เราเคยท้องมาแล้ว ท้องนี้ท้องที่3ค่ะ ครั้งแรกครรภ์ปกติมากค่ะ
สมบูรณ์แข็งแรง ผ่าคลอดตอน38สัปดาห์เพราะน้องไม่กลับหัว
ผ่านไป2ปี ท้องที่2 ท้องนี้มีปัญหาค่ะ เพราะเราเหนื่อยมาก เป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกคนเดียว
ทำงานบ้านด้วย ท้องนี้เลยมีปัญหาตั้งแต่เข้า12วีคค่ะ คือมีเลือดออกที่ผนังมดลูกตรงบริเวณที่รกเกาะตัวพอดี คล้ายๆกรณีคุณแม่เลยค่ะ
หมอหนักใจมากค่ะ เพราะว่ามีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเพราะรกลอกตัวสูงมาก เพราะเลือดที่ออกมันจะเซาะรกให้หลุดค่ะ(เท่าที่เข้าใจ)
เลยจำเป็นต้องทำเรื่องย้ายรพ.มาฝากที่รพ.แพทย์แทน เพราะเรามีความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดมาก และรพ.เอกชนนั้นเครื่องมือ+บุคคลากรไม่พร้อมแล้วไม่ชำนาญในการพยาบาลเด็กคลอดก่อนกำหนดมากๆค่ะ
พลอยได้ยาคลายมดลูกกลับมาทานที่บ้าน เวลามีอาการมดลูกบีบตัวตลอด และพยายามพักให้ได้มากที่สุด แต่ใครที่เป็นแม่บ้าน และเป็นแม่
น่าจะเข้าใจว่าเราหยุดไม่ได้ ลูกต้องเลี้ยง ต้องทำกับข้าวให้ลูกกิน ฯลฯ ไม่มีใครช่วยเลยค่ะตอนนั้น แหนก็ไปทำงาน
ผ่านมาได้6สัปดาห์กว่าๆ เรามีอาการปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือนค่ะ และมีเลือดออกเยอะมาก(เต็มชักโครก เหมือนหนังฆาตรกรรมเลย) เลือดสดด้วย (ระหว่าง6สัปดาห์ก็มีเลือดออกบ้างนะคะ คุณหมอก็บอกไว้แล้ว เพราะเป็นเรามีเลือดออกที่ผนังมดลูกร่างกายจะขับเลือดส่วนเกินออกมาบ้างอยู่แล้ว) แต่นี่มันเยอะเกินไป ตอนนี้ทานยาคลายมดลูกที่หมอให้ ไม่ค่อยได้ผลแล้วค่ะ ทานไปไม่ช่วยบรรเทาความปวดแล้ว ความปวดยังคงดำเนินต่อไป1วันกับ1คืนที่ไม่ได้นอนเลย เพราะปวดท้อง เลือดก็ออกตลอดเวลา เราค่อยๆปวดถี่ขึ้นๆจนเป็นความถี่ทุกๆ5นาที ก็ไปรพ.ค่ะ ก็เข้าไปนอนรอในห้องคลอด หมอเอาเครื่องวัดการบีบตัว และเครื่องวัดชีพจรลูกมาติดไว้ ซาวดูลูกก็ยังอยู่ดีค่ะ ชีพจรยังเต้นปกติ เรายังคงนอนรอไปเรื่อยๆพร้อมกับฉีดยาคลายมดลูก ก็ดีขึ้นประมาณครึ่งชม.แล้วก็ปวดอีกค่ะ คุณหมอเริ่มห่วงพลอยแล้วเพราะ ความดันพลอยขึ้นสูงมาก(ผลข้างเคียงจากยา) และมีไข้ด้วยตอนนั้นจำได้ว่ามีไข้40องศา หมอจึงหยุดยาค่ะ และให้เรานอนนิ่งๆ รอปาฏิหารย์ว่าความปวดอาจจะหายไปเอง แล้วความปวดทวีความรุนแรงมากขึ้นๆๆเป็นคืนที่2ที่พลอยไม่ได้นอน เข้าสู่วันที่3 ความปวดยังคงดำเนินต่อไปๆ โดยมีหมอเข้ามาดูเป็นระยะๆ พยาบาลมาวัดความดันทุกชม. พยาบาลดีมากค่ะ ชวนเราคุยปลอบเรา ก็ทำให้เพลินไปได้ซักระยะ จนกระทั่งตอน2ทุ่ม หมอมาซาวอีกรอบและเช็คปากมดลูก ปรากฏว่าน้ำคร่ำหายไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ หมอก็ถามเราว่า รู้ตัวมั้ยว่าน้ำคร่ำไหลออกมาตอนไหน เราใจหายว้าบเลย เราได้แต่สายหน้า เพราะเลือดมันออกตลอดเวลา แยกไม่ออกหรอกค่ะ ไหนเลือด ไหนน้ำคร่ำ หมอเลยเช็คปากมดลูกปรากฏว่าปากมดลูกเปิด2เซนละค่ะ ถึงตอนนี้ยังไงก็คงคลอดแน่ไม่พ้นคืนนี้ ตอนนั้นได้ยินก็หูชา สมองเบลอ คิดอะไรไม่ออก หมอเด็กก็เดินมาคุยกับเราบอกว่า ให้เราวางใจรพ.นี้เคยดูแลเด็กคลอด23วีคได้สำเร็จ แต่อันนี้น้องเค้าแค่22วีคถือว่าเล็กมากกก แต่ทีมหมอจะแสตนบายตลอดนะ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อเค้าคลอดออกมาแล้วจะต้องมีสัญญานของการชีวิต เช่นลืมตา หายใจ ร้อง หรืออะไรก็ได้ แต่ถ้าไม่มีแสดงว่าอวัยวะภายในเค้ายังไม่เจริญเต็มที่ จะดีกว่าถ้าปล่อยเค้าไป ถ้ายื้อไว้ตอนนี้เค้าอาจจะตาบอดหูหนวก สมองพิการ หรืออะไรตามมาอีกเยอะ แต่ถ้ามีสัญญานของชีวิต ไม่ต้องห่วงเลยหมอจะช่วยจนสุดความสามารถ เราหังละก็อุ่นใจค่ะ และก็นอนรอต่อไป ทุกๆวินาทีที่เดินไปคือช้ามาก ได้ยินเสียงพยาบาลคุยกันเบาๆ เสียงห้องข้างๆที่ร้องโอดโอยมารอคลอด จนได้ยินหมอ พยาบาลวิ่งกันอุตลุต เพราะห้องข้างๆจะคลอด เรานอนฟังไปก็สะท้อนใจ เราอยากเป็นคนนั้น อยากมีความหวัง อยากเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ยิ่งได้ยินเสียงแม่คนนั้นร้องมดลูกเรายิ่งบีบตัวหนักขึ้นๆค่ะ จากบีบทุกๆ3นาที เป็นทุกๆ1นาที เรานอนมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่เข็มวินาทีเดินไปอย่างช้าๆ พอมดลูกบีบตัวทีก็มองจ้องนาฬิกาพอครบ1นาทีมดลูกก็คลายหายปวดเป็นปลิดทิ้ง พอครบ1นาทีอีกก็ปวดขึ้นมาทันที ตอนนั้นเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ความอาลัยอาวรณ์เริ่มหมดไป เปลี่ยนเป็นความปลงตกอย่างรวดเร็ว 'เอาวะ.....อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด' เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าตอนนั้นเวลา5ทุ่มกว่า คอแห้งผาดเรียกพยาบาลว่าขอจิบน้ำหน่อยได้มั้ย ปากแห้งแตกแล้ว พยาบาลก็บอกไม่ได้ค่ะๆๆๆๆ จนพยาบาลทนความตื้อเราไม่ไหว หายไปประมาณ5นาที กลับมาพร้อมน้ำแข็ง1ก้อนเล็กๆ พร้อมกับบอกว่าถามคุณหมอให้แล้ว คุณหมอให้อมน้ำแข็งได้ค่ะ เอาแค่พอปากไม่แห้งนะ แล้วก็บอกเราว่า เวลาปวดท้องอย่าเกร็ง ให้พยายามหายใจเข้า-ออกถี่ๆ อย่าพยายามกลั้นหายใจ เพราะถ้ากลั้นหายใจจะทำให้มีลมเบ่ง ใจตอนนั้นก็คิดโง่นะว่า ยื้อเวลาให้ลูกอยู่ในท้องเราให้นานเท่าไหร่ลูกก็จะมีโอกาสรอดมากเท่านั้น เลยพยายามหายใจถี่ๆจนเวลาผ่านไปตี1กว่า เราไม่ไหวละค่ะ บอกพยาบาลว่ามียาแก้ปวดหรืออะไรมั้ยที่ช่วยทำให้หายปวด อะไรก็ได้เพลียมากไม่ได้นอนมาเป็นคืนที่3แล้ว(1คืนที่บ้าน 2คืนที่รพ.) พยาบาลเลยมาฉีดยาแก่ปวดให้ แล้วบอกเราว่ายาแก้ปวดนี้จะทำให้เบลอนะ ให้พยายามหลับให้ได้ และถ้ารู้สึกว่าจะคลอดเมื่อไหร่ให้เรียกนะ อย่าคลอดแล้วถึงเรียก จะช่วยเด็กไม่ทัน หลังจากฉีดไปได้แปบเดียว เราก็เริ่มเบลอค่ะ ความปวดไม่ได้น้อยลงนะคะ แต่สติน้อยลง เลยทำให้สมองไม่รับรู้ความเจ็บปวด เวลาผ่านไปนายเท่าไหร่แทบไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีคือปวดท้อง แล้ววินาทีนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรพลึ่บ!ออกมาคาอยู่ปากช่องคลอด เสี้ยววินาทีนั้นสติกลับคืนมาตะโกนเรียกพยาบาลสุดเสียงเลยค่ะ พยาบาลทำงานเร็วมาก วิ่งเปิดม่านเข็นเตียงเราเข้าห้องคลอดทันที หมอมาถึงไวมาก หมอบอกให้เราปีนขึ้นเตียงขาหยั่ง เราบอก เราไม่ไหวๆๆ(ใครจะไหววะ หัวลูกออกมาคาอยู่ที่ปากช่องคลอดแล้ว เลยต้องคลอดบนเตียงพยาบาลนั่นแหละ เบ่งทีเดียวก็ออกเลย เพราะเค้าตัวเล็ก ตอนนั้นโล่งเลยค่ะ ความเจ็บปวดที่เป็นมาตลอด3คืน แต่ลูกเงียบเลยค่ะ เงียบมาก ไม่ร้องซักแอะ เราทำใจแล้วตอนนั้น หมอไปรุมลูกเราที่เตียงเด็ก แล้วเดินมาแตะตัวแล้วบอกเราว่า คุณแม่น้องเสียแล้วนะคะ น้องไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย น้องหัวใจหยุดเต้นตอนไหน แม่รู้มั้ย เราก็บอก ไม่ทราบเลย เบลอมากเพราะยาแก้ปวด แล้วก็ถามเราว่าอยากดูน้องมั้ย เรายืนยันว่าเราจะดู และขอรับเค้ากลับไปประกอบพิธีทางศาสนาด้วย ใจจิงอยากขอกลับบ้านวันนั้นเลยค่ะ ทำใจไม่ได้ไม่อยากอยู่รพ.แล้ว แต่หมอ ไม่ให้กลับค่ะ เพราะเห็นว่าเรามีภาวะแทรกซ้อน คือมีไข้ด้วย เลยให้นอนอีกคืน
มีต่อนะคะ
แชร์ประสบการณ์แท้งตอน22สัปดาห์
สมบูรณ์แข็งแรง ผ่าคลอดตอน38สัปดาห์เพราะน้องไม่กลับหัว
ผ่านไป2ปี ท้องที่2 ท้องนี้มีปัญหาค่ะ เพราะเราเหนื่อยมาก เป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกคนเดียว
ทำงานบ้านด้วย ท้องนี้เลยมีปัญหาตั้งแต่เข้า12วีคค่ะ คือมีเลือดออกที่ผนังมดลูกตรงบริเวณที่รกเกาะตัวพอดี คล้ายๆกรณีคุณแม่เลยค่ะ
หมอหนักใจมากค่ะ เพราะว่ามีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเพราะรกลอกตัวสูงมาก เพราะเลือดที่ออกมันจะเซาะรกให้หลุดค่ะ(เท่าที่เข้าใจ)
เลยจำเป็นต้องทำเรื่องย้ายรพ.มาฝากที่รพ.แพทย์แทน เพราะเรามีความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดมาก และรพ.เอกชนนั้นเครื่องมือ+บุคคลากรไม่พร้อมแล้วไม่ชำนาญในการพยาบาลเด็กคลอดก่อนกำหนดมากๆค่ะ
พลอยได้ยาคลายมดลูกกลับมาทานที่บ้าน เวลามีอาการมดลูกบีบตัวตลอด และพยายามพักให้ได้มากที่สุด แต่ใครที่เป็นแม่บ้าน และเป็นแม่
น่าจะเข้าใจว่าเราหยุดไม่ได้ ลูกต้องเลี้ยง ต้องทำกับข้าวให้ลูกกิน ฯลฯ ไม่มีใครช่วยเลยค่ะตอนนั้น แหนก็ไปทำงาน
ผ่านมาได้6สัปดาห์กว่าๆ เรามีอาการปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือนค่ะ และมีเลือดออกเยอะมาก(เต็มชักโครก เหมือนหนังฆาตรกรรมเลย) เลือดสดด้วย (ระหว่าง6สัปดาห์ก็มีเลือดออกบ้างนะคะ คุณหมอก็บอกไว้แล้ว เพราะเป็นเรามีเลือดออกที่ผนังมดลูกร่างกายจะขับเลือดส่วนเกินออกมาบ้างอยู่แล้ว) แต่นี่มันเยอะเกินไป ตอนนี้ทานยาคลายมดลูกที่หมอให้ ไม่ค่อยได้ผลแล้วค่ะ ทานไปไม่ช่วยบรรเทาความปวดแล้ว ความปวดยังคงดำเนินต่อไป1วันกับ1คืนที่ไม่ได้นอนเลย เพราะปวดท้อง เลือดก็ออกตลอดเวลา เราค่อยๆปวดถี่ขึ้นๆจนเป็นความถี่ทุกๆ5นาที ก็ไปรพ.ค่ะ ก็เข้าไปนอนรอในห้องคลอด หมอเอาเครื่องวัดการบีบตัว และเครื่องวัดชีพจรลูกมาติดไว้ ซาวดูลูกก็ยังอยู่ดีค่ะ ชีพจรยังเต้นปกติ เรายังคงนอนรอไปเรื่อยๆพร้อมกับฉีดยาคลายมดลูก ก็ดีขึ้นประมาณครึ่งชม.แล้วก็ปวดอีกค่ะ คุณหมอเริ่มห่วงพลอยแล้วเพราะ ความดันพลอยขึ้นสูงมาก(ผลข้างเคียงจากยา) และมีไข้ด้วยตอนนั้นจำได้ว่ามีไข้40องศา หมอจึงหยุดยาค่ะ และให้เรานอนนิ่งๆ รอปาฏิหารย์ว่าความปวดอาจจะหายไปเอง แล้วความปวดทวีความรุนแรงมากขึ้นๆๆเป็นคืนที่2ที่พลอยไม่ได้นอน เข้าสู่วันที่3 ความปวดยังคงดำเนินต่อไปๆ โดยมีหมอเข้ามาดูเป็นระยะๆ พยาบาลมาวัดความดันทุกชม. พยาบาลดีมากค่ะ ชวนเราคุยปลอบเรา ก็ทำให้เพลินไปได้ซักระยะ จนกระทั่งตอน2ทุ่ม หมอมาซาวอีกรอบและเช็คปากมดลูก ปรากฏว่าน้ำคร่ำหายไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ หมอก็ถามเราว่า รู้ตัวมั้ยว่าน้ำคร่ำไหลออกมาตอนไหน เราใจหายว้าบเลย เราได้แต่สายหน้า เพราะเลือดมันออกตลอดเวลา แยกไม่ออกหรอกค่ะ ไหนเลือด ไหนน้ำคร่ำ หมอเลยเช็คปากมดลูกปรากฏว่าปากมดลูกเปิด2เซนละค่ะ ถึงตอนนี้ยังไงก็คงคลอดแน่ไม่พ้นคืนนี้ ตอนนั้นได้ยินก็หูชา สมองเบลอ คิดอะไรไม่ออก หมอเด็กก็เดินมาคุยกับเราบอกว่า ให้เราวางใจรพ.นี้เคยดูแลเด็กคลอด23วีคได้สำเร็จ แต่อันนี้น้องเค้าแค่22วีคถือว่าเล็กมากกก แต่ทีมหมอจะแสตนบายตลอดนะ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อเค้าคลอดออกมาแล้วจะต้องมีสัญญานของการชีวิต เช่นลืมตา หายใจ ร้อง หรืออะไรก็ได้ แต่ถ้าไม่มีแสดงว่าอวัยวะภายในเค้ายังไม่เจริญเต็มที่ จะดีกว่าถ้าปล่อยเค้าไป ถ้ายื้อไว้ตอนนี้เค้าอาจจะตาบอดหูหนวก สมองพิการ หรืออะไรตามมาอีกเยอะ แต่ถ้ามีสัญญานของชีวิต ไม่ต้องห่วงเลยหมอจะช่วยจนสุดความสามารถ เราหังละก็อุ่นใจค่ะ และก็นอนรอต่อไป ทุกๆวินาทีที่เดินไปคือช้ามาก ได้ยินเสียงพยาบาลคุยกันเบาๆ เสียงห้องข้างๆที่ร้องโอดโอยมารอคลอด จนได้ยินหมอ พยาบาลวิ่งกันอุตลุต เพราะห้องข้างๆจะคลอด เรานอนฟังไปก็สะท้อนใจ เราอยากเป็นคนนั้น อยากมีความหวัง อยากเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ยิ่งได้ยินเสียงแม่คนนั้นร้องมดลูกเรายิ่งบีบตัวหนักขึ้นๆค่ะ จากบีบทุกๆ3นาที เป็นทุกๆ1นาที เรานอนมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่เข็มวินาทีเดินไปอย่างช้าๆ พอมดลูกบีบตัวทีก็มองจ้องนาฬิกาพอครบ1นาทีมดลูกก็คลายหายปวดเป็นปลิดทิ้ง พอครบ1นาทีอีกก็ปวดขึ้นมาทันที ตอนนั้นเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ความอาลัยอาวรณ์เริ่มหมดไป เปลี่ยนเป็นความปลงตกอย่างรวดเร็ว 'เอาวะ.....อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด' เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าตอนนั้นเวลา5ทุ่มกว่า คอแห้งผาดเรียกพยาบาลว่าขอจิบน้ำหน่อยได้มั้ย ปากแห้งแตกแล้ว พยาบาลก็บอกไม่ได้ค่ะๆๆๆๆ จนพยาบาลทนความตื้อเราไม่ไหว หายไปประมาณ5นาที กลับมาพร้อมน้ำแข็ง1ก้อนเล็กๆ พร้อมกับบอกว่าถามคุณหมอให้แล้ว คุณหมอให้อมน้ำแข็งได้ค่ะ เอาแค่พอปากไม่แห้งนะ แล้วก็บอกเราว่า เวลาปวดท้องอย่าเกร็ง ให้พยายามหายใจเข้า-ออกถี่ๆ อย่าพยายามกลั้นหายใจ เพราะถ้ากลั้นหายใจจะทำให้มีลมเบ่ง ใจตอนนั้นก็คิดโง่นะว่า ยื้อเวลาให้ลูกอยู่ในท้องเราให้นานเท่าไหร่ลูกก็จะมีโอกาสรอดมากเท่านั้น เลยพยายามหายใจถี่ๆจนเวลาผ่านไปตี1กว่า เราไม่ไหวละค่ะ บอกพยาบาลว่ามียาแก้ปวดหรืออะไรมั้ยที่ช่วยทำให้หายปวด อะไรก็ได้เพลียมากไม่ได้นอนมาเป็นคืนที่3แล้ว(1คืนที่บ้าน 2คืนที่รพ.) พยาบาลเลยมาฉีดยาแก่ปวดให้ แล้วบอกเราว่ายาแก้ปวดนี้จะทำให้เบลอนะ ให้พยายามหลับให้ได้ และถ้ารู้สึกว่าจะคลอดเมื่อไหร่ให้เรียกนะ อย่าคลอดแล้วถึงเรียก จะช่วยเด็กไม่ทัน หลังจากฉีดไปได้แปบเดียว เราก็เริ่มเบลอค่ะ ความปวดไม่ได้น้อยลงนะคะ แต่สติน้อยลง เลยทำให้สมองไม่รับรู้ความเจ็บปวด เวลาผ่านไปนายเท่าไหร่แทบไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีคือปวดท้อง แล้ววินาทีนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรพลึ่บ!ออกมาคาอยู่ปากช่องคลอด เสี้ยววินาทีนั้นสติกลับคืนมาตะโกนเรียกพยาบาลสุดเสียงเลยค่ะ พยาบาลทำงานเร็วมาก วิ่งเปิดม่านเข็นเตียงเราเข้าห้องคลอดทันที หมอมาถึงไวมาก หมอบอกให้เราปีนขึ้นเตียงขาหยั่ง เราบอก เราไม่ไหวๆๆ(ใครจะไหววะ หัวลูกออกมาคาอยู่ที่ปากช่องคลอดแล้ว เลยต้องคลอดบนเตียงพยาบาลนั่นแหละ เบ่งทีเดียวก็ออกเลย เพราะเค้าตัวเล็ก ตอนนั้นโล่งเลยค่ะ ความเจ็บปวดที่เป็นมาตลอด3คืน แต่ลูกเงียบเลยค่ะ เงียบมาก ไม่ร้องซักแอะ เราทำใจแล้วตอนนั้น หมอไปรุมลูกเราที่เตียงเด็ก แล้วเดินมาแตะตัวแล้วบอกเราว่า คุณแม่น้องเสียแล้วนะคะ น้องไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย น้องหัวใจหยุดเต้นตอนไหน แม่รู้มั้ย เราก็บอก ไม่ทราบเลย เบลอมากเพราะยาแก้ปวด แล้วก็ถามเราว่าอยากดูน้องมั้ย เรายืนยันว่าเราจะดู และขอรับเค้ากลับไปประกอบพิธีทางศาสนาด้วย ใจจิงอยากขอกลับบ้านวันนั้นเลยค่ะ ทำใจไม่ได้ไม่อยากอยู่รพ.แล้ว แต่หมอ ไม่ให้กลับค่ะ เพราะเห็นว่าเรามีภาวะแทรกซ้อน คือมีไข้ด้วย เลยให้นอนอีกคืน
มีต่อนะคะ