เรามีปัญหา
.. เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อดูแลผู้หญิงคนนี้
เราอยากมีชีวิตต่อไปเพื่อฟังพระสัทธรรม
เราอยากยกระดับจิตใจของตัวเองให้สูงขึ้น ให้สมกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และอยู่ใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา
ดีใจเหลือเกินที่วันนี้เรายังมีชีวิตอยู่
มีความสุขเหลือเกินเมื่อความสงบ เข้ามาแทนที่คราบน้ำตา..
และขอบคุณความทุกข์คราวนี้เหลือเกิน .. ที่ทำให้เราได้หยุดมองลมหายใจตัวเอง และสัมผัสถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งอีกครั้ง..