ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราอยู่ในกับดักอารมณ์เหมือนกับตัวละครหลักใน “Driver คนขับรถ” อย่างที่เรียกว่าแทบจะถอดแบบมากันเลยทีเดียว ... ค้นพบความลับอันดำมืด จมดิ่งไปตามมัน คลุ้มคลั่งด้วยไฟแค้น วางแผนและเดินเกมด้วยพลังลบ ... ที่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเราจะชนะบนเถ้าธุลีอันพังทลายหรือพ่ายแพ้ย่อยยับกันแน่
.
“เกด” หญิงสาวผู้มีรูปเป็นทรัพย์ ค่อยๆ ค้นพบความลับอันดำมืดของ “เต้” ผู้เป็นสามีทีละน้อย หลังจากที่เค้าหายตัวไป แล้วเธอวานให้ “แมค” คนขับรถคนสนิทของเต้ พาเธอไปแกะรอย แต่แท้จริงแล้ว เรื่องราวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดคิด ... เอาจริงๆ เราชอบที่หนังเฉลยความลับแรกของตัวละคร (ในสปา) ในจังหวะที่เร็วประมาณนึงแบบนี้นะ เพราะหากมันเก็บความลับนี้ไปเฉลยตอนท้ายมันจะดู “ไม่แพง” และเป็นมุกที่ดู “หลอก” คนดูแบบง่ายๆ ไปหน่อย กระนั้นในความเป็นหนังทริลเลอร์ซ่อนเงื่อนซ่อนปม เรายังคาดหวังจะเห็นอะไรหลายชั้นมากกว่านี้ เพราะพอหนังเฉลยความลับที่สอง (ในห้องเช่า) เราก็เดาเรื่องราวต่อจากนี้ได้เกือบหมดเลย ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ความคาดหวังว่าจะเห็นการหักมุมอะไรอีกแล้ว แต่คาดหวังจะเห็นพัฒนาการของตัวละคร และการสาดพลังจิตแตกใส่กันให้มากกว่านี้ต่างหาก ซึ่งถ้ามันมีการซัดหมัดดราม่าความรัก/ชีวิตคู่ เติมเต็มความจิตให้มากกว่านี้ หรือเคี่ยวเข็ญการแสดงให้เราเชื่อได้มากขึ้น มันคงพีคถึงขีดสุด
.
ได้ยินเสียงชื่นชมตอนเดินออกจากโรงว่า “Driver คนขับรถ” ดูมีความอินเตอร์มากในแง่ของการลำดับภาพ ตัดต่อ รวมถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเราก็ชอบมาก เพราะในแง่ของความเป็นหนังทุนต่ำ พอมันประณีตกับการตัดต่อและได้งานโปรดักชั่นดีๆ มันก็ดูแพงเลอค่ามาก เช่นเดียวกับเสียงชื่นชมถึงการแสดงของ “ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย” และ “ภูริ หิรัญพฤกษ์” ที่เอาอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะถอดผ้าหรือไม่ มันก็ทำให้เราละสายตาไปจากทั้งคู่ไม่ได้เลย (ฉากเปลืองเนื้อเปลืองตัวในเรื่องคุ้มค่านะ อันนี้ชอบ!) ส่วน “ศิตา ชุติภาวรกานต์” นั้นแม้จะมีเสน่ห์ดึงดูดเช่นกัน แต่พอบทมันต้องการอะไรที่มากมายท่วมท้น แล้วยังไปได้ไม่ถึง มันก็เลยออกมาขาดๆ เกินๆ (เหมือนตอนที่เธอเล่นละครเวทีเรื่อง “หยุดภพ” เด๊ะๆ)
.
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้ว #Driverคนขับรถ ก็ทำให้เราหยุดเล่นเกมความรัก (ได้ระยะนึง) เพราะได้ฉุกคิดอีกครั้งว่า มันไม่ใช่เกม และไม่มีใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง แต่คำถามที่เรายังตอบไม่ได้ และหนังก็ยังไม่ได้ให้คำตอบคือ เราจะอยู่กับความรักต่อไปได้อย่างไร ในวันที่เราได้รู้ความลับอันดำมืดของอีกฝ่ายแล้ว เราจะให้อภัย เดินหน้าต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม ...
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Driver คนขับรถ (2017)
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราอยู่ในกับดักอารมณ์เหมือนกับตัวละครหลักใน “Driver คนขับรถ” อย่างที่เรียกว่าแทบจะถอดแบบมากันเลยทีเดียว ... ค้นพบความลับอันดำมืด จมดิ่งไปตามมัน คลุ้มคลั่งด้วยไฟแค้น วางแผนและเดินเกมด้วยพลังลบ ... ที่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเราจะชนะบนเถ้าธุลีอันพังทลายหรือพ่ายแพ้ย่อยยับกันแน่
.
“เกด” หญิงสาวผู้มีรูปเป็นทรัพย์ ค่อยๆ ค้นพบความลับอันดำมืดของ “เต้” ผู้เป็นสามีทีละน้อย หลังจากที่เค้าหายตัวไป แล้วเธอวานให้ “แมค” คนขับรถคนสนิทของเต้ พาเธอไปแกะรอย แต่แท้จริงแล้ว เรื่องราวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดคิด ... เอาจริงๆ เราชอบที่หนังเฉลยความลับแรกของตัวละคร (ในสปา) ในจังหวะที่เร็วประมาณนึงแบบนี้นะ เพราะหากมันเก็บความลับนี้ไปเฉลยตอนท้ายมันจะดู “ไม่แพง” และเป็นมุกที่ดู “หลอก” คนดูแบบง่ายๆ ไปหน่อย กระนั้นในความเป็นหนังทริลเลอร์ซ่อนเงื่อนซ่อนปม เรายังคาดหวังจะเห็นอะไรหลายชั้นมากกว่านี้ เพราะพอหนังเฉลยความลับที่สอง (ในห้องเช่า) เราก็เดาเรื่องราวต่อจากนี้ได้เกือบหมดเลย ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ความคาดหวังว่าจะเห็นการหักมุมอะไรอีกแล้ว แต่คาดหวังจะเห็นพัฒนาการของตัวละคร และการสาดพลังจิตแตกใส่กันให้มากกว่านี้ต่างหาก ซึ่งถ้ามันมีการซัดหมัดดราม่าความรัก/ชีวิตคู่ เติมเต็มความจิตให้มากกว่านี้ หรือเคี่ยวเข็ญการแสดงให้เราเชื่อได้มากขึ้น มันคงพีคถึงขีดสุด
.
ได้ยินเสียงชื่นชมตอนเดินออกจากโรงว่า “Driver คนขับรถ” ดูมีความอินเตอร์มากในแง่ของการลำดับภาพ ตัดต่อ รวมถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเราก็ชอบมาก เพราะในแง่ของความเป็นหนังทุนต่ำ พอมันประณีตกับการตัดต่อและได้งานโปรดักชั่นดีๆ มันก็ดูแพงเลอค่ามาก เช่นเดียวกับเสียงชื่นชมถึงการแสดงของ “ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย” และ “ภูริ หิรัญพฤกษ์” ที่เอาอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะถอดผ้าหรือไม่ มันก็ทำให้เราละสายตาไปจากทั้งคู่ไม่ได้เลย (ฉากเปลืองเนื้อเปลืองตัวในเรื่องคุ้มค่านะ อันนี้ชอบ!) ส่วน “ศิตา ชุติภาวรกานต์” นั้นแม้จะมีเสน่ห์ดึงดูดเช่นกัน แต่พอบทมันต้องการอะไรที่มากมายท่วมท้น แล้วยังไปได้ไม่ถึง มันก็เลยออกมาขาดๆ เกินๆ (เหมือนตอนที่เธอเล่นละครเวทีเรื่อง “หยุดภพ” เด๊ะๆ)
.
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้ว #Driverคนขับรถ ก็ทำให้เราหยุดเล่นเกมความรัก (ได้ระยะนึง) เพราะได้ฉุกคิดอีกครั้งว่า มันไม่ใช่เกม และไม่มีใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง แต่คำถามที่เรายังตอบไม่ได้ และหนังก็ยังไม่ได้ให้คำตอบคือ เราจะอยู่กับความรักต่อไปได้อย่างไร ในวันที่เราได้รู้ความลับอันดำมืดของอีกฝ่ายแล้ว เราจะให้อภัย เดินหน้าต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม ...
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง