เมื่อเพื่อนบอกว่าอยากไป รินจานี เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย

ก่อนอื่น กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวแรกของ เนื่องจากเป็นคนชอบออกเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ เพื่อนชวนไปไหนไปหมด หรือเปลี่ยวๆก็จัดทริปเองชวนเพื่อนไปด้วยกัน จนเพื่อนๆแนะนำว่าทีรีวิวท่องเที่ยวเถอะถ้าจะเที่ยวบ่อยขนาดนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนถ่ายรูปไม่สวย เลยไม่ค่อยกล้าทำรีวิวเท่าไหร่แต่ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่มันสุดจนลืมไม่ลง เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเดินทางไปพิชิตยอด รินจานี ประเทศอินโดนีเซียกันครับ

มือใหม่หัดรีวิวฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
ปล.รูปส่วนมากถ่ายจากมือถือ กล้องเพื่อนบ้างครับไม่ได้นะครับให้ดูบรรยากาศจริงๆเลย ยิ้ม


ความจริงแล้วผมกับเพื่อนสนิดอีกคน (ผู้หญิงสายลุย) จะไปปีนเขาที่คีนาบาลูกันตอนเดือนเมษา แต่ด้วยการจำกัดนักท่องเที่ยวเลยทำให้อดไปครับแล้วเพื่อนก็เสนอว่าเห้ยไปรินจานีกัน ในรีวิวบอกว่าสวยมาก ส่วนตัวก็ไม่รู้จักหรอกครับแต่ก็บอกว่าไปสิ ไปไหนก็ได้อยากเที่ยว เท่านั้นละไม่ถึงสิบห้านาทีข้อมูลวันเดินทางตั๋วเครื่องบินและทีมงานสายเที่ยวอีกสามคนก็พร้อม คอนเฟิร์มกันอย่างรวดเร็ว จึงเกิดเป็นทริปรินจานี 5 วัน 4 คืนขึ้น (7-11 กันยา 60) เป็นช่วงท่องเที่ยวของที่นี่ครับเลยมีนักเดินทางไปกันเยอะ ในการเดินทางครั้งที่ผมได้ติดต่อเอเจนซี่นำเที่ยวท้องถิ่นตั้งแต่ประเทศไทย ตกลงไว้ว่ารวมทุกอย่าง ทั้งลูกหาบ อาหาร น้ำดื่ม และเครื่องนอนครับ (ไม่ได้ค่านายหน้าน่ะ) ยิ้ม

วันที่ 1
พวกเราออกเดินทางโดนสายการบินหางแดงไปเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ตามบุ๊กกิ้งเดิมจะใช้เวลาเปลี่ยนเครื่องแค่ 3 ชั่วโมงแต่พวกเราโชกดีไฟลท์ที่จะไปลอมบอกโดนแคนเซิลและเปลี่ยนไฟลท์ช้าออกไปอีก 2 ชั่วโมงเลยต้องผ่าน ตม.รับกระเป๋าและออกมารอด้านนอกแทน พวกเราเลยเดินเล่นในสนามบิน โชกดีอีกครั้งที่สนามบิน KL2 มี Plaza Premium Lounge หากท่านใดมีบัตร priority pass สามารถเข้าไปนั่งรอทานอาหารได้ฟรี+เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ไม่อั้นด้วยครับ พอถึงเวลาก็เข้าไปรอหน้าเกต ก็มีเลาจ์เจ้าเดิมอยู่ก็สามารถเข้าไปนั่งรออีกได้เหมือนเดิมครับ ประหลาดใจ


พอไปถึงสนามบินลอมบอก เอเจนซี่ที่ติดต่อไว้ก็มารับไปพักที่โรงแรมครับใช้เวลาเดินทางจากสนามบิน 3 ชั่วโมง พอถึงโรงแรมก็สลบละครับพรุ้งนี้ต้องเริ่มเดินทาง 7.30 น.โดยไม่รู้ว่าการทรมานร่างกายขั้นสูงสุดได้เริ่มขึ้นแล้ว T^T

วันที่ 2
ไกด์ และ ลูกหาบได้มารอเราตั้งแต่เช้าเพื่อทำการแยกและแพคกระเป๋า และได้แนะนำแผนที่การเดินทางตลอด 3 วัน 2 คืนนี้ พวกเราเดินทางขึ้นด้าน Sembalun ไปลงด้าน Senaru ซึ่งด้านที่เราขึ้นจะเดินผ่านทุ่งสะวันนา และฝั่งลงจะเป็นป่าดิบชื่นครับทางไกด์แจ้งว่าฝั่ง Sembalun จะเดินไกลว่าแต่ง่ายกว่าอีกฝั่ง (ไม่จริงงงงง)

หลังจากเก็บของเสร็จฤกษ์ออกเดินทางของพวกเราคือ 8 โมงตรง อากาศเย็นๆเหมือนหน้าหนาวเมืองไทยครับแต่แดดแรงเหมือนเที่ยงตรงกรุงเทพ สีหน้ามีความสุขเหมือนได้สัมผัสอากาศที่ยาหากได้ในประเทศไทย โดยไม่รู้ว่าอีก 1 ชั่วโมงเท่านั้นละจะรู้สึก!

ยอดเขาข้างหลังรูปคือที่ที่พวกเราจะพิชิตพรุ้งนี้เช้าครับ เยี่ยม
ด้วยความฟิตของแก๊งนี้ 1 ชั่วโมงแรกก็เดินกันเฮฮาปาจิงโกะเปิดเพลงฟังกันไปเพลินๆ แต่ความร้อนและแสงแดดค่อยๆเพิ่มความรุนแรงขึ้น สาวน้อยในแก๊งคนนึงก็เริ่มหมดแรงและเพลียแดด แต่ใครจะไปคิดละครับ บริเวณวันนั้นจะมีซุ้มพี่วินจอดมอไซรอลูกค้าแล้วตะโกนว่า POS ll 20$ เพื่อนผมก็กระโดดพุ่งเข้าไปสวมวิญญาณสาวไทย 10$!!! to POS ll จบดีลครับพี่วินพาไปส่งเรียบร้อยส่วนพวกผมก็เดินก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป


ผ่านไปสามชั่วโมงทีมหมูกินจุก็บ่นเบาๆกับไกด์ว่า หิวข้าววววววววววววว! เมื่อไหร่จะถึง POS ll ไกด์ก็หัวเราะบอกว่าอีกไม่นานแค่ 1 ชั่วโมงร้องไห้

เมื่อถึง POSll สิ่งแรกที่เห็นคือเพื่อนผมเดินมารับหน้าตายิ้มแย้มแล้วพูดว่า ทำไมช้าจังนอนหลับไปหลายงีบละนะ เต้นอยู่ทางนู้นลูกหาบทำกับข้าวอยู่


อาหารมื้อแรกจากฝีมือของลูกหาบนั้นอร่อยมาก ตกแต่งจานอย่างดีและมีผลไม้น้ำอัดลมให้ทาน หลังจากอิ่มท้องแล้วการเดินทางต่ออีก 4 ชั่วโมงเป็นการเดินทางชันประมาน40-50 องศาตลอด 4 ชั่วโมง หากใครคิดจะมาที่นี่อย่าลืมสควอตและก็เดินชันเตรียมตัวมานะครับ
ช่วยได้มากจริงๆ ตลอดเส้นทางมีทั้งลิงดอกไม้ป่า และก็รอยไฟไหม้ที่เกิดจากการลืมดับไฟของนักท่องเที่ยวเมื่อสองอาทิตก่อน น่าเสียดายมากครับ


ผ่านไปอีก4ชั่วโมงพวกเราก็มาถึงที่พักของคืนแรกที่มีชื่อว่า Chater Rim ณ ระดับความสูง 2639m แต่แอบเสียใจตรงที่ว่าฟ้าปิดมองไม่เห็นอะไรเลยบ่นๆให้ไกด์ฟัง ไกด์บอกว่า Dont be worry, wait for 6PM ตอนแรกผมก็งงๆ สรุปแล้วนี่คือภาพตอน 6 โมงเย็นครับ หายเหนื่อยเป็นปริทิ้ง



คืนนี้พวกเราต้องรีบนอนครับเพราะต้องตื่นตอนตี 1.30 เพื่อเตรียมตัวขึ้นซัมมิทพรุ้งนี้เช้าตอนตี 2 แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นขณะพวกเรากินมื้อค่ำกันครับมีฝรั่งผู้หญิงกับผู้ชายเดินร้องไห้มาหน้าเต้นพวกเรา ถามหาว่ามีใครมีอาหารเหลือไหม พวกเค้าหิวข้าวมากไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ขึ้นมา พวกเราก็ขนขนมของกินที่แบกขึ้นมาแจกแบบไม่กลัวหมด แต่โชกดีที่ไกด์และลูกหาบของพวกเราแบ่งอาหารให้เค้าจนเหลือเฟือและให้พวกเค้าติดตัวไว้สำหรับวันพรุ้งนี้ สืบความได้ว่าเค้าซื้อทัวร์ราคาถูก 200$ แต่โดนเทกลางทางไม่มีลูกหาบไม่มีอาหาร มีแต่เต้นกับไกด์ที่ขึ้นมา หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน เป็นอันจบวันที่ 2 ที่แสนยาวนานของพวกเรา

วันที่ 3
1.30 AM Coffee or Tea? เสียงวันใหม่จาก Ubun ไกด์คนเดิมของเราตามมาด้วยนมและคอนเฟลค รองท้องก่อนก่อนขึ้นซัมมิทและแพลนวันนี้คือเดินขึ้นไปดูพระอาทิตขึ้นตอนตี 5.30 และลงตอนประมาน 6.30น. มันก็เป็นได้แค่แพลนครับ ตลอดเส้นทางที่เดินขึ้นซัมมิทระยะทางแค่ 2 กิโลแต่เป็นทางชั้นตลอดทางไม่มีทางลาดเลยครับและที่สำคัญ เป็นหินภูเขาไปซึ่งถ้าเดินหน้า 1 ก้าวจะไถลลงครึ่งก้าว ศัตรูที่สำคัญอักสิ่งคือลมบนยอดที่พร้อมจะพัดตัวคุณปลิวได้ตลอดเวลา เสื้อกันลมและไม้ปีนเขา นั้นสำคัญมากสำหรับทริปนี้ไม่เช่นนั้นจะขึ้นยอดไม่ไ่ด้เลยครับ ช่วยท้ายประมาน 300เมตรเป็นเนินซอมบี้ครับ ทางฃั้นมาก เดิน1ก้าวต้องหยุดเพราะจะปลิวลมและยังไถลถอยหลัง จนหลายคนตัดใจเดินกลับใส่ส่วนของผมนั้นตัดใจตอน50เมตรสุดท้ายเพราะไม่ไหวจริงๆ ยืนน้ำตาคลอกลางทางและคิดในใจว่า มาทำอะไรตรงนี้ อยากกลับบ้าน TyT
ผมยืนตรงจุดนั้นรอเพื่อนที่จะมาสมทบประมาน 15 นาทีก็ไม่มีใครขึ้นมากำลังจะตัดใจลงจริงๆเพราะไม่ไหวแล้วแต่ก็บังเอินเห็นเสื้อสีครีมคนนึงคุ้นๆ ห่างไปประมาน10 เมตร ก้มหน้าก้มตาเดินมาช้าๆ แล้วชวนผมเดินต่อบอกว่าไหนๆก็มาแล้วไป! ไปให้ถึงพวกเราก็เดินต่อกันจนถึงยอดประมาน 7.30น.


ความรู้สึกแรกที่ขึ้นถึงยอดคือมีความสุขมาก ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนทั้งรอยยิ้มของผู้คนรอบๆ การยืนอยู่เหนือก้อนเมฆบนยอดเขาที่สูงอันดับ 2 ของประเทศอินโด เป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ลงจริงๆครับ

ขณะผมและเพื่อนอีกคนยืนชมวิวประมาน20 นาทีและกำลังจะเดินลงก็เจอได้เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดคือ 1 ใน 3 สาวนั้นพิชิตยอดได้สำเร็จ ในตอนแรกผิดคิดว่าคงกลับไปรอที่แคมป์แล้วแน่ๆแต่ไม่ใช่ครับ หัวใจ ยอมรับในพลังความถึกของเพื่อนคนนี้จริงๆ ช้าแต่ชัวร์

ขึ้นเขาว่ายากแล้วแต่ลงเขานั้นยากกว่าเป็นเรื่องจริงครับ ถึงแม้จะลงได้เร็วกว่าขึ้น แต่ก็ใช้งานขาหนักกว่าเช่นกันพวกเราใช้เวลาเดินกลับแคมป์ 2.30 ชั่วโมง ระหว่างทางก็ทั้งลื่นทั้งล้มจนไม้หักไปอันนึง พวกเราแก๊งสลอทขึ้นกันกลุ่มแรกๆของวันแต่ก็ลงเป็นกลุ่มท้าย

ลิงน้อยระหว่างทาง


ตามแพลนเดิมคือขึ้นซัมมิทแล้วเดินลงไปพักที่ทะเลสาบ แช่บ่อน้ำร้อนและปีนเขาต่อขึ้นไปพัก Creter Rim อีกฝั่งแต่ว่าพวกเรานั้นเดินช้าเลยนอนทะเลสาบแทนครับทางจากแคมป์ไปทะเลสาบ นั้นค่อนข้างโหดเป็นการปีนลงเขาตลอด 4 ชั่วโมงจนก้าวขากันแทบไม่ไหวแต่ด้วยแรงกระตุ้นของไกด์ว่ามี บ่อน้ำร้อนข้างล่างน่ะรีบเดินให้ถึงก่อนค่ำไม่งั้นอด พวกเราก็รีบจ้วงกันจนทันเวลาครับ วันนี้ก็เป็นวันแรกที่พวกเราได้อาบน้ำล้างตัวกัน


วันที่ 4
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเลยคิดว่าเดินสบายๆไม่หนักมากแต่ไม่ใช่เลยครับออกเดินทางกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าเป็นการเดินจาก ทะเลสาบ + ปีนหน้าผมตลอดครึ่งเช้าวันแรกร่างกายพวกเราหมดแรงเลยยิ่งทำให้เดินช้ากว่าเดิมเยอะมากแต่ก็สู้ตายครับ จนขึ้นไปถึง Rim ได้ตอนเกือบๆเที่ยง


ถ้าไม่ลำบากก็คงไม่ได้เห็นวิวที่สวยงามขนาดนี้


พักเหนื่อยกันตรง Rim ซักสิบนาทีก็เดินต่อครับฝั่งนี้จะเป็นแนวป่าดิบชื้นเป็นทางลงเขา+หินกรวดลื่นๆยาวเลยอีกประมาน 5 ชั่วโมง ระหว่างทางก็เจอฝูงลิงและนักท่องเที่ยวที่ขึ้นจากฝั่งนี้แต่น้อยกว่าฝ่าย Sembalun

ในที่สุดหลังจากที่เดินกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าพวกเราก็มาถึงซุ้มทางออกฝั่ง Senaru และเซ็นชื่อออกเป็นที่เรียบร้อยสภาพแต่ละคนคือหมดแรงพร้อมสลบ ได้แต่ตระโกนกันดังๆว่า รินจานี ครั้งเดียวพอนะ!! แต่หากท่านใดมีโอกาสผมแนะนำให้มานะครับเพราะมันสวยมากจริงๆเพียงแค่ฟิตร่างกายก่อนเดินทางซักหน่อยครับ


ฝากวีดีโอไว้ดูบรรยากาศกันเล่นๆครับ
https://www.youtube.com/watch?v=2TfiJ_Sd2ZU

ขอบคุณที่ติดตามรีวิวแรกของผมด้วยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่