---------------------------------
"American Assassin - อหังการ์ ทีมฆ่า" (8/10)
---------------------------------
สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชม "American Assassin - อหังการ์ ทีมฆ่า" ทางไปเพจผมครับ -->
https://www.facebook.com/FeedbackMovies
เป็นอีกหนึ่งนวนิยายขายดีที่ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์สำหรับ "American Assassin" ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ ที่พูดถึงทีมฆ่าของทางรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "มิทช์ แร็ปป์" (ดีแลน โอ’ไบรอัน) ชายหนุ่มที่มีความหลังอันแสนเจ็บช้ำ เพราะหลังจากการขอแฟนสาวแต่งงานที่ชายหาดไปเพียงไม่กี่นาที ทั้งสองก็ต้องพบกับเหตุการณ์กราดยิงของผู้ก่อการร้ายที่ต้องการจะฆ่าชาวอเมริกันเพื่อเป็นการแก้แค้นหลังถูกโจมตีในตะวันออกกลาง การจู่โจมในครั้งนั้นเป็นเหตุให้ว่าที่เจ้าสาวของเขาเสียชีวิตลงทันที นับจากวินาทีนั้น ความโศกเศร้าและแรงแค้นทำให้แร็ปป์ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และมุ่งมั่นที่จะกลับไปปลิดชีพพวกผู้ก่อการร้ายนั้นลงให้ได้ ด้านทางการสหรัฐฯที่จับตาดูความสามารถและความมุ่งมั่นของแร็ปป์มาโดยตลอดได้ติดต่อและดึงตัวเขาให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับ และที่นั่นเองที่ทำให้เขาได้พบกับ “สแตน เฮอร์ลีย์” (ไมเคิล คีตัน) อดีตทหารมากประสบการณ์สมัยสงครามเย็น ที่จะเข้ามาฝึกฝนการต่อสู้ รวมถึงมีส่วนสำคัญในการปรับทัศนคติและแรงจูงใจที่มีแต่ความแค้นของเขาใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ถูกมอบหมายให้เริ่มปฏิบัติการสอบสวนและหยุดยั้งการลอบโจมตีพลเมืองชาวอเมริกัน โดยร่วมกับอีกหนึ่งสายลับสาวชาวตุรกี “แอนนิกา” (ชิวา เนการ์) เพื่อหยุดยั้งเหตุรุนแรงที่อาจทำให้เกิดความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ลงให้ได้
ต้องยอมรับเลยว่าการได้ชมตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งทำให้ผมมีความสนใจในหน้าหนังเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก (ชมตัวอย่างได้จาก
https://youtu.be/PN0gjYeHdCU) ส่วนหนึ่งก็เพราะเสียงซาวน์ในตัวอย่างช่วงแอ็คชั่นตอนหลังๆที่ทำออกมาได้อย่างสุดเท่ บวกกับการได้เห็น "ไมเคิล คีตัน" กลับมารับบทในสายแอ็คชั่นจับปืนจริงๆจังๆซักที หลังห่างหายไปกับหนังแนวนี้มาเกือบ 2-3 ปี (ไม่นับสไปเดอร์แมน โฮมคัมมิ่งนะครับ เพราะไม่ได้เป็นแนวแอ็คชั่นจ๋าขนาดนั้น) และจากตัวอย่างหนังก็ทำออกมาจนแทบจะสปอยเรื่องราวในหนังออกมาจนหมดแล้ว เอาเข้าจริงก่อนและหลังชม "American Assassin" ของผมนั้นแทบจะมีความเซอร์ไพรส์ด้านเรื่องราวไม่แตกต่างกันเท่าไหร่เลย แถมหนังยังเล่าเรื่องได้ตรงดิ่งไม่สลับซับซ้อนหรือใช้เทคนิคอะไรมากมายมานำเสนอ มันก็ยิ่งทำให้ผมเฉยๆกับบทภาพยนตร์และรู้สึกถึงความเป็นสูตรสำเร็จมาก หลายประเด็นดูเชยแสนเชย ทั้งแรงจูงใจของตัวละคร ทั้งจุดหักมุมของหนัง และการแทรกแซงเข้ามาของฝ่ายตัวร้าย แต่ทว่าข้อเสียหรือจุดเชยๆของหนัง ถูกลบล้างไปด้วยความบันเทิง ความมันส์ และความต่อเนื่องทางอารมณ์ที่ยิ่งดูยิ่งเพลิน ยิ่งลุ้น ยิ่งสนุกไปกับการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
หนังเลือกที่จะไม่รีรอพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา โดยฉากเริ่มเรื่องหนังพาเราไปรู้จักชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดาของตัวละคร "มิทช์ แร็ปป์" และแฟนสาว ก่อนจะเปลี่ยนโหมดเข้าสู่ปมปัญหาที่เปรียบเสมือนจุดพลิกผันในชีวิตของเขา และนับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอย่างแม้จริงของชีวิตนักฆ่าคนนี้ ฉากโจมตีชาวอเมริกันของผู้ก่อการร้ายดูรุนแรงและไร้ความปราณีมาก อย่างไรก็ตาม ฉากการตายของแฟนสาวของแร็ปป์กลับดูไม่สะเทือนใจมากอย่างที่เห็นในตัวอย่าง อาจเป็นเพราะหนังไม่ได้แสดงความสัมพันธ์และความรักของทั้งสองให้เรารับรู้และรู้สึกมากเท่าไหร่ การตายของเธอจึงถูกใช้เพียงเพื่อเป็นเหตุเป็นผลของการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของแร็ปป์เท่านั้น จุดนี้จึงส่งผลไปถึงความรู้สึกของผมที่กลับไม่ค่อยอินกับแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นที่ทำให้แร็ปป์อยากจะแก้แค้นผู้ก่อการร้ายมากขนาดนั้น
หนังเล่าไปถึงช่วงที่แร็ปป์ตัดสินใจเลือกเส้นทางการเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับ มีช่วงฝึกฝนและทดสอบทางด้านร่างกายให้เราได้ชมประปราย ซึ่งผมชอบที่หนังยังเล่าถึงการปรับทัศนคติของแร็ปป์ที่เดิมที่เขาเลือกที่จะสู้เพื่อเป็นการระบายความแค้น แต่ต่อมาความคิดนี้กลับค่อยๆหายไปเป็นการสู้เพื่อยับยั้งภัยคุกคามและความถูกต้องแทน จุดหักมุมที่มีของหนังอาจไม่คมคายและพอเดาได้บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราผมก็เป็นคนนึงที่หลงเชื่อจนสนิทใจอยู่นานกับหนึ่งตัวละครที่โดยลึกๆแล้วเขาก็มีแรงจูงใจที่จะทำภารกิจเพื่อครอบครัวของตนเองเช่นกัน และเมื่อหนังเข้าสู่ช่วงไฮไลต์ที่เป็นการปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญของแร็ปป์และทีมเพื่อการยับยั้งการก่อวินาศกรรมจากผู้ก่อการร้าย จู่ๆหนังก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนประเด็นผ่านการเฉลยปมทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆจนทำให้เรารู้ถึงที่มาทีไปและแรงจูงใจของตัวร้ายว่าท้ายสุดแล้วมันก็เกิดมาจากแรงแค้นและความขัดแย้งกันในเรื่องส่วนตัวนั่นเอง
ตัดภาพมาที่งานแอ็คชั่นของหนัง อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วในช่วงต้นว่าหนังครีเอตงานแอ็คชั่นออกมาได้น่าสนใจและเร้าอารมณ์ผมมาก จุดนี้เองนับว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังที่ทำให้ในภาพรวมของหนังให้ความมันสะใจได้ดีเลย การแสดงของ "ดีแลน โอ ไบรอัน" ที่เคยฝากผลงานไว้ในเฟรนไชส์ "The Maze Runner" นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีมีเสน่ห์ ดูขึ้นจอกับบทนักฆ่าได้อย่างผิดคาด ผมเชื่อได้เลยว่าชื่อของเขาน่าจะไปโผล่ในหนังแอ็คชั่นอีกหลายๆเรื่องได้ไม่ยาก ตรงกันข้ามกับทาง "ไมเคิล คีตัน" ที่สภาพร่างกายของเขาดูโรยราขึ้นมาก (แต่มีความเหมาะสมกับการเป็นโค๊ชในเรื่องมาก) เราจะเห็นว่าฉากแอ็คชั่นหนักๆหลายๆฉากในเรื่องนั้นจะไม่ค่อยมีตัวละครของเค้าโผล่ออกมาให้เห็นซักเท่าไหร่ ในแง่ของงานสร้างก็อยู่ในระดับที่โอเค ไม่ได้เว้อวังจนดูเล่นใหญ่เกินความจำเป็น มีแอบหมันไส้ตอนจบหน่อยๆที่หนังถือโอกาศโอ้อวดความอลังการและความยิ่งใหญ่ของกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ถึงขนาดคลื่นใหญ่ยักษ์พัดเข้ามาก็ยังตรึงความแข็งแกร่งอยู่ได้ อันนี้ยอมรับว่าเด็ดจริง ท้ายสุดคงไม่แปลกหากเราจะหมันไส้หนังมาก เพราะเรื่อราวและประเด็นที่ใส่เข้ามามันช่างเป็เรื่องชาตินิยมของชาวอเมริกันซะเหลือเกิน (ปล.ในตอนจบของหนังดูเหมือนจะฝากประเด็นที่เป็นปลายเปิดให้กับเรื่องราวที่อาจทำให้เราได้ชมยอดนักฆ่าคนนี้ในภาคต่อไปได้ ก็คงงงต้องดูผลตอบรับก่อนแหละครับว่าจะเปรี้ยงปร้างได้แค่ไหน)
เพื่อนๆสามารถเข้าไปกดไลก์และติดตามการรีวิวหนังกันได้ที่
https://www.facebook.com/FeedbackMovies
[CR] รีวิว "American Assassin" - ดูมันส์บันเทิง ลุ้นระทึกใช้ได้ แม้การเล่าเรื่องจะดูทื่อๆตรงๆและพอเดาทางได้ก็ตาม
"American Assassin - อหังการ์ ทีมฆ่า" (8/10)
---------------------------------
สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชม "American Assassin - อหังการ์ ทีมฆ่า" ทางไปเพจผมครับ --> https://www.facebook.com/FeedbackMovies
เป็นอีกหนึ่งนวนิยายขายดีที่ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์สำหรับ "American Assassin" ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ ที่พูดถึงทีมฆ่าของทางรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "มิทช์ แร็ปป์" (ดีแลน โอ’ไบรอัน) ชายหนุ่มที่มีความหลังอันแสนเจ็บช้ำ เพราะหลังจากการขอแฟนสาวแต่งงานที่ชายหาดไปเพียงไม่กี่นาที ทั้งสองก็ต้องพบกับเหตุการณ์กราดยิงของผู้ก่อการร้ายที่ต้องการจะฆ่าชาวอเมริกันเพื่อเป็นการแก้แค้นหลังถูกโจมตีในตะวันออกกลาง การจู่โจมในครั้งนั้นเป็นเหตุให้ว่าที่เจ้าสาวของเขาเสียชีวิตลงทันที นับจากวินาทีนั้น ความโศกเศร้าและแรงแค้นทำให้แร็ปป์ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และมุ่งมั่นที่จะกลับไปปลิดชีพพวกผู้ก่อการร้ายนั้นลงให้ได้ ด้านทางการสหรัฐฯที่จับตาดูความสามารถและความมุ่งมั่นของแร็ปป์มาโดยตลอดได้ติดต่อและดึงตัวเขาให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับ และที่นั่นเองที่ทำให้เขาได้พบกับ “สแตน เฮอร์ลีย์” (ไมเคิล คีตัน) อดีตทหารมากประสบการณ์สมัยสงครามเย็น ที่จะเข้ามาฝึกฝนการต่อสู้ รวมถึงมีส่วนสำคัญในการปรับทัศนคติและแรงจูงใจที่มีแต่ความแค้นของเขาใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ถูกมอบหมายให้เริ่มปฏิบัติการสอบสวนและหยุดยั้งการลอบโจมตีพลเมืองชาวอเมริกัน โดยร่วมกับอีกหนึ่งสายลับสาวชาวตุรกี “แอนนิกา” (ชิวา เนการ์) เพื่อหยุดยั้งเหตุรุนแรงที่อาจทำให้เกิดความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ลงให้ได้
ต้องยอมรับเลยว่าการได้ชมตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งทำให้ผมมีความสนใจในหน้าหนังเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก (ชมตัวอย่างได้จาก https://youtu.be/PN0gjYeHdCU) ส่วนหนึ่งก็เพราะเสียงซาวน์ในตัวอย่างช่วงแอ็คชั่นตอนหลังๆที่ทำออกมาได้อย่างสุดเท่ บวกกับการได้เห็น "ไมเคิล คีตัน" กลับมารับบทในสายแอ็คชั่นจับปืนจริงๆจังๆซักที หลังห่างหายไปกับหนังแนวนี้มาเกือบ 2-3 ปี (ไม่นับสไปเดอร์แมน โฮมคัมมิ่งนะครับ เพราะไม่ได้เป็นแนวแอ็คชั่นจ๋าขนาดนั้น) และจากตัวอย่างหนังก็ทำออกมาจนแทบจะสปอยเรื่องราวในหนังออกมาจนหมดแล้ว เอาเข้าจริงก่อนและหลังชม "American Assassin" ของผมนั้นแทบจะมีความเซอร์ไพรส์ด้านเรื่องราวไม่แตกต่างกันเท่าไหร่เลย แถมหนังยังเล่าเรื่องได้ตรงดิ่งไม่สลับซับซ้อนหรือใช้เทคนิคอะไรมากมายมานำเสนอ มันก็ยิ่งทำให้ผมเฉยๆกับบทภาพยนตร์และรู้สึกถึงความเป็นสูตรสำเร็จมาก หลายประเด็นดูเชยแสนเชย ทั้งแรงจูงใจของตัวละคร ทั้งจุดหักมุมของหนัง และการแทรกแซงเข้ามาของฝ่ายตัวร้าย แต่ทว่าข้อเสียหรือจุดเชยๆของหนัง ถูกลบล้างไปด้วยความบันเทิง ความมันส์ และความต่อเนื่องทางอารมณ์ที่ยิ่งดูยิ่งเพลิน ยิ่งลุ้น ยิ่งสนุกไปกับการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
หนังเลือกที่จะไม่รีรอพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา โดยฉากเริ่มเรื่องหนังพาเราไปรู้จักชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดาของตัวละคร "มิทช์ แร็ปป์" และแฟนสาว ก่อนจะเปลี่ยนโหมดเข้าสู่ปมปัญหาที่เปรียบเสมือนจุดพลิกผันในชีวิตของเขา และนับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอย่างแม้จริงของชีวิตนักฆ่าคนนี้ ฉากโจมตีชาวอเมริกันของผู้ก่อการร้ายดูรุนแรงและไร้ความปราณีมาก อย่างไรก็ตาม ฉากการตายของแฟนสาวของแร็ปป์กลับดูไม่สะเทือนใจมากอย่างที่เห็นในตัวอย่าง อาจเป็นเพราะหนังไม่ได้แสดงความสัมพันธ์และความรักของทั้งสองให้เรารับรู้และรู้สึกมากเท่าไหร่ การตายของเธอจึงถูกใช้เพียงเพื่อเป็นเหตุเป็นผลของการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของแร็ปป์เท่านั้น จุดนี้จึงส่งผลไปถึงความรู้สึกของผมที่กลับไม่ค่อยอินกับแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นที่ทำให้แร็ปป์อยากจะแก้แค้นผู้ก่อการร้ายมากขนาดนั้น
หนังเล่าไปถึงช่วงที่แร็ปป์ตัดสินใจเลือกเส้นทางการเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับ มีช่วงฝึกฝนและทดสอบทางด้านร่างกายให้เราได้ชมประปราย ซึ่งผมชอบที่หนังยังเล่าถึงการปรับทัศนคติของแร็ปป์ที่เดิมที่เขาเลือกที่จะสู้เพื่อเป็นการระบายความแค้น แต่ต่อมาความคิดนี้กลับค่อยๆหายไปเป็นการสู้เพื่อยับยั้งภัยคุกคามและความถูกต้องแทน จุดหักมุมที่มีของหนังอาจไม่คมคายและพอเดาได้บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราผมก็เป็นคนนึงที่หลงเชื่อจนสนิทใจอยู่นานกับหนึ่งตัวละครที่โดยลึกๆแล้วเขาก็มีแรงจูงใจที่จะทำภารกิจเพื่อครอบครัวของตนเองเช่นกัน และเมื่อหนังเข้าสู่ช่วงไฮไลต์ที่เป็นการปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญของแร็ปป์และทีมเพื่อการยับยั้งการก่อวินาศกรรมจากผู้ก่อการร้าย จู่ๆหนังก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนประเด็นผ่านการเฉลยปมทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆจนทำให้เรารู้ถึงที่มาทีไปและแรงจูงใจของตัวร้ายว่าท้ายสุดแล้วมันก็เกิดมาจากแรงแค้นและความขัดแย้งกันในเรื่องส่วนตัวนั่นเอง
ตัดภาพมาที่งานแอ็คชั่นของหนัง อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วในช่วงต้นว่าหนังครีเอตงานแอ็คชั่นออกมาได้น่าสนใจและเร้าอารมณ์ผมมาก จุดนี้เองนับว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังที่ทำให้ในภาพรวมของหนังให้ความมันสะใจได้ดีเลย การแสดงของ "ดีแลน โอ ไบรอัน" ที่เคยฝากผลงานไว้ในเฟรนไชส์ "The Maze Runner" นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีมีเสน่ห์ ดูขึ้นจอกับบทนักฆ่าได้อย่างผิดคาด ผมเชื่อได้เลยว่าชื่อของเขาน่าจะไปโผล่ในหนังแอ็คชั่นอีกหลายๆเรื่องได้ไม่ยาก ตรงกันข้ามกับทาง "ไมเคิล คีตัน" ที่สภาพร่างกายของเขาดูโรยราขึ้นมาก (แต่มีความเหมาะสมกับการเป็นโค๊ชในเรื่องมาก) เราจะเห็นว่าฉากแอ็คชั่นหนักๆหลายๆฉากในเรื่องนั้นจะไม่ค่อยมีตัวละครของเค้าโผล่ออกมาให้เห็นซักเท่าไหร่ ในแง่ของงานสร้างก็อยู่ในระดับที่โอเค ไม่ได้เว้อวังจนดูเล่นใหญ่เกินความจำเป็น มีแอบหมันไส้ตอนจบหน่อยๆที่หนังถือโอกาศโอ้อวดความอลังการและความยิ่งใหญ่ของกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ถึงขนาดคลื่นใหญ่ยักษ์พัดเข้ามาก็ยังตรึงความแข็งแกร่งอยู่ได้ อันนี้ยอมรับว่าเด็ดจริง ท้ายสุดคงไม่แปลกหากเราจะหมันไส้หนังมาก เพราะเรื่อราวและประเด็นที่ใส่เข้ามามันช่างเป็เรื่องชาตินิยมของชาวอเมริกันซะเหลือเกิน (ปล.ในตอนจบของหนังดูเหมือนจะฝากประเด็นที่เป็นปลายเปิดให้กับเรื่องราวที่อาจทำให้เราได้ชมยอดนักฆ่าคนนี้ในภาคต่อไปได้ ก็คงงงต้องดูผลตอบรับก่อนแหละครับว่าจะเปรี้ยงปร้างได้แค่ไหน)
เพื่อนๆสามารถเข้าไปกดไลก์และติดตามการรีวิวหนังกันได้ที่ https://www.facebook.com/FeedbackMovies